เพิ่งกลับจากทัวร์ไม่นาน เลยอยากมาเขียนรีวิวแบ่งปันข้อมูลให้กับท่านที่กำลังพิจารณาเลือกทัวร์ ครั้งนี้ได้รับประสบการณ์บางอย่างที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้กับบริษัททัวร์ที่มีชื่อเสียง และเป็นบริษัทขนาดใหญ่
คุณแม่ผมอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นนานแล้วผมเลยตัดสินใจพาคุณแม่ และภรรยาของผมไป เลือกทัวร์ของบริษัท H.I.S. เพราะเห็นมีคนชม และแนะนำกันในเว็บพันธุ์ทิพย์ ผมและครอบครัวตัดสินใจเลือกโปรแกรม Great Route Sakura ระหว่างวันที่ 27 มี.ค. ถึง 1 เม.ย. 58 (6 วัน 4 คืน) ราคาคนละ 57,300 บาท เนื่องจากไปสามคนเลยต้องจ่ายเพิ่ม 7,900 บาท
การติดต่อเพื่อซื้อทัวร์
หลังจากเปิดเน็ตหาโปรแกรมทัวร์ของ H.I.S. ที่ถูกใจก็โทรไปถามในวันที่ 15 ม.ค. อีกสามสี่วันก็จ่ายค่ามัดจำสำหรับ 3 คนเป็นเงิน 30,000 บาท พร้อมกับสแกนหนังสือเดินทางส่งไปให้ ส่วนที่เหลือจ่ายก่อน 10 มี.ค.
การเตรียมตัวก่อนเดินทาง
ปกติบริษัททัวร์จะให้เอกสารแจ้งว่าลูกทัวร์ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง อุณหภูมิ ณ ที่ที่เราจะไปเป็นเท่าไหร่เพื่อจะได้เตรียมเสื้อผ้าได้ถูกต้อง ที่เคยเจอมาลูกทัวร์จะได้เอกสารนี้ราว 2 สัปดาห์ก่อนเดินทาง ผมรอจนกระทั่งวันที่ 15 มี.ค. (12 วันก่อนเดินทาง) ก็ยังไม่ได้เลยเมลล์ไปสอบถามได้ความว่ายังไม่เสร็จ และตอบว่าจะส่งให้ 1 สัปดาห์ก่อนเดินทาง วันที่ 19 มี.ค. ผมโทรไปอีกครั้งหวังว่าจะได้ข้อมูลก่อน เพราะต้องไปรับคุณแม่ที่ต่างจังหวัดเข้ามาพักกับผมก่อน ในวันที่ 21 มี.ค. แม่ผมจะได้เตรียมตัวทัน แต่คำตอบที่ได้คือยังไม่เสร็จ ตอนนี้กำลังเร่งทำโปรแกรมของทัวร์วันที่ 22 มี.ค. อยู่เพราะทัวร์ของบริษัทเยอะมาก (เอ่อ ที่โทรนี่ก็วันที่ 19 แล้วครับ คุณยังเตรียมของวันที่ 22 กันอยู่เหรอ) และบอกว่าผมจะได้ประมาณ 2-3 วันก่อนเดินทาง (ได้จริง 24 มี.ค.) ผมพยายามขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาพอากาศและอุณหภูมิของที่ที่จะไป ซึ่งได้รับแจ้งว่าอุณหภูมิประมาณ 11-20℃ ผมกับครอบครัวจึงเตรียมสเวตเตอร์ที่ไม่หนานักไปคนละสองสามตัวเท่านั้น (แต่ที่ไปเจอมาที่ Shirakawago & Takayama คือ 2-3℃)
การเดินทางไป
27 มี.ค.
ไปถึงสุวรรณภมิตามเวลานัดเป๊ะ 16:30 ประตู 6 แถวเช็คอิน M มีพนักงาน H.I.S. สองคนแจก boarding pass และถุงใส่เอกสารต่างๆ ที่กรอกพร้อมให้แล้วเหลือเพียงเซ็นชื่อ สะดวกดีครับ ในถุงมีปากกา เครื่องคิดเลข หมอนรองคอแบบเป่าลม แล้วก็แผ่นเช็ดล้างเครื่องสำอาง ผมได้รับแจ้งจากพนักงานว่าไกด์ยังมาไม่ถึงเนื่องจากรถติดมาก เลยให้เราเข้าไปรอที่เกท บอกว่าไกด์จะตามไปเจอก่อนเวลาขึ้นเครื่อง 18:30 น. ครึ่งชั่วโมงก่อนขึ้นเครื่องผมก็ได้รับโทรศัพท์จาก H.I.S. แจ้งว่าเกิดความผิดพลาดเกี่ยวกับการจัดทัวร์ครั้งนี้ ไกด์ไม่มาเนื่องจากคิดว่าเป็นเดือนหน้า และไกด์ท่านนี้กำลังรับทัวร์ของบริษัทอื่นอยู่ H.I.S.เลยให้ลูกทัวร์เดินทางกันเอง แล้วจะมีไกด์อีกคนหนึ่งไปรอรับที่สนามบินโอซาก้า ขออธิบายนิดนึงนะครับ ทัวร์นี้เดินทางด้วยสายการบิน Carthay Pacific จากสุวรรณภูมิไปต่อเครื่องที่ฮ่องกง เพื่อไปโอซาก้า สำหรับท่านที่เดินทางด้วยเครื่องบินบ่อยๆ คงไม่มีปัญหา แต่ในคณะทัวร์นี้หลายท่านไม่มีประสบการณ์มาก่อน ทั้งเป็นผู้สูงอายุหลายท่าน ทุกคนต่างตกใจและวิตกกังวลว่าจะถูกทัวร์ทิ้ง คุณแม่ผมก็เช่นกัน ดีที่ผมมีประสบการณ์อยู่ที่ญี่ปุ่นมาพักนึงเลยไม่กลัว คิดว่าอย่างมากก็เที่ยวเองแล้วค่อยกลับมาฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอา
สำหรับสายการบิน Carthay Pacific ผมว่าค่อนข้างดีครับ อาหารอร่อยมีหนังและซีรีย์ใหม่ๆ ให้ดูระหว่างการเดินทาง เสียแต่จะมีเสียงดังของผู้โดยสารอยู่บ้าง
โปรแกรมการท่องเที่ยว
28 มี.ค.
