สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 20
ไม่ขอวิจารณ์นะ แต่ข้างบนที่ยุให้ฟ้องนี่ รู้ดี รู้ละเอียดแล้วเหรอครับ
ทุกวันนี้หมอทำคลอด พยาบาลงานนี้แทบจะไม่มีใครอยากทำแล้วครับ
การคลอดลูกนี่เสี่ยงตายทั้งแม่ทั้งลูก เป็นเรื่องปกติที่ไม่ปกติ หลายๆคนคิดว่าต้องรอดหมด
ถ้า จขกท แน่ใจว่ามันต้องผิดที่ใครสักคนแน่ ก็ฟ้องเลย แต่ถ้ามันแค่การคิดเอาเองก็สอบถามกันให้ดีก่อนว่ามันเกิดจากอะไร
ทุกวันนี้หมอทำคลอด พยาบาลงานนี้แทบจะไม่มีใครอยากทำแล้วครับ
การคลอดลูกนี่เสี่ยงตายทั้งแม่ทั้งลูก เป็นเรื่องปกติที่ไม่ปกติ หลายๆคนคิดว่าต้องรอดหมด
ถ้า จขกท แน่ใจว่ามันต้องผิดที่ใครสักคนแน่ ก็ฟ้องเลย แต่ถ้ามันแค่การคิดเอาเองก็สอบถามกันให้ดีก่อนว่ามันเกิดจากอะไร
ความคิดเห็นที่ 81
**ในใจแต่สงสัยว่า หมอ 2 มาตาฐานมั้ย เพราะคนที่ได้รู้เรื่องนี้ล้วนแต่ถามว่าทำใมไม่ฝากพิเศษ เค้าจะได้ดูแลเราดีกว่านี้
- ไม่ 2 มาตรฐานค่ะ การฝากพิเศษ แค่เป็นการฝากครรภ์พบหมอคนเดิม ทำคลอดโดยหมอคนเดิม แต่ระหว่างการฝากครรภ์และระหว่างรอคลอด (ตรวจภายในประเมินปากมดลูก ทุกสิ่งอัน) จขกทจะได้รับเช่นเดียวกันค่ะ ไม่แตกต่างกัน
**ในใจได้แต่สงสัยว่า ทำใมเค้าไม่ซาวร์ท้องเรา ไปโรงพยาบาลที่ไร ก็ได้แต่ฟังเสียงหัวใจลูกแล้วก็กลับ (เพราะก่อนคลอดเครสพี่สาวเรายังได้ซาวร์เลย เพื่อประเมินว่า เด็กตัวใหญ่มั้ย เราคลอดเองได้มั้ย)
- การซาวน์ ซาวน์แค่ช่วงอายุครรภ์เดียวกับเจ้าของกระทู้ค่ะ เพื่อประเมินความผิดปกติที่เห็นเด่นชัดและมีอาการรุนแรง เด็กที่มีความผิดปกติเท่านั้นที่จะต้องซาวน์ซ้ำ เช่น ขนาดมดลูกใหญ่กว่าอายุครรภ์ (อันนี้ ประเมินซ้ำว่าเด็กตัวใหญ่เกินรึป่าว) เด็กแฝด เด็กไม่โต ท่าเด็กผิดปกติ(ตรวจได้จากการคลำท่าทางหน้าท้องและตำแหน่งหัวใจเต้น) ซึ่งจากการเล่าของจขกท แปลว่าน้ำหนักขึ้นตามเกณฑ์ ทุกอย่างปกติดีค่ะ จึงไม่มีความจำเป็นต้องซาวน์ซ้ำ หาก จขกทต้องการซาวน์ซ้ำ สามารถทำได้ตามเอกชนค่ะ เพราะว่านอกเหนือจากความจำเป็นและข้อบ่งชี้ และพยาบาลได้แจ้งทางเลือกให้แก่ จขกท แล้วค่ะ
