ข้อเท็จจริงที่ผมเข้าใจจากที่อ่านมานะครับเดี๋ยวจะทยอยแปะที่มาของข้อมูล
1) ในด้านเศรษฐกิจสงครามอานามสยามยุธนี้ทำให้เราเสียเงินงคลังไปมาก
2) ในด้านของการทหารนั้นทางไทยได้มีการพัฒนาไปมากทั้งการใช้พลปืนเล็ก และการรบทางทะเลซ่งเริ่มมีการใช้เรือกลไฟ และเรือปืน
3) เป็นสงรามที่มีการใช้ช้างเป็นครั้งสุดท้ายใช่มั้ยครับ
หากประวัติศาสตร์เปลี่ยน
1) ถ้าไทยกับเวียดนามร่วมมือกันเป็นพันธมิตรต่อต้านฝรั่งเศษในรั้งนั้นคิดว่าเราจะต้านการเข้ามาของฝรั่งเศษได้แค่ไหน
2) และหากฝรั่งเศษเข้ามาไม่สำเร็จประวัติศาสตร์จะเปลี่ยนไปขนสดไหน เริ่มจาก อังกฦษคงเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น เวียดนามไม่เป็นคอมมิวนิส แล้วไทยกับเวียดนามอาจรบกันเองอีก เป็นไปได้มั้ย
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98
สาเหตุ[แก้]
ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่มีอำนาจและอิทธิพลเป็นคู่แข่งกับไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น มิได้จำกัดที่พม่าเพียงแห่งเดียว ยังมีญวนซึ่งถือเป็นชาติใหญ่อีกแห่งหนึ่ง การที่ไทยขยายอิทธิพลเข้าไปในลาวและเขมรในสมัยกรุงธนบุรีได้ก็เนื่องจากความแตกแยกในญวนเองจากกบฏไกเซิน ซึ่งทำให้ผู้ปกครองญวนทางใต้ต้องเข้ามาพึ่งไทยและขอกำลังไปช่วยปราบกบฏ ซึ่งไทยก็รับปกป้องคุ้มครอง แต่ไม่สามารถแบ่งกำลังไปช่วยได้ ญวนจึงต้องพยายามขยายอิทธิพลเข้าไปในเขมรเพื่อแสวงยุทธปัจจัย เช่น พาหนะและส่วยต่าง ๆ จนสร้างความตึงเครียดระหว่างไทยกับญวนสมัยปลายกรุงธนบุรี
เมื่อขึ้นสมัยรัตนโกสินทร์ ไทยไม่ต้องการทำสงครามกับพม่าและญวนในเวลาเดียวกัน จึงเลือกอุปถัมภ์องเชียงสือ ผู้นำตระกูลสำคัญของญวนในการรวบรวมชาติญวน จนองเชียงสือสามารถปราบปรามกบฏได้และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ญวนเรียกว่า พระเจ้าเวียดนามยาลอง อย่างไรก็ดีฝ่ายญวนเองต้องการทรัพยากรจากลาวและเขมรเพื่อเลี้ยงตัวเองและสร้างความเข้มแข็ง จึงต้องขยายอิทธิพลเข้าไปในเขมรและลาวด้วย ฝ่ายไทยเองถึงแม้จะไม่พอใจ แต่ไม่ต้องการทำศึกหลายด้าน จึงทำเป็นไม่รับรู้ ทำให้ญวนขยายอิทธิพลเข้าไปในเขมรได้อย่างเปิดเผยและมีท่าทีขยายเข้าไปในลาว การขยายอิทธิพลและท่าทีไม่เป็นมิตรของญวน ดังประจักษ์จากการที่ญวนมีส่วนสนับสนุนอย่างลับ ๆ ในกรณีกบฏเจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทน์ รวมทั้งกรณีกษัตริย์เขมรต่อต้านอำนาจของไทย ทำให้ไทยไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป
อานัมสยามยุทธ[แก้]