พอลงเครื่องที่ Osaka ก็พบไกด์ถือป้ายรอรับอยู่ด้านนอก ไกด์ชื่อคุณอี๊ด คุณอี๊ดบอกว่าได้รับแจ้งให้บินด่วนเพื่อมารับกรุ๊ปทัวร์นี้ โดยที่ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่ คุณอี๊ดพาทุกคนไปขึ้นรถบัสที่เตรียมไว้ รถค่อนข้างใหม่และสะอาด พนักงานขับรถเป็นคนญี่ปุ่นดูอัธยาศัยดี แต่ดุมากห้ามทานไอติมบนรถ ห้ามเยียบเบาะ และต้องช่วยกันเก็บขยะลงไปทิ้ง
ที่แรกที่ไปเที่ยวกันคือปราสาทโอซาก้า ทัวร์นี้ไม่พาเข้าชมด้านในนะครับ พาไปดูแต่ด้านนอก มีต้นซากุระที่เพิ่มเริ่มบานให้เห็นอยู่จำนวนมาก เป็นที่ตื่นเต้นของลูกทัวร์ หลังจากนั้นคุณอี๊ดก็พาพวกเราไปที่ชินไซบาชิ เพื่อทานอาหารกลางวันและช๊อปปิ้ง (อาหารเช้าไม่มีให้นะครับวันนี้ หาทานกันเอง) อาหารกลางวันเป็นหมูชุปแป้งทอด ทานกับข้าวและเครื่องเคียง เหมือนร้าน Saboten ครับ หลังจากช๊อปที่ชินไซบาชิ ก็ไปต่อที่เกียวโต วัดทอง Kinkakuji มีเวลาให้ชมวัดนี้ประมาณครึ่งชั่วโมง คือวิ่งเข้าไปถ่ายรูปแล้วกลับมาขึ้นรถเลย จากนั้นก็ไปที่วัด Kiyomitsu หรือวัดน้ำใสซึ่งบางส่วนกำลังถูกบูรณะอยู่ ถึงวัดประมาณ 16:30 พวกเราต้องเดินขึ้นเนินไปประมาณ 500 เมตร คนแน่นมากๆตรงทางเดินขึ้น ที่นี่เรามีเวลาเข้าชมไม่มากนักเพราะเค้าจะปิดเวลา 17:30 เนื่องจากจะมีการจัดงานหลังจากนั้น พอออกจากวัดก็ตรงไปที่พัก ณ เมือง Hikone โรงแรมอยู่ติดทะเลสาบบิวาโกะ มื้อเย็นเป็นบุฟเฟต์ที่โรงแรม อาหารพอใช้ แต่ที่ชอบคือมีเบียร์ Ashahi ฟรี ห้องพักก็ธรรมดา แต่เหม็นกลิ่นบุหรี่มาก เนื่องจากเป็น business hotel ซึ่งต้องทำใจ
โปรแกรมวันแรกออกจะหนักไปหน่อย ลูกทัวร์ส่วนใหญ่ไม่ได้นอนระหว่างเดินทางบนเครื่องบิน เหนื่อยและง่วงมาก
29 มี.ค.
ตื่นเช้าทานบุฟเฟต์เช้าที่โรงแรม มีอาหารให้เลือกเยอะพอสมควร 8:15 น. ก็ออกเดินทางไปยังที่สอนทำโมเดลอาหารจากเทียน พวกเราได้ทำกะหล่ำปลีกับกุ้งเทมปุระ สนุกดีเหมือนกันครับ หลังทำเสร็จก็ไปทานอาหารกลางวันเป็นอาหารญึ่ปุ่นจัดเป็นชุดอร่อยใช้ได้เลย จากนั้นเดินทางไปหมู่บ้าน Shirakawago ที่นี่อุณหภูมิ 2-3℃ หิมะหนามากเกือบเมตรเห็นจะได้ เนื่องจากได้รับแจ้งจากทัวร์ว่าอุณหภูมิจะอยู่ระหว่าง 11-20℃ เลยไม่ได้เตรียมตัวมารับสภาพอากาศแบบนี้ มีมาแค่สเวตเตอร์สองตัว ถุงมือก็ไม่มี หนาวสุดๆ แถมมีฝนปรอยลงมาอีกด้วย ยังดีที่เตรียมเสื้อกันฝนกับร่มมาด้วย หมู่บ้านนี้จัดเป็นที่ที่ผมชอบที่สุดในทริปนี้ครับ ชอบทั้งสถาปัตยกรรม และธรรมชาติที่แวดล้อม ที่นี่มีบ้านทรงกัสโซที่อนุรักษ์เอาไว้หลายหลัง แต่ถ้าจะเข้าไปชมด้านในต้องจ่ายค่าเข้าของแต่ละหลัง 300 เยนต่อคนครับ ที่หมู่บ้านนี้มีร้านฝากขายของเยอะพอสมควร มีสตอเบอรี่ที่อร่อยมากอยู่ร้านนึงแพคละ 700 เยน ออกจากหมู่บ้าน ก็เดินทางต่อไปยังที่พักซึ่งอยู่บนเขาชื่อโรงแรม Ryu Resort & Spa ภายนอกโรงแรมหนาวมากๆ หิมะหนาเป็นเมตร ที่นี่เป็นโรงแรมเรียวกัง มีฟูกปูนอน มีน้ำแร่ออนเซนให้แช่ทั้งแบบ in door และ out door บรรยากาศดีแช่แล้วก็สบายตัวหายปวดเมื่อย ส่วนมื้อเย็นที่ทางโรงแรมจัดให้ก็เป็นอาหารชุดแบบญี่ปุ่น อาหารอร่อยพอใช้ มีปูอลาสกาตัวเล็กๆให้คนละครึ่งตัว สำหรับห้องพัก ที่นี่เยี่ยมมากครับ สะอาด และห้องกว้างมาก เป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในทริปนี้
30 มี.ค.