**ในใจได้แต่สงสัยว่า ทำใมน้องถึงขาดออกซิเจน ทั้งที่ก่อนคลอดน้องยังดิ้นและแข็งแรงดีอยู่เลย
- น้องขาดออกซิเจน เพราะว่าใช้เวลาในการคลอดนานค่ะ ทางการแพทย์เรียกว่า birth asphyxia ซึ่งแพทย์เจ้าของไข้ได้มาใช้เครื่องดูดช่วยดูดแล้ว แต่การดูดออกต้องใช้แรงแบ่งและการหดตัวของมดลูกร่วมกันค่ะ
ทำใมปอดลูกเราถึงทะลุ
- เรื่องนี้เกิดขึ้นได้เอง หนึ่งสาเหตุในนั้นคือ ไม่ทราบสาเหตุ การที่แพทย์แจ้งว่าไม่ทราบ ไม่ได้กวนโอ้ยนะคะ แต่มันเป็นความจริงที่ว่า สามารถเกิดขึ้นได้เองค่ะ ขณะอยู่ในครรภ์เด็กไม่ได้หายใจทางปอดค่ะ รับออกซิเจนจากทางเส้นเลือด แต่เมื่อคลอดออกมา จึงมีการหายใจรับออกซิเจนทางปอด ดังนั้น จึงอาจมีความผิดปกติได้เองตั้งแต่ในครรภ์ และเมื่อหายใจเอง ก็หายใจไม่ได้เนื่องจากมีลมรั่วในปอดได้ค่ะ
**ในใจได้แต่สงสัยว่า เกี่ยวมั้ยว่าออกซิเจนตอนแรกเค้าลืมเปิดรึปล่าวลูกเราเลยขาดออกซิเจน
- ไม่เกี่ยวค่ะ
**ในใจได้แต่สงสัยว่า ทำใมเค้าไม่ประเมินเราให้ละเอียดและผ่าคลอดเราไปเลยตั่งแต่แรก
- ทุกเคสถูกประเมิน "โดยละเอียด" อยู่แล้วค่ะ ขนาดตัวเด็กถือว่าไม่ใหญ่จนเกินไป แต่ความสูงของมดลูกนี่ไม่ได้แจ้งไว้ แต่หากมีความสูงของมดลูกที่ใหญ่ แม่ตัวเตี้ย ช่องเชิงกรานแคบ ตรวจประเมินปากมดลูกแล้วมดลูกไม่เปิด หัวเด็กไม่ลง สงสัยว่าจะคลอดไม่ได้ แพทย์จะให้ผ่าคลอดอยู่แล้วค่ะ จากกรณีนี้ ที่เล่ามาโดยละเอียด เห็นได้ชัดว่า จขกท ปกติทุกอย่างค่ะ เลยให้คลอดทางช่องคลอด เมื่อมีปัญหา จึงต้องใช้การดูด ซึ่งเร็วกว่าการเตรียมห้องผ่าตัด เคลื่อนย้าย (คิดดูว่า หากห้องผ่าตัดมีการผ่าไส้คนอื่นค้างอยู่ ผ่าหัวคนอื่นค้างอยู่ เราก็ต้องรอให้เค้าผ่าเสร็จก่อนใช่มั้ยคะ กว่าจะเคลื่อนย้ายคนที่ถูกผ่าตัดเสร็จ ย้ายผู้ป่วยเข้าไปที่ห้องผ่าตัด ทุกอย่างต้องใช้เวลาค่ะ แต่การใช้เครื่องดูดสามารถทำได้เลยทันที นาทีนั้น ต้องรีบพาเด็กออกมาให้เร็วที่สุดค่ะ)