ต่อมาพม่าต้องตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ประกอบกับไทยเลือกไม่ปะทะกับอังกฤษด้วยการขยายอิทธิพลลงไปในแหลมมลายู ทำให้รัชกาลที่ 3 สามารถเลือกเผชิญหน้ากับญวนทางตะวันออกได้อย่างเต็มที่ โดยทำสงครามกับญวนที่เรียกว่า สงครามอานัมสยามยุทธ หรือสงครามไทยญวน ระหว่าง พ.ศ. 2376–2390 ซึ่งเป็นสงคราม 14 ปี ระหว่างสองชนชาติใหญ่ที่เหลืออยู่ในขณะนั้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สงครามครั้งนั้นเกิดขึ้นเพื่อชิงความเป็นใหญ่ในเขมร อันเป็นดินแดนกั้นกลางระหว่างไทยกับญวน สงครามที่เนิ่นนานเช่นนี้ก่อความเสียหายให้ทั้ง 2 ฝ่ายอย่างมาก
ใน พ.ศ. 2376 เมืองไซง่อนก่อการจลาจลโดยฝ่ายกบฏ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพบกยกกองทัพไปตีเขมรและหัวเมืองญวนลงไปถึงเมืองไซง่อนเพื่อช่วยฝ่ายกบฏ และให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) เป็นแม่ทัพเรือไปตีหัวเมืองเขมรและญวนตามชายฝั่งทะเล โดยไปสมทบกับกองทัพบกที่เมืองไซง่อน ในส่วนของกองทัพเรือต้องยกกำลังไปหลายครั้งเช่นเดียวกับการรบทางบก
ในสงครามกับญวนครั้งนี้ เจ้าพระยาบดินทรฯ ได้สั่งให้ตัดศีรษะนายขำ บุตรคนที่ 18 ของท่านในข้อหาขลาดกลัวต่ออริราชศัตรู อันเป็นการลงโทษอย่างรุนแรง เป็นมาตรการที่ให้ไพร่พลเกิดความยำเกรงต่อกฎข้อบังคับและคำสั่ง จนเป็นกำลังไปสู่ชัยชนะได้
ใน พ.ศ. 2384 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์เป็นแม่ทัพเรือยกกองทัพเรือ ไปตีเมืองโจดก เรือรบไทยที่เดินทางไปร่วมรบในครั้งนี้มี เรือกำปั่นพุทธอำนาจ เรือเทพโกสินทร์ เรือราชฤทธิ์ เรือวิทยาคม เรืออุดมเดช เรือค่าย เรือปักหลั่น และเรือมัจฉานุ ซึ่งใช้บรรทุกเสบียงอาหาร อย่างไรก็ดีการรบทางเรือครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากทหารไทยไม่ชำนาญภูมิประเทศ และเรือไทยมีสมรรถนะที่ด้อยกว่า เรือญวน (ดูรายละเอียดใน พลเรือตรี แชน ปัจจุสานนท์, 2508) ทั้งในเรื่องของขนาดและประสิทธิภาพ ด้วยเหตุผลดังกล่าวพระบาทสมเด็จพระนั่ง เกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องต่อเรือรบใหม่เป็นเรือป้อมอย่างญวน สามารถติดตั้งปืนใหญ่ได้หลายกระบอก ทั้งนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาพระคลังเป็น แม่กอง อำนวยการต่อเรือป้อมแบบญวนไว้ใช้ในราชการ 80 ลำ ในที่สุดการรบระหว่างญวนกับไทยที่ยืดเยื้อมาถึง 14 ปี ก็ต้องยุติลงโดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ยกเลิกการศึกครั้งนี้และมีการเจรจาสงบศึกใน พ.ศ. 2390 เพราะทรงพิจารณาเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองทรัพยากรและกำลังคน เปรียบเหมือนว่ายน้ำท่ามกลางมหาสมุทรไม่เห็นเกาะเห็นฝั่ง
ผลสรุป[แก้]
ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถรบชนะอีกฝ่ายได้เด็ดขาด ทำให้ต้องทำสนธิสัญญาสงบศึกกัน โดยไทยยังคงไว้ซึ่งสิทธิในการสถาปนากษัตริย์เขมร แต่เขมรก็ยังต้องส่งเครื่องบรรณาการแก่ญวนทุก ๆ 3 ปี ถือเป็นข้อตกลงที่น่าพอใจทั้ง 2 ฝ่าย สงครามจึงยุติลง