ตื่นเช้าทานบุฟเฟต์เช้าที่โรงแรม มีอาหารให้เลือกพอสมควร จากนั้นออกเดินทางไปยังทาคายามา เพื่อชมตลาดยามเช้า และหมู่บ้านโบราณ ที่นี่จัดเป็นอีกที่นึงที่ผมประทับใจ แอปเปิ้ลที่ตลาดหน้าจวนผู้ว่าอร่อยมาก ลูกดูไม่สวยแต่อร่อย คุณป้าแก่ๆคนนีงขายไปแจกไป หมู่บ้านโบราณก็สวยดีเหมาะกับการถ่ายรูป ที่นี่มีเหล้าสาเกขายเยอะมากเหมาะสำหรับนักดื่ม ออกจากหมู่บ้านก็เดินทางต่อไปยังฟาร์มวาซาบิ เพื่อทานอาหารเที่ยงและเยี่ยมชมฟาร์ม อาหารที่นี่ก็เป็นเบนโตะอาหารญี่ปุ่น แน่นอนว่าต้องมีวาซาบิเป็นส่วนประกอบ รสชาดพอใช้ครับ สำหรับฟาร์มที่นี่สวยครับมีแม่น้ำเล็กๆ น้ำใสแจ๋ว เห็นสาหร่ายข้างใต้น้ำโบกไปมา มีต้นซากุระอยู่รอบๆฟาร์มด้วย อีกอย่างที่ผมชอบคือซอฟครีมรสวาซาบิ ออกจากฟาร์มวาซาบิ ก็เดินทางต่อไปยังที่พักที่คาวากูจิโกะ ไกด์บอกว่าเป็นเรียวกังเพราะมีบ่อแช่ออนเซน แต่ผมว่าเป็นเพียง business hotel ที่มีบ่ออาบน้ำสาธารณะนะครับ เตียงที่นี่ไม่ใช่แบบปูพื้นครับ เป็นเตียง ห้องที่นี่มองเห็นภูเขาไฟฟูจิด้วยครับ แต่ห้องเหม็นบุหรี่มาก อาหารเย็นที่โรงแรมเป็นบุฟเฟต์ขาปูอลาสกา แต่รสชาดเค็มมากกินแทบไม่ได้เลย สรุปวันนี้อยู่บนรถเกือบทั้งวัน เดินกันทางไกลมาก
31 มี.ค.
หลังบุฟเฟต์เช้าก็เดินทางไปหมู่บ้าน Oshinohakai เพื่อชมภูเขาไฟฟูจิ ที่หมู่บ้านนี้มีบ่อน้ำผุดใสสะอาดมาก ข้างบ่อน้ำมีร้านขายของฝาก จะมีพวกขิงดอง เห็ดหอม และเห็ดออรินจิ อร่อยมากครับ แม่ค้าน่ารักพยายามพูดภาษาไทยกับลูกค้า ออกจากหมู่บ้านก็แวะทานอาหารกลางวันเป็นอูด้งกับเบนโตะ จากนั้นเดินทางไป Hakone เพื่อล่องเรือโจรสลัดชมทะเลสาบอาชิ แล้วขึ้นกระเช้าเพื่อไปยังภูเขาไฟโอวาคุดานิ ใกล้กับฟูจิ ที่นี่จะมีไข่ดำ คือเอาไข่ไปต้มในบ่อน้ำร้อนของภูเขาไป เปลือกไข่จะดำแต่ข้างในขาว ที่รู้สีกแปลกๆคือสีดำที่เปลือกลอกได้ และที่ผมจำได้เมื่อ 12 ปีก่อนที่ผมเคยมาไม่เป็นแบบนี้ข้างในไข่ก็จะมีสีอมน้ำตาลนิดๆ เลยไม่แน่ใจว่าต้มกันยังไงถึงไม่เหมือนเดิม จากนั้นนั่งรถบัสลงเขาเพื่อเข้าโตเกียว เส้นทางลงเขาค่อนข้างวกไปวนมาชวนให้เมารถ วันนี้เราเข้ามาถึงโตเกียวค่อนข้างช้ากว่ากำหนดการเนื่องจากเส้นทางที่มารถติดมากทำให้คุณอี๊ดต้องโทรติดต่อกับ H.I.S. office เพื่อขอเลื่อนเวลามื้อเย็น เดิมทีเราจะไปทานชาบูที่ร้าน Momo Paradise เวลา 18:00 แล้วค่อยเข้าที่พัก เนื่องจากร้านนี้ให้เข้าเป็นรอบๆ ซี่งรอบต่อไปคือ 20:00 ดังนั้นพวกเราเลยเข้าไปที่โรงแรมที่ชิบุยะก่อน แล้วขึ้นรถไปที่ร้าน ซึ่งเกิดปัญหานิดหน่อยจากการประสานงานที่ผิดพลาดคือเมื่อไป ทางร้านแจ้งว่าไม่มีการติดต่อยกเลิกหรือเลื่อนแต่ประการใด??? ปรากฎว่าคุณอี๊ดนึกว่าทางออฟฟิตจะจัดการให้ ในขณะที่ทางออฟฟิตก็นึกว่าคุณอี๊ดจะโทรไปเลื่อนเวลาเอง สุดท้ายต้องนั่งรอกันจน 20:30 จึงได้เข้าไป สำหรับรสชาดของอาหารก็เหมือนกับร้าน Momo Paradise ในไทยนี่แหละครับ กลับจากรับประทานอาหารก็เข้าพักที่โรงแรม ซึ่งเป็น business hotel เหม็นบุหรี่มากอีกตามเคย
1 เม.ย.