** มีคนบอกให้เราฟ้องร้อง แต่เราคิดว่ามันผ่านมาหลายวันแล้ว และน้องเราก็ฝากให้โรงบาลไปแล้ว
- ต้องถามตัวเองก่อนว่า ทำไมถึงอยากฟ้องร้องกับทาง รพ คะ เพราะมีคำถามมากมายในหัวที่ไม่ได้คำตอบ หรือว่า เพราะคนอื่นบอกให้ฟ้องร้อง ถ้ามีคำถาม ไม่พอใจ ติดใจสงสัย แนะนำว่ากลับไปถามข้อมูลกับทางรพ.ดีกว่าค่ะ ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นค่ะ ภาวะทางสูติกรรม เป็นอะไรที่คาดเดา หรือทำนายว่าจะเกิดกับใคร ตอนไหน ไม่ได้ ทางครอบครัว จขกท เสียใจ หนูว่า ทางทีมแพทย์และพยาบาลก็เครียดและเสียใจกับการคลอดที่มีปัญหาเช่นกันค่ะ แต่เราต้องเข้มแข็ง เพื่อให้สามารถทำงานต่อไป ช่วยคนไข้คนอื่นต่อค่ะ การคลอดทุกครั้งเป็นความเสี่ยงกับทั้งมารดาและบุตรในครรภ์ ไม่มีอะไรปลอดภัย 100% ค่ะ
อย่างไรก็ตาม ขอแสดงความเสียใจกับความสูญเสียครั้งนี้ค่ะ
- ไม่ 2 มาตรฐานค่ะ การฝากพิเศษ แค่เป็นการฝากครรภ์พบหมอคนเดิม ทำคลอดโดยหมอคนเดิม แต่ระหว่างการฝากครรภ์และระหว่างรอคลอด (ตรวจภายในประเมินปากมดลูก ทุกสิ่งอัน) จขกทจะได้รับเช่นเดียวกันค่ะ ไม่แตกต่างกัน
**ในใจได้แต่สงสัยว่า ทำใมเค้าไม่ซาวร์ท้องเรา ไปโรงพยาบาลที่ไร ก็ได้แต่ฟังเสียงหัวใจลูกแล้วก็กลับ (เพราะก่อนคลอดเครสพี่สาวเรายังได้ซาวร์เลย เพื่อประเมินว่า เด็กตัวใหญ่มั้ย เราคลอดเองได้มั้ย)
- การซาวน์ ซาวน์แค่ช่วงอายุครรภ์เดียวกับเจ้าของกระทู้ค่ะ เพื่อประเมินความผิดปกติที่เห็นเด่นชัดและมีอาการรุนแรง เด็กที่มีความผิดปกติเท่านั้นที่จะต้องซาวน์ซ้ำ เช่น ขนาดมดลูกใหญ่กว่าอายุครรภ์ (อันนี้ ประเมินซ้ำว่าเด็กตัวใหญ่เกินรึป่าว) เด็กแฝด เด็กไม่โต ท่าเด็กผิดปกติ(ตรวจได้จากการคลำท่าทางหน้าท้องและตำแหน่งหัวใจเต้น) ซึ่งจากการเล่าของจขกท แปลว่าน้ำหนักขึ้นตามเกณฑ์ ทุกอย่างปกติดีค่ะ จึงไม่มีความจำเป็นต้องซาวน์ซ้ำ หาก จขกทต้องการซาวน์ซ้ำ สามารถทำได้ตามเอกชนค่ะ เพราะว่านอกเหนือจากความจำเป็นและข้อบ่งชี้ และพยาบาลได้แจ้งทางเลือกให้แก่ จขกท แล้วค่ะ
**ในใจได้แต่สงสัยว่า ทำใมน้องถึงขาดออกซิเจน ทั้งที่ก่อนคลอดน้องยังดิ้นและแข็งแรงดีอยู่เลย
- น้องขาดออกซิเจน เพราะว่าใช้เวลาในการคลอดนานค่ะ ทางการแพทย์เรียกว่า birth asphyxia ซึ่งแพทย์เจ้าของไข้ได้มาใช้เครื่องดูดช่วยดูดแล้ว แต่การดูดออกต้องใช้แรงแบ่งและการหดตัวของมดลูกร่วมกันค่ะ
ทำใมปอดลูกเราถึงทะลุ