หากไม่มีอานามสยามยุทธ และไทยร่วมมือกับเวียดนาม เราจะต้านการเข้ามามีอิทธิพลของฝรั่งเศษได้ไหม
1) ในด้านเศรษฐกิจสงครามอานามสยามยุธนี้ทำให้เราเสียเงินงคลังไปมาก
2) ในด้านของการทหารนั้นทางไทยได้มีการพัฒนาไปมากทั้งการใช้พลปืนเล็ก และการรบทางทะเลซ่งเริ่มมีการใช้เรือกลไฟ และเรือปืน
3) เป็นสงรามที่มีการใช้ช้างเป็นครั้งสุดท้ายใช่มั้ยครับ
หากประวัติศาสตร์เปลี่ยน
1) ถ้าไทยกับเวียดนามร่วมมือกันเป็นพันธมิตรต่อต้านฝรั่งเศษในรั้งนั้นคิดว่าเราจะต้านการเข้ามาของฝรั่งเศษได้แค่ไหน
2) และหากฝรั่งเศษเข้ามาไม่สำเร็จประวัติศาสตร์จะเปลี่ยนไปขนสดไหน เริ่มจาก อังกฦษคงเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น เวียดนามไม่เป็นคอมมิวนิส แล้วไทยกับเวียดนามอาจรบกันเองอีก เป็นไปได้มั้ย
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98
สาเหตุ[แก้]
ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่มีอำนาจและอิทธิพลเป็นคู่แข่งกับไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น มิได้จำกัดที่พม่าเพียงแห่งเดียว ยังมีญวนซึ่งถือเป็นชาติใหญ่อีกแห่งหนึ่ง การที่ไทยขยายอิทธิพลเข้าไปในลาวและเขมรในสมัยกรุงธนบุรีได้ก็เนื่องจากความแตกแยกในญวนเองจากกบฏไกเซิน ซึ่งทำให้ผู้ปกครองญวนทางใต้ต้องเข้ามาพึ่งไทยและขอกำลังไปช่วยปราบกบฏ ซึ่งไทยก็รับปกป้องคุ้มครอง แต่ไม่สามารถแบ่งกำลังไปช่วยได้ ญวนจึงต้องพยายามขยายอิทธิพลเข้าไปในเขมรเพื่อแสวงยุทธปัจจัย เช่น พาหนะและส่วยต่าง ๆ จนสร้างความตึงเครียดระหว่างไทยกับญวนสมัยปลายกรุงธนบุรี
เมื่อขึ้นสมัยรัตนโกสินทร์ ไทยไม่ต้องการทำสงครามกับพม่าและญวนในเวลาเดียวกัน จึงเลือกอุปถัมภ์องเชียงสือ ผู้นำตระกูลสำคัญของญวนในการรวบรวมชาติญวน จนองเชียงสือสามารถปราบปรามกบฏได้และสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ญวนเรียกว่า พระเจ้าเวียดนามยาลอง อย่างไรก็ดีฝ่ายญวนเองต้องการทรัพยากรจากลาวและเขมรเพื่อเลี้ยงตัวเองและสร้างความเข้มแข็ง จึงต้องขยายอิทธิพลเข้าไปในเขมรและลาวด้วย ฝ่ายไทยเองถึงแม้จะไม่พอใจ แต่ไม่ต้องการทำศึกหลายด้าน จึงทำเป็นไม่รับรู้ ทำให้ญวนขยายอิทธิพลเข้าไปในเขมรได้อย่างเปิดเผยและมีท่าทีขยายเข้าไปในลาว การขยายอิทธิพลและท่าทีไม่เป็นมิตรของญวน ดังประจักษ์จากการที่ญวนมีส่วนสนับสนุนอย่างลับ ๆ ในกรณีกบฏเจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทน์ รวมทั้งกรณีกษัตริย์เขมรต่อต้านอำนาจของไทย ทำให้ไทยไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป
อานัมสยามยุทธ[แก้]