ตื่นเช้าทานบุฟเฟต์ที่โรงแรมตามเคย โรงแรมนี้ของน้อยมากครับไม่ค่อยมีอาหารให้เลือก ทานเสร็จก็ออกเดินทางไปสวนสาธารณะอุเอโนเพื่อชมซากุระซึ่งบานเต็มที่ทั้งสวน มีคนญี่ปุ่นมาจับจองพื้นที่ปูเสื่อใต้ต้นซากุระเต็มไปหมดคนเยอะมาก หลังจากเดินชมแล้วก็ถ่ายรูปกันพักนึงก็เดินทางต่อไปวัดอาซากุซะ ซึ่งคนเยอะมากเช่นกัน ออกจากวัดอาซากุซะก็พากันไปชอปปิ้งต่อที่ชิบุยะ โดยมีเวลาชอปกันเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ทุกคนต้องวิ่งแข่งกับเวลา เพราะต้องเดินทางต่อไปขึ้นเครื่องกลับ วันนี้ทุกคนต้องหามื้อเที่ยงทานกันเองครับ จากชิบุยะพวกเราก็เดินทางไปสนามบินฮาเนดะเพื่อขึ้นเครื่องกลับครับ ก่อนกลับพวกเราจะถูกเก็บค่าทิปพนักงานขับรถครับคนละ 1,500 เยน แต่ก็โอเคครับรับได้
การเดินทางกลับ
เช่นเดิมคือเราเดินทางกลับโดย Carthay Pacific ต้องไปต่อเครื่องที่ฮ่องกง คุณอี๊ดแจ้งว่า คุณอี๊ดไม่ได้กลับพร้อมเราเพราะบริษัทหาตั๋วเครื่องบินไม่ได้ พวกเราต้องเดินทางกันเองเหมือนตอนขามา ซึ่งทำให้ลูกทัวร์ส่วนใหญ่ไม่พอใจโดยเฉพาะเมื่อขึ้นเครื่องแล้วพบว่ามีที่ว่างจำนวนมาก พอมาถึงสุวรรณภูมิก็มีพนักงานคนนึงมารอขอโทษพร้อมแจกของปลอบขวัญ รังนกกับวอชเชอร์ทานอาหารใบหยกสกาย (อืม ไม่ได้อยากได้อ่ะ) ซึ่งพอสอบถามว่าทำไมไม่ให้คุณอี๊ดกลับมาด้วยคำตอบที่ได้คือหาตั๋วไม่ได้ (อืม ที่ว่างบนเครื่องมีนะครับเห็นๆอยู่) น้องเค้าบอกว่าตอนจองมันเต็ม บริษัทไม่มีนโยบายให้ลงชื่อรอประมาณนั้น พอดีผมดวงซวยกระเป๋าเดินทางมาไม่ถึงใบนึงน้องเค้าเลยบอกว่าจะช่วยประสานตามให้ (ก็เห็นโทรมาอยู่เรื่อยๆว่าเจอรึยัง คนที่หาให้จริงเป็นเจ้าหน้าที่ที่สุวรรณภูมิเค้าเอามาส่งให้ที่บ้านสองวันหลังจากนั้น)
ว่าแต่ผู้บริหาร H.I.S. ไปไหนกันหมดหนอ ทำไมไม่มารอขอโทษด้วยตัวเอง น่าผิดหวังนะครับ
สรุป
โปรแกรมเที่ยว, ไกด์(อี๊ด), คนขับรถ สอบผ่านครับ
อาหารและโรงแรมที่พัก ก็พอไหวเช่นกัน
บริษัททัวร์ "สอบตก" เหมือนทำงานไม่เป็น ประสานงานผิดพลาด ข้อมูลก็ผิดพลาด และดูไม่ค่อยแคร์ลูกค้าเท่าไหร่
ผมพยายามเขียนทั้งส่วนที่ประทับใจและไม่ประทับใจครับไม่อยากโจมตีอย่างเดียว แต่โดยส่วนตัวผมคงไม่ใช้บริการ H.I.S. อีก
[CR] รีวิวทัวร์ญี่ปุ่นกับบริษัท H.I.S. Tour โปรแกรม Great Route Sakura ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม 2558 ถึง 1 เมษายน 2558
คุณแม่ผมอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นนานแล้วผมเลยตัดสินใจพาคุณแม่ และภรรยาของผมไป เลือกทัวร์ของบริษัท H.I.S. เพราะเห็นมีคนชม และแนะนำกันในเว็บพันธุ์ทิพย์ ผมและครอบครัวตัดสินใจเลือกโปรแกรม Great Route Sakura ระหว่างวันที่ 27 มี.ค. ถึง 1 เม.ย. 58 (6 วัน 4 คืน) ราคาคนละ 57,300 บาท เนื่องจากไปสามคนเลยต้องจ่ายเพิ่ม 7,900 บาท
การติดต่อเพื่อซื้อทัวร์
หลังจากเปิดเน็ตหาโปรแกรมทัวร์ของ H.I.S. ที่ถูกใจก็โทรไปถามในวันที่ 15 ม.ค. อีกสามสี่วันก็จ่ายค่ามัดจำสำหรับ 3 คนเป็นเงิน 30,000 บาท พร้อมกับสแกนหนังสือเดินทางส่งไปให้ ส่วนที่เหลือจ่ายก่อน 10 มี.ค.