- เรื่องนี้เกิดขึ้นได้เอง หนึ่งสาเหตุในนั้นคือ ไม่ทราบสาเหตุ การที่แพทย์แจ้งว่าไม่ทราบ ไม่ได้กวนโอ้ยนะคะ แต่มันเป็นความจริงที่ว่า สามารถเกิดขึ้นได้เองค่ะ ขณะอยู่ในครรภ์เด็กไม่ได้หายใจทางปอดค่ะ รับออกซิเจนจากทางเส้นเลือด แต่เมื่อคลอดออกมา จึงมีการหายใจรับออกซิเจนทางปอด ดังนั้น จึงอาจมีความผิดปกติได้เองตั้งแต่ในครรภ์ และเมื่อหายใจเอง ก็หายใจไม่ได้เนื่องจากมีลมรั่วในปอดได้ค่ะ
**ในใจได้แต่สงสัยว่า เกี่ยวมั้ยว่าออกซิเจนตอนแรกเค้าลืมเปิดรึปล่าวลูกเราเลยขาดออกซิเจน
- ไม่เกี่ยวค่ะ
**ในใจได้แต่สงสัยว่า ทำใมเค้าไม่ประเมินเราให้ละเอียดและผ่าคลอดเราไปเลยตั่งแต่แรก
- ทุกเคสถูกประเมิน "โดยละเอียด" อยู่แล้วค่ะ ขนาดตัวเด็กถือว่าไม่ใหญ่จนเกินไป แต่ความสูงของมดลูกนี่ไม่ได้แจ้งไว้ แต่หากมีความสูงของมดลูกที่ใหญ่ แม่ตัวเตี้ย ช่องเชิงกรานแคบ ตรวจประเมินปากมดลูกแล้วมดลูกไม่เปิด หัวเด็กไม่ลง สงสัยว่าจะคลอดไม่ได้ แพทย์จะให้ผ่าคลอดอยู่แล้วค่ะ จากกรณีนี้ ที่เล่ามาโดยละเอียด เห็นได้ชัดว่า จขกท ปกติทุกอย่างค่ะ เลยให้คลอดทางช่องคลอด เมื่อมีปัญหา จึงต้องใช้การดูด ซึ่งเร็วกว่าการเตรียมห้องผ่าตัด เคลื่อนย้าย (คิดดูว่า หากห้องผ่าตัดมีการผ่าไส้คนอื่นค้างอยู่ ผ่าหัวคนอื่นค้างอยู่ เราก็ต้องรอให้เค้าผ่าเสร็จก่อนใช่มั้ยคะ กว่าจะเคลื่อนย้ายคนที่ถูกผ่าตัดเสร็จ ย้ายผู้ป่วยเข้าไปที่ห้องผ่าตัด ทุกอย่างต้องใช้เวลาค่ะ แต่การใช้เครื่องดูดสามารถทำได้เลยทันที นาทีนั้น ต้องรีบพาเด็กออกมาให้เร็วที่สุดค่ะ)
** มีคนบอกให้เราฟ้องร้อง แต่เราคิดว่ามันผ่านมาหลายวันแล้ว และน้องเราก็ฝากให้โรงบาลไปแล้ว
- ต้องถามตัวเองก่อนว่า ทำไมถึงอยากฟ้องร้องกับทาง รพ คะ เพราะมีคำถามมากมายในหัวที่ไม่ได้คำตอบ หรือว่า เพราะคนอื่นบอกให้ฟ้องร้อง ถ้ามีคำถาม ไม่พอใจ ติดใจสงสัย แนะนำว่ากลับไปถามข้อมูลกับทางรพ.ดีกว่าค่ะ ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นค่ะ ภาวะทางสูติกรรม เป็นอะไรที่คาดเดา หรือทำนายว่าจะเกิดกับใคร ตอนไหน ไม่ได้ ทางครอบครัว จขกท เสียใจ หนูว่า ทางทีมแพทย์และพยาบาลก็เครียดและเสียใจกับการคลอดที่มีปัญหาเช่นกันค่ะ แต่เราต้องเข้มแข็ง เพื่อให้สามารถทำงานต่อไป ช่วยคนไข้คนอื่นต่อค่ะ การคลอดทุกครั้งเป็นความเสี่ยงกับทั้งมารดาและบุตรในครรภ์ ไม่มีอะไรปลอดภัย 100% ค่ะ