ต่อมาพม่าต้องตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ประกอบกับไทยเลือกไม่ปะทะกับอังกฤษด้วยการขยายอิทธิพลลงไปในแหลมมลายู ทำให้รัชกาลที่ 3 สามารถเลือกเผชิญหน้ากับญวนทางตะวันออกได้อย่างเต็มที่ โดยทำสงครามกับญวนที่เรียกว่า สงครามอานัมสยามยุทธ หรือสงครามไทยญวน ระหว่าง พ.ศ. 2376–2390 ซึ่งเป็นสงคราม 14 ปี ระหว่างสองชนชาติใหญ่ที่เหลืออยู่ในขณะนั้นของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สงครามครั้งนั้นเกิดขึ้นเพื่อชิงความเป็นใหญ่ในเขมร อันเป็นดินแดนกั้นกลางระหว่างไทยกับญวน สงครามที่เนิ่นนานเช่นนี้ก่อความเสียหายให้ทั้ง 2 ฝ่ายอย่างมาก
ใน พ.ศ. 2376 เมืองไซง่อนก่อการจลาจลโดยฝ่ายกบฏ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพบกยกกองทัพไปตีเขมรและหัวเมืองญวนลงไปถึงเมืองไซง่อนเพื่อช่วยฝ่ายกบฏ และให้เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) เป็นแม่ทัพเรือไปตีหัวเมืองเขมรและญวนตามชายฝั่งทะเล โดยไปสมทบกับกองทัพบกที่เมืองไซง่อน ในส่วนของกองทัพเรือต้องยกกำลังไปหลายครั้งเช่นเดียวกับการรบทางบก
ในสงครามกับญวนครั้งนี้ เจ้าพระยาบดินทรฯ ได้สั่งให้ตัดศีรษะนายขำ บุตรคนที่ 18 ของท่านในข้อหาขลาดกลัวต่ออริราชศัตรู อันเป็นการลงโทษอย่างรุนแรง เป็นมาตรการที่ให้ไพร่พลเกิดความยำเกรงต่อกฎข้อบังคับและคำสั่ง จนเป็นกำลังไปสู่ชัยชนะได้
ใน พ.ศ. 2384 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์เป็นแม่ทัพเรือยกกองทัพเรือ ไปตีเมืองโจดก เรือรบไทยที่เดินทางไปร่วมรบในครั้งนี้มี เรือกำปั่นพุทธอำนาจ เรือเทพโกสินทร์ เรือราชฤทธิ์ เรือวิทยาคม เรืออุดมเดช เรือค่าย เรือปักหลั่น และเรือมัจฉานุ ซึ่งใช้บรรทุกเสบียงอาหาร อย่างไรก็ดีการรบทางเรือครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องจากทหารไทยไม่ชำนาญภูมิประเทศ และเรือไทยมีสมรรถนะที่ด้อยกว่า เรือญวน (ดูรายละเอียดใน พลเรือตรี แชน ปัจจุสานนท์, 2508) ทั้งในเรื่องของขนาดและประสิทธิภาพ ด้วยเหตุผลดังกล่าวพระบาทสมเด็จพระนั่ง เกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องต่อเรือรบใหม่เป็นเรือป้อมอย่างญวน สามารถติดตั้งปืนใหญ่ได้หลายกระบอก ทั้งนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาพระคลังเป็น แม่กอง อำนวยการต่อเรือป้อมแบบญวนไว้ใช้ในราชการ 80 ลำ ในที่สุดการรบระหว่างญวนกับไทยที่ยืดเยื้อมาถึง 14 ปี ก็ต้องยุติลงโดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ยกเลิกการศึกครั้งนี้และมีการเจรจาสงบศึกใน พ.ศ. 2390 เพราะทรงพิจารณาเห็นว่ามีแต่จะสิ้นเปลืองทรัพยากรและกำลังคน เปรียบเหมือนว่ายน้ำท่ามกลางมหาสมุทรไม่เห็นเกาะเห็นฝั่ง
ผลสรุป[แก้]
ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถรบชนะอีกฝ่ายได้เด็ดขาด ทำให้ต้องทำสนธิสัญญาสงบศึกกัน โดยไทยยังคงไว้ซึ่งสิทธิในการสถาปนากษัตริย์เขมร แต่เขมรก็ยังต้องส่งเครื่องบรรณาการแก่ญวนทุก ๆ 3 ปี ถือเป็นข้อตกลงที่น่าพอใจทั้ง 2 ฝ่าย สงครามจึงยุติลง