การเตรียมตัวก่อนเดินทาง
ปกติบริษัททัวร์จะให้เอกสารแจ้งว่าลูกทัวร์ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง อุณหภูมิ ณ ที่ที่เราจะไปเป็นเท่าไหร่เพื่อจะได้เตรียมเสื้อผ้าได้ถูกต้อง ที่เคยเจอมาลูกทัวร์จะได้เอกสารนี้ราว 2 สัปดาห์ก่อนเดินทาง ผมรอจนกระทั่งวันที่ 15 มี.ค. (12 วันก่อนเดินทาง) ก็ยังไม่ได้เลยเมลล์ไปสอบถามได้ความว่ายังไม่เสร็จ และตอบว่าจะส่งให้ 1 สัปดาห์ก่อนเดินทาง วันที่ 19 มี.ค. ผมโทรไปอีกครั้งหวังว่าจะได้ข้อมูลก่อน เพราะต้องไปรับคุณแม่ที่ต่างจังหวัดเข้ามาพักกับผมก่อน ในวันที่ 21 มี.ค. แม่ผมจะได้เตรียมตัวทัน แต่คำตอบที่ได้คือยังไม่เสร็จ ตอนนี้กำลังเร่งทำโปรแกรมของทัวร์วันที่ 22 มี.ค. อยู่เพราะทัวร์ของบริษัทเยอะมาก (เอ่อ ที่โทรนี่ก็วันที่ 19 แล้วครับ คุณยังเตรียมของวันที่ 22 กันอยู่เหรอ) และบอกว่าผมจะได้ประมาณ 2-3 วันก่อนเดินทาง (ได้จริง 24 มี.ค.) ผมพยายามขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาพอากาศและอุณหภูมิของที่ที่จะไป ซึ่งได้รับแจ้งว่าอุณหภูมิประมาณ 11-20℃ ผมกับครอบครัวจึงเตรียมสเวตเตอร์ที่ไม่หนานักไปคนละสองสามตัวเท่านั้น (แต่ที่ไปเจอมาที่ Shirakawago & Takayama คือ 2-3℃)
การเดินทางไป
27 มี.ค.
ไปถึงสุวรรณภมิตามเวลานัดเป๊ะ 16:30 ประตู 6 แถวเช็คอิน M มีพนักงาน H.I.S. สองคนแจก boarding pass และถุงใส่เอกสารต่างๆ ที่กรอกพร้อมให้แล้วเหลือเพียงเซ็นชื่อ สะดวกดีครับ ในถุงมีปากกา เครื่องคิดเลข หมอนรองคอแบบเป่าลม แล้วก็แผ่นเช็ดล้างเครื่องสำอาง ผมได้รับแจ้งจากพนักงานว่าไกด์ยังมาไม่ถึงเนื่องจากรถติดมาก เลยให้เราเข้าไปรอที่เกท บอกว่าไกด์จะตามไปเจอก่อนเวลาขึ้นเครื่อง 18:30 น. ครึ่งชั่วโมงก่อนขึ้นเครื่องผมก็ได้รับโทรศัพท์จาก H.I.S. แจ้งว่าเกิดความผิดพลาดเกี่ยวกับการจัดทัวร์ครั้งนี้ ไกด์ไม่มาเนื่องจากคิดว่าเป็นเดือนหน้า และไกด์ท่านนี้กำลังรับทัวร์ของบริษัทอื่นอยู่ H.I.S.เลยให้ลูกทัวร์เดินทางกันเอง แล้วจะมีไกด์อีกคนหนึ่งไปรอรับที่สนามบินโอซาก้า ขออธิบายนิดนึงนะครับ ทัวร์นี้เดินทางด้วยสายการบิน Carthay Pacific จากสุวรรณภูมิไปต่อเครื่องที่ฮ่องกง เพื่อไปโอซาก้า สำหรับท่านที่เดินทางด้วยเครื่องบินบ่อยๆ คงไม่มีปัญหา แต่ในคณะทัวร์นี้หลายท่านไม่มีประสบการณ์มาก่อน ทั้งเป็นผู้สูงอายุหลายท่าน ทุกคนต่างตกใจและวิตกกังวลว่าจะถูกทัวร์ทิ้ง คุณแม่ผมก็เช่นกัน ดีที่ผมมีประสบการณ์อยู่ที่ญี่ปุ่นมาพักนึงเลยไม่กลัว คิดว่าอย่างมากก็เที่ยวเองแล้วค่อยกลับมาฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอา
สำหรับสายการบิน Carthay Pacific ผมว่าค่อนข้างดีครับ อาหารอร่อยมีหนังและซีรีย์ใหม่ๆ ให้ดูระหว่างการเดินทาง เสียแต่จะมีเสียงดังของผู้โดยสารอยู่บ้าง
โปรแกรมการท่องเที่ยว
28 มี.ค.