อย่างไรก็ตาม ขอแสดงความเสียใจกับความสูญเสียครั้งนี้ค่ะ
ความคิดเห็นที่ 63
อันดับแรก เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นครับ และขอให้ จขกท ก้าวผ่านเรื่องร้ายไปได้ด้วยดีนะครับ
การคลอดมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้เสมอ หมอมีหน้าที่ช่วยให้ปลอดภัยที่สุด แต่ ก็ไม่ใช่ว่าจะช่วยได้ทุกกรณี เคสนี้ถ้าสมมุติ คุณหมอไม่ช่วยคลอดด้วยเครื่องดูด ให้คลอดเร็วขึ้น น้องอาจจะเสียตั้งแต่ในครรภ์ แต่ในกรณีนี้ยังสามารถ คลอดออกมา และช่วยฟื้นคืนชีพ ด้วยวิธีต่างๆได้ แต่ด้วยตัวโรค อาจจะรุนแรง จนทำให้ไม่สามารถดูแลต่อได้
การคลอด กำหนดคลอดที่หมอนับ คือ 40 สัปดาห์ ไม่จำเป็นต้องคลอดวันนี้เป่ะๆ เรามีเวลาที่เหมาะสมจริงๆ คือ 37-42 สัปดาห์ ในหลายๆ ที่อาจจะเริ่มกระตุ้นคลอดหลัง 41 สัปดาห์
การผ่าคลอดมีคอมเมนท์ด้านบนๆ บอกไปแล้วว่า ปกติ รพ รัฐ หรือ โรงเรียนแพทย์ ต่างๆ มักจะให้ผ่าคลอดตามข้อบ่งชี้ เพราะ มันเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในอีกหลายๆด้าน
การที่เราเห็นดาราหรือบุคคลต่างๆตามข่าว ที่บอกว่า ได้ผ่าคลอด ตามฤกษ์ หรือ เลือกแพคเกจผ่าคลอด นั้น บอกได้เลยว่าผิดหลักวิชาการทางสูติศาสตร์ แต่ไม่มีสื่อไหนจะสนใจจะตีแผ่ความจริงใดๆตามหลักวิชาการปล่อยให้ประชาชนเข้าใจผิดๆตลอดมา หมอไล่บอกทีละเคส บางทีอาจจะไม่ถึงวงกว้างอย่างเพียงพอครับ
การ ultrasound ไม่จำเป็นต้องทำทุกครั้งแบบเอกชน นอกจากไม่ได้ประโยชน์แล้วยังเสียเงินเพิ่มอีกต่างหาก ยกเว้นจะมี ข้อบ่งชี้หรือข้อสงสัย จึงจะทำ
ขอตอบประมาณนี้ก่อนครับ ส่วนสาเหตุการเสียชีวิต ไม่ได้อยู่ใน เหตุการณ์นั้นๆ อาจจะบอกลำบากครับ
ขอบคุณครับ
การคลอดมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้เสมอ หมอมีหน้าที่ช่วยให้ปลอดภัยที่สุด แต่ ก็ไม่ใช่ว่าจะช่วยได้ทุกกรณี เคสนี้ถ้าสมมุติ คุณหมอไม่ช่วยคลอดด้วยเครื่องดูด ให้คลอดเร็วขึ้น น้องอาจจะเสียตั้งแต่ในครรภ์ แต่ในกรณีนี้ยังสามารถ คลอดออกมา และช่วยฟื้นคืนชีพ ด้วยวิธีต่างๆได้ แต่ด้วยตัวโรค อาจจะรุนแรง จนทำให้ไม่สามารถดูแลต่อได้
