อามคันธสูตรที่ ๒
ติสสดาบสทูลถามพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสป ด้วยคาถาความว่า
[๓๑๕] สัตบุรุษทั้งหลาย
บริโภคข้าวฟ่าง ลูกเดือย ถั่วเขียว ใบไม้ เหง้ามัน และผลไม้ที่ได้แล้วโดยธรรม
หาปรารถนากาม กล่าวคำเหลาะแหละไม่
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสป
พระองค์เมื่อเสวยเนื้อชนิดใดที่ผู้อื่นทำสำเร็จดีแล้ว
ตบแต่งไว้ถวายอย่างประณีต
เมื่อเสวยข้าวสุกแห่งข้าวสาลี ก็ชื่อว่าย่อมเสวยกลิ่นดิบ
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพรหม
พระองค์ตรัสอย่างนี้ว่า
กลิ่นดิบย่อมไม่ควรแก่เรา
แต่ยังเสวยข้าวสุกแห่งข้าวสาลีกับเนื้อนกที่บุคคลปรุงดีแล้ว
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสป
ข้าพระองค์ ขอทูลถามความข้อนี้กะพระองค์ว่า กลิ่นดิบของพระองค์มีประการอย่างไร ฯ
พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสปตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า
การฆ่าสัตว์ การทุบตี การตัด การจองจำ การลัก การพูดเท็จ
การกระทำด้วยความหวัง การหลอกลวง การเรียนคัมภีร์ที่ไร้ประโยชน์
และการคบหาภรรยาผู้อื่น นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบ
เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย
ชนเหล่าใดในโลกนี้ ไม่สำรวมในกามทั้งหลาย
ยินดีในรสทั้งหลาย เจือปนไปด้วยของไม่สะอาด
มีความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล มีการงานไม่เสมอ
บุคคล พึงแนะนำได้โดยยากนี้ ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น
เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่าเป็นกลิ่นดิบเลย
ชนเหล่าใดผู้เศร้าหมอง หยาบช้า หน้าไหว้หลังหลอก
ประทุษร้ายมิตร ไม่มีความกรุณา มีมานะจัด
มีปกติไม่ให้ และไม่ให้อะไรๆ แก่ใครๆ
นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น
เนื้อและโภชนะ ไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย
ความโกรธ ความมัวเมา ความเป็นคนหัวดื้อ
ความตั้งอยู่ผิด มายา ฤษยา ความยกตน
ความถือตัว ความดูหมิ่น
และความสนิทสนมด้วยอสัตบุรุษทั้งหลาย นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบ
เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย
ชนเหล่าใดในโลกนี้ มีปรกติประพฤติลามก
กู้หนี้มาแล้วไม่ใช้ พูดเสียดสี พูดโกง เป็นคนเทียม
เป็นคนต่ำทราม กระทำกรรมหยาบช้า
นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น
เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย
ชนเหล่าใดในโลกนี้ ไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลาย
ชักชวนผู้อื่นประกอบการเบียดเบียน
ทุศีล ร้ายกาจ หยาบคาย ไม่เอื้อเฟื้อ
นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น
เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย
สัตว์เหล่าใดกำหนัดแล้วใน สัตว์เหล่านี้
โกรธเคือง ฆ่าสัตว์ ขวนขวายในอกุศลเป็นนิตย์
ตายไปแล้วย่อมถึงที่มืด มีหัวลงตกไปสู่นรก
นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น
เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย
การไม่กินปลาและเนื้อ
ความเป็นคนประพฤติเปลือย
ความเป็นคนโล้น การเกล้าชฎา
ความเป็นผู้หมักหมมด้วยธุลี
การครองหนังเสือพร้อมทั้งเล็บ การบำเรอไฟ