พอลงเครื่องที่ Osaka ก็พบไกด์ถือป้ายรอรับอยู่ด้านนอก ไกด์ชื่อคุณอี๊ด คุณอี๊ดบอกว่าได้รับแจ้งให้บินด่วนเพื่อมารับกรุ๊ปทัวร์นี้ โดยที่ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่ คุณอี๊ดพาทุกคนไปขึ้นรถบัสที่เตรียมไว้ รถค่อนข้างใหม่และสะอาด พนักงานขับรถเป็นคนญี่ปุ่นดูอัธยาศัยดี แต่ดุมากห้ามทานไอติมบนรถ ห้ามเยียบเบาะ และต้องช่วยกันเก็บขยะลงไปทิ้ง
ที่แรกที่ไปเที่ยวกันคือปราสาทโอซาก้า ทัวร์นี้ไม่พาเข้าชมด้านในนะครับ พาไปดูแต่ด้านนอก มีต้นซากุระที่เพิ่มเริ่มบานให้เห็นอยู่จำนวนมาก เป็นที่ตื่นเต้นของลูกทัวร์ หลังจากนั้นคุณอี๊ดก็พาพวกเราไปที่ชินไซบาชิ เพื่อทานอาหารกลางวันและช๊อปปิ้ง (อาหารเช้าไม่มีให้นะครับวันนี้ หาทานกันเอง) อาหารกลางวันเป็นหมูชุปแป้งทอด ทานกับข้าวและเครื่องเคียง เหมือนร้าน Saboten ครับ หลังจากช๊อปที่ชินไซบาชิ ก็ไปต่อที่เกียวโต วัดทอง Kinkakuji มีเวลาให้ชมวัดนี้ประมาณครึ่งชั่วโมง คือวิ่งเข้าไปถ่ายรูปแล้วกลับมาขึ้นรถเลย จากนั้นก็ไปที่วัด Kiyomitsu หรือวัดน้ำใสซึ่งบางส่วนกำลังถูกบูรณะอยู่ ถึงวัดประมาณ 16:30 พวกเราต้องเดินขึ้นเนินไปประมาณ 500 เมตร คนแน่นมากๆตรงทางเดินขึ้น ที่นี่เรามีเวลาเข้าชมไม่มากนักเพราะเค้าจะปิดเวลา 17:30 เนื่องจากจะมีการจัดงานหลังจากนั้น พอออกจากวัดก็ตรงไปที่พัก ณ เมือง Hikone โรงแรมอยู่ติดทะเลสาบบิวาโกะ มื้อเย็นเป็นบุฟเฟต์ที่โรงแรม อาหารพอใช้ แต่ที่ชอบคือมีเบียร์ Ashahi ฟรี ห้องพักก็ธรรมดา แต่เหม็นกลิ่นบุหรี่มาก เนื่องจากเป็น business hotel ซึ่งต้องทำใจ
โปรแกรมวันแรกออกจะหนักไปหน่อย ลูกทัวร์ส่วนใหญ่ไม่ได้นอนระหว่างเดินทางบนเครื่องบิน เหนื่อยและง่วงมาก
29 มี.ค.
ตื่นเช้าทานบุฟเฟต์เช้าที่โรงแรม มีอาหารให้เลือกเยอะพอสมควร 8:15 น. ก็ออกเดินทางไปยังที่สอนทำโมเดลอาหารจากเทียน พวกเราได้ทำกะหล่ำปลีกับกุ้งเทมปุระ สนุกดีเหมือนกันครับ หลังทำเสร็จก็ไปทานอาหารกลางวันเป็นอาหารญึ่ปุ่นจัดเป็นชุดอร่อยใช้ได้เลย จากนั้นเดินทางไปหมู่บ้าน Shirakawago ที่นี่อุณหภูมิ 2-3℃ หิมะหนามากเกือบเมตรเห็นจะได้ เนื่องจากได้รับแจ้งจากทัวร์ว่าอุณหภูมิจะอยู่ระหว่าง 11-20℃ เลยไม่ได้เตรียมตัวมารับสภาพอากาศแบบนี้ มีมาแค่สเวตเตอร์สองตัว ถุงมือก็ไม่มี หนาวสุดๆ แถมมีฝนปรอยลงมาอีกด้วย ยังดีที่เตรียมเสื้อกันฝนกับร่มมาด้วย หมู่บ้านนี้จัดเป็นที่ที่ผมชอบที่สุดในทริปนี้ครับ ชอบทั้งสถาปัตยกรรม และธรรมชาติที่แวดล้อม ที่นี่มีบ้านทรงกัสโซที่อนุรักษ์เอาไว้หลายหลัง แต่ถ้าจะเข้าไปชมด้านในต้องจ่ายค่าเข้าของแต่ละหลัง 300 เยนต่อคนครับ ที่หมู่บ้านนี้มีร้านฝากขายของเยอะพอสมควร มีสตอเบอรี่ที่อร่อยมากอยู่ร้านนึงแพคละ 700 เยน ออกจากหมู่บ้าน ก็เดินทางต่อไปยังที่พักซึ่งอยู่บนเขาชื่อโรงแรม Ryu Resort & Spa ภายนอกโรงแรมหนาวมากๆ หิมะหนาเป็นเมตร ที่นี่เป็นโรงแรมเรียวกัง มีฟูกปูนอน มีน้ำแร่ออนเซนให้แช่ทั้งแบบ in door และ out door บรรยากาศดีแช่แล้วก็สบายตัวหายปวดเมื่อย ส่วนมื้อเย็นที่ทางโรงแรมจัดให้ก็เป็นอาหารชุดแบบญี่ปุ่น อาหารอร่อยพอใช้ มีปูอลาสกาตัวเล็กๆให้คนละครึ่งตัว สำหรับห้องพัก ที่นี่เยี่ยมมากครับ สะอาด และห้องกว้างมาก เป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในทริปนี้
30 มี.ค.
ตื่นเช้าทานบุฟเฟต์เช้าที่โรงแรม มีอาหารให้เลือกพอสมควร จากนั้นออกเดินทางไปยังทาคายามา เพื่อชมตลาดยามเช้า และหมู่บ้านโบราณ ที่นี่จัดเป็นอีกที่นึงที่ผมประทับใจ แอปเปิ้ลที่ตลาดหน้าจวนผู้ว่าอร่อยมาก ลูกดูไม่สวยแต่อร่อย คุณป้าแก่ๆคนนีงขายไปแจกไป หมู่บ้านโบราณก็สวยดีเหมาะกับการถ่ายรูป ที่นี่มีเหล้าสาเกขายเยอะมากเหมาะสำหรับนักดื่ม ออกจากหมู่บ้านก็เดินทางต่อไปยังฟาร์มวาซาบิ เพื่อทานอาหารเที่ยงและเยี่ยมชมฟาร์ม อาหารที่นี่ก็เป็นเบนโตะอาหารญี่ปุ่น แน่นอนว่าต้องมีวาซาบิเป็นส่วนประกอบ รสชาดพอใช้ครับ สำหรับฟาร์มที่นี่สวยครับมีแม่น้ำเล็กๆ น้ำใสแจ๋ว เห็นสาหร่ายข้างใต้น้ำโบกไปมา มีต้นซากุระอยู่รอบๆฟาร์มด้วย อีกอย่างที่ผมชอบคือซอฟครีมรสวาซาบิ ออกจากฟาร์มวาซาบิ ก็เดินทางต่อไปยังที่พักที่คาวากูจิโกะ ไกด์บอกว่าเป็นเรียวกังเพราะมีบ่อแช่ออนเซน แต่ผมว่าเป็นเพียง business hotel ที่มีบ่ออาบน้ำสาธารณะนะครับ เตียงที่นี่ไม่ใช่แบบปูพื้นครับ เป็นเตียง ห้องที่นี่มองเห็นภูเขาไฟฟูจิด้วยครับ แต่ห้องเหม็นบุหรี่มาก อาหารเย็นที่โรงแรมเป็นบุฟเฟต์ขาปูอลาสกา แต่รสชาดเค็มมากกินแทบไม่ได้เลย สรุปวันนี้อยู่บนรถเกือบทั้งวัน เดินกันทางไกลมาก
31 มี.ค.
หลังบุฟเฟต์เช้าก็เดินทางไปหมู่บ้าน Oshinohakai เพื่อชมภูเขาไฟฟูจิ ที่หมู่บ้านนี้มีบ่อน้ำผุดใสสะอาดมาก ข้างบ่อน้ำมีร้านขายของฝาก จะมีพวกขิงดอง เห็ดหอม และเห็ดออรินจิ อร่อยมากครับ แม่ค้าน่ารักพยายามพูดภาษาไทยกับลูกค้า ออกจากหมู่บ้านก็แวะทานอาหารกลางวันเป็นอูด้งกับเบนโตะ จากนั้นเดินทางไป Hakone เพื่อล่องเรือโจรสลัดชมทะเลสาบอาชิ แล้วขึ้นกระเช้าเพื่อไปยังภูเขาไฟโอวาคุดานิ ใกล้กับฟูจิ ที่นี่จะมีไข่ดำ คือเอาไข่ไปต้มในบ่อน้ำร้อนของภูเขาไป เปลือกไข่จะดำแต่ข้างในขาว ที่รู้สีกแปลกๆคือสีดำที่เปลือกลอกได้ และที่ผมจำได้เมื่อ 12 ปีก่อนที่ผมเคยมาไม่เป็นแบบนี้ข้างในไข่ก็จะมีสีอมน้ำตาลนิดๆ เลยไม่แน่ใจว่าต้มกันยังไงถึงไม่เหมือนเดิม จากนั้นนั่งรถบัสลงเขาเพื่อเข้าโตเกียว เส้นทางลงเขาค่อนข้างวกไปวนมาชวนให้เมารถ วันนี้เราเข้ามาถึงโตเกียวค่อนข้างช้ากว่ากำหนดการเนื่องจากเส้นทางที่มารถติดมากทำให้คุณอี๊ดต้องโทรติดต่อกับ H.I.S. office เพื่อขอเลื่อนเวลามื้อเย็น เดิมทีเราจะไปทานชาบูที่ร้าน Momo Paradise เวลา 18:00 แล้วค่อยเข้าที่พัก เนื่องจากร้านนี้ให้เข้าเป็นรอบๆ ซี่งรอบต่อไปคือ 20:00 ดังนั้นพวกเราเลยเข้าไปที่โรงแรมที่ชิบุยะก่อน แล้วขึ้นรถไปที่ร้าน ซึ่งเกิดปัญหานิดหน่อยจากการประสานงานที่ผิดพลาดคือเมื่อไป ทางร้านแจ้งว่าไม่มีการติดต่อยกเลิกหรือเลื่อนแต่ประการใด??? ปรากฎว่าคุณอี๊ดนึกว่าทางออฟฟิตจะจัดการให้ ในขณะที่ทางออฟฟิตก็นึกว่าคุณอี๊ดจะโทรไปเลื่อนเวลาเอง สุดท้ายต้องนั่งรอกันจน 20:30 จึงได้เข้าไป สำหรับรสชาดของอาหารก็เหมือนกับร้าน Momo Paradise ในไทยนี่แหละครับ กลับจากรับประทานอาหารก็เข้าพักที่โรงแรม ซึ่งเป็น business hotel เหม็นบุหรี่มากอีกตามเคย
1 เม.ย.