หรือแม้ว่าความเศร้าหมองในกายที่เป็นไปด้วยความปรารถนา ความเป็นเทวดา
การย่างกิเลสเป็นอันมากในโลก
มนต์และการเซ่นสรวง ยัญและการซ่องเสพฤดู
ย่อมไม่ยังสัตว์ผู้ไม่ข้ามพ้นความสงสัยให้หมดจดได้
ผู้ใด คุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหกเหล่านั้น
รู้แจ้งอินทรีย์แล้ว ตั้งอยู่ในธรรม
ยินดีในความเป็นคนตรงและอ่อนโยน
ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องเสียได้
ละทุกข์ได้ทั้งหมด ผู้นั้นเป็นนักปราชญ์
ไม่ติดอยู่ในธรรมที่เห็นแล้ว และ ฟังแล้ว ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสบอกความข้อนี้บ่อยๆ
ด้วยประการ ฉะนี้
ติสสดาบสผู้ถึงฝั่งแห่งมนต์ได้ทราบความข้อนั้นแล้ว
พระผู้มีพระภาคผู้เป็นมุนี
ทรงประกาศด้วยพระคาถาทั้งหลาย อันวิจิตรว่า
บุคคลผู้ที่ไม่มีกลิ่นดิบ
ผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้ว ตามรู้ได้ยาก
ติสสดาบส ฟังบทสุภาษิตซึ่งไม่มีกลิ่นดิบ
อันเป็นเครื่องบรรเทาเสียซึ่งทุกข์ทั้งปวง ของพระพุทธเจ้าแล้ว
เป็นผู้มีใจนอบน้อม ถวายบังคมพระบาทของตถาคต ได้ทูลขอบรรพชาที่อาสนะ นั่นแล ฯ
จบอามคันธสูตรที่ ๒
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๗๗๔๗ - ๗๘๐๙. หน้าที่ ๓๓๙ - ๓๔๒.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=7747&Z=7809&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=315
ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี อักษรไทย ได้ที่ :-
[315]
http://budsir.mahidol.ac.th/cgi-bin/Budsir.cgi/SearchItem?mode=1&valume=25&item=315&Roman=0
การไม่กินปลาและเนื้อ ความเป็นคนประพฤติเปลือย ...ย่อมไม่ยังสัตว์ผู้ไม่ข้ามพ้นความสงสัยให้หมดจดได้
ติสสดาบสทูลถามพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสป ด้วยคาถาความว่า
[๓๑๕] สัตบุรุษทั้งหลาย
บริโภคข้าวฟ่าง ลูกเดือย ถั่วเขียว ใบไม้ เหง้ามัน และผลไม้ที่ได้แล้วโดยธรรม
หาปรารถนากาม กล่าวคำเหลาะแหละไม่
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสป
พระองค์เมื่อเสวยเนื้อชนิดใดที่ผู้อื่นทำสำเร็จดีแล้ว
ตบแต่งไว้ถวายอย่างประณีต
เมื่อเสวยข้าวสุกแห่งข้าวสาลี ก็ชื่อว่าย่อมเสวยกลิ่นดิบ
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพรหม
พระองค์ตรัสอย่างนี้ว่า
กลิ่นดิบย่อมไม่ควรแก่เรา
แต่ยังเสวยข้าวสุกแห่งข้าวสาลีกับเนื้อนกที่บุคคลปรุงดีแล้ว
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสป
ข้าพระองค์ ขอทูลถามความข้อนี้กะพระองค์ว่า กลิ่นดิบของพระองค์มีประการอย่างไร ฯ
พระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสปตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า
การฆ่าสัตว์ การทุบตี การตัด การจองจำ การลัก การพูดเท็จ
การกระทำด้วยความหวัง การหลอกลวง การเรียนคัมภีร์ที่ไร้ประโยชน์
และการคบหาภรรยาผู้อื่น นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบ
เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย
ชนเหล่าใดในโลกนี้ ไม่สำรวมในกามทั้งหลาย
ยินดีในรสทั้งหลาย เจือปนไปด้วยของไม่สะอาด
มีความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล มีการงานไม่เสมอ
บุคคล พึงแนะนำได้โดยยากนี้ ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น
เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่าเป็นกลิ่นดิบเลย
ชนเหล่าใดผู้เศร้าหมอง หยาบช้า หน้าไหว้หลังหลอก
ประทุษร้ายมิตร ไม่มีความกรุณา มีมานะจัด
มีปกติไม่ให้ และไม่ให้อะไรๆ แก่ใครๆ
นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น
เนื้อและโภชนะ ไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย
ความโกรธ ความมัวเมา ความเป็นคนหัวดื้อ
ความตั้งอยู่ผิด มายา ฤษยา ความยกตน
ความถือตัว ความดูหมิ่น
และความสนิทสนมด้วยอสัตบุรุษทั้งหลาย นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบ
เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย
ชนเหล่าใดในโลกนี้ มีปรกติประพฤติลามก
กู้หนี้มาแล้วไม่ใช้ พูดเสียดสี พูดโกง เป็นคนเทียม
เป็นคนต่ำทราม กระทำกรรมหยาบช้า
นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น
เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย
ชนเหล่าใดในโลกนี้ ไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลาย
ชักชวนผู้อื่นประกอบการเบียดเบียน
ทุศีล ร้ายกาจ หยาบคาย ไม่เอื้อเฟื้อ
นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น
เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย
สัตว์เหล่าใดกำหนัดแล้วใน สัตว์เหล่านี้
โกรธเคือง ฆ่าสัตว์ ขวนขวายในอกุศลเป็นนิตย์
ตายไปแล้วย่อมถึงที่มืด มีหัวลงตกไปสู่นรก
นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบของชนเหล่านั้น
เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่ากลิ่นดิบเลย
การไม่กินปลาและเนื้อ
ความเป็นคนประพฤติเปลือย
ความเป็นคนโล้น การเกล้าชฎา
ความเป็นผู้หมักหมมด้วยธุลี
การครองหนังเสือพร้อมทั้งเล็บ การบำเรอไฟ
หรือแม้ว่าความเศร้าหมองในกายที่เป็นไปด้วยความปรารถนา ความเป็นเทวดา
การย่างกิเลสเป็นอันมากในโลก
มนต์และการเซ่นสรวง ยัญและการซ่องเสพฤดู
ย่อมไม่ยังสัตว์ผู้ไม่ข้ามพ้นความสงสัยให้หมดจดได้
ผู้ใด คุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหกเหล่านั้น
รู้แจ้งอินทรีย์แล้ว ตั้งอยู่ในธรรม
ยินดีในความเป็นคนตรงและอ่อนโยน
ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องเสียได้
ละทุกข์ได้ทั้งหมด ผู้นั้นเป็นนักปราชญ์
ไม่ติดอยู่ในธรรมที่เห็นแล้ว และ ฟังแล้ว ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสบอกความข้อนี้บ่อยๆ
ด้วยประการ ฉะนี้
ติสสดาบสผู้ถึงฝั่งแห่งมนต์ได้ทราบความข้อนั้นแล้ว
พระผู้มีพระภาคผู้เป็นมุนี
ทรงประกาศด้วยพระคาถาทั้งหลาย อันวิจิตรว่า
บุคคลผู้ที่ไม่มีกลิ่นดิบ
ผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้ว ตามรู้ได้ยาก
ติสสดาบส ฟังบทสุภาษิตซึ่งไม่มีกลิ่นดิบ
อันเป็นเครื่องบรรเทาเสียซึ่งทุกข์ทั้งปวง ของพระพุทธเจ้าแล้ว
เป็นผู้มีใจนอบน้อม ถวายบังคมพระบาทของตถาคต ได้ทูลขอบรรพชาที่อาสนะ นั่นแล ฯ
จบอามคันธสูตรที่ ๒
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๗๗๔๗ - ๗๘๐๙. หน้าที่ ๓๓๙ - ๓๔๒.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=7747&Z=7809&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=315
ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี อักษรไทย ได้ที่ :-
[315] http://budsir.mahidol.ac.th/cgi-bin/Budsir.cgi/SearchItem?mode=1&valume=25&item=315&Roman=0