ตื่นเช้าทานบุฟเฟต์ที่โรงแรมตามเคย โรงแรมนี้ของน้อยมากครับไม่ค่อยมีอาหารให้เลือก ทานเสร็จก็ออกเดินทางไปสวนสาธารณะอุเอโนเพื่อชมซากุระซึ่งบานเต็มที่ทั้งสวน มีคนญี่ปุ่นมาจับจองพื้นที่ปูเสื่อใต้ต้นซากุระเต็มไปหมดคนเยอะมาก หลังจากเดินชมแล้วก็ถ่ายรูปกันพักนึงก็เดินทางต่อไปวัดอาซากุซะ ซึ่งคนเยอะมากเช่นกัน ออกจากวัดอาซากุซะก็พากันไปชอปปิ้งต่อที่ชิบุยะ โดยมีเวลาชอปกันเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ทุกคนต้องวิ่งแข่งกับเวลา เพราะต้องเดินทางต่อไปขึ้นเครื่องกลับ วันนี้ทุกคนต้องหามื้อเที่ยงทานกันเองครับ จากชิบุยะพวกเราก็เดินทางไปสนามบินฮาเนดะเพื่อขึ้นเครื่องกลับครับ ก่อนกลับพวกเราจะถูกเก็บค่าทิปพนักงานขับรถครับคนละ 1,500 เยน แต่ก็โอเคครับรับได้
การเดินทางกลับ
เช่นเดิมคือเราเดินทางกลับโดย Carthay Pacific ต้องไปต่อเครื่องที่ฮ่องกง คุณอี๊ดแจ้งว่า คุณอี๊ดไม่ได้กลับพร้อมเราเพราะบริษัทหาตั๋วเครื่องบินไม่ได้ พวกเราต้องเดินทางกันเองเหมือนตอนขามา ซึ่งทำให้ลูกทัวร์ส่วนใหญ่ไม่พอใจโดยเฉพาะเมื่อขึ้นเครื่องแล้วพบว่ามีที่ว่างจำนวนมาก พอมาถึงสุวรรณภูมิก็มีพนักงานคนนึงมารอขอโทษพร้อมแจกของปลอบขวัญ รังนกกับวอชเชอร์ทานอาหารใบหยกสกาย (อืม ไม่ได้อยากได้อ่ะ) ซึ่งพอสอบถามว่าทำไมไม่ให้คุณอี๊ดกลับมาด้วยคำตอบที่ได้คือหาตั๋วไม่ได้ (อืม ที่ว่างบนเครื่องมีนะครับเห็นๆอยู่) น้องเค้าบอกว่าตอนจองมันเต็ม บริษัทไม่มีนโยบายให้ลงชื่อรอประมาณนั้น พอดีผมดวงซวยกระเป๋าเดินทางมาไม่ถึงใบนึงน้องเค้าเลยบอกว่าจะช่วยประสานตามให้ (ก็เห็นโทรมาอยู่เรื่อยๆว่าเจอรึยัง คนที่หาให้จริงเป็นเจ้าหน้าที่ที่สุวรรณภูมิเค้าเอามาส่งให้ที่บ้านสองวันหลังจากนั้น)
ว่าแต่ผู้บริหาร H.I.S. ไปไหนกันหมดหนอ ทำไมไม่มารอขอโทษด้วยตัวเอง น่าผิดหวังนะครับ
สรุป
โปรแกรมเที่ยว, ไกด์(อี๊ด), คนขับรถ สอบผ่านครับ
อาหารและโรงแรมที่พัก ก็พอไหวเช่นกัน
บริษัททัวร์ "สอบตก" เหมือนทำงานไม่เป็น ประสานงานผิดพลาด ข้อมูลก็ผิดพลาด และดูไม่ค่อยแคร์ลูกค้าเท่าไหร่
ผมพยายามเขียนทั้งส่วนที่ประทับใจและไม่ประทับใจครับไม่อยากโจมตีอย่างเดียว แต่โดยส่วนตัวผมคงไม่ใช้บริการ H.I.S. อีก