การคลอด กำหนดคลอดที่หมอนับ คือ 40 สัปดาห์ ไม่จำเป็นต้องคลอดวันนี้เป่ะๆ เรามีเวลาที่เหมาะสมจริงๆ คือ 37-42 สัปดาห์ ในหลายๆ ที่อาจจะเริ่มกระตุ้นคลอดหลัง 41 สัปดาห์
การผ่าคลอดมีคอมเมนท์ด้านบนๆ บอกไปแล้วว่า ปกติ รพ รัฐ หรือ โรงเรียนแพทย์ ต่างๆ มักจะให้ผ่าคลอดตามข้อบ่งชี้ เพราะ มันเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในอีกหลายๆด้าน
การที่เราเห็นดาราหรือบุคคลต่างๆตามข่าว ที่บอกว่า ได้ผ่าคลอด ตามฤกษ์ หรือ เลือกแพคเกจผ่าคลอด นั้น บอกได้เลยว่าผิดหลักวิชาการทางสูติศาสตร์ แต่ไม่มีสื่อไหนจะสนใจจะตีแผ่ความจริงใดๆตามหลักวิชาการปล่อยให้ประชาชนเข้าใจผิดๆตลอดมา หมอไล่บอกทีละเคส บางทีอาจจะไม่ถึงวงกว้างอย่างเพียงพอครับ
การ ultrasound ไม่จำเป็นต้องทำทุกครั้งแบบเอกชน นอกจากไม่ได้ประโยชน์แล้วยังเสียเงินเพิ่มอีกต่างหาก ยกเว้นจะมี ข้อบ่งชี้หรือข้อสงสัย จึงจะทำ
ขอตอบประมาณนี้ก่อนครับ ส่วนสาเหตุการเสียชีวิต ไม่ได้อยู่ใน เหตุการณ์นั้นๆ อาจจะบอกลำบากครับ
ขอบคุณครับ
ความคิดเห็นที่ 93
ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยครับ คงจะสะเทือนใจกับ คนเป็นพ่อเป็นแม่มาก
แต่การ ให้บริการของรพ.รัฐ ก็ตามที่คุณอธิบาย มานั้นตรงกับความจริงแล้ว เพราะปฎิบัติตามตำราทุกอย่าง
แต่สิ่งที่ คนท้องทุกคน รวมทั้งหมอเด็กๆประสบการณ์น้อย หลายๆคนยังไม่รู้ และอาจไม่เคยคิดจะรู้ คือ การรักษา แบบ standard มี acceptable loss ครับ
เขามีกำหนดไว้ เป็น standard รพ. ว่า อัตราการ ตาย ของทารกแรกเกิด ไม่เกินเท่าไหร่ ต่อ 1000 อัตราการตาย ของมารดา ไม่เกิน เท่าไหร่ ต่อ10000
และการ ดูแล คนท้อง อายุครรภ์ 42สัปดาห์ อย่างจขกท นั้นมีความเสี่ยงสูงมาก เนื่องด้วยเกินกำหนดไป 2wk ถ้าทารกเจริญเติบโตปกติ ก็มักจะตัวโตกว่าเด็กทั่วไป และรกที่อายุครรภ์ 42wk การทำงานให้ อ๊อกซิเจน และสารน้ำกับตัวทารกก็จะด้อยลงไปมาก การเจ็บครรภ์ ตามปกติการบีบตัวของมดลูกแต่ละครั้ง ก็อาจทำให้ ทารกอยู่ในสภาพขาด อ๊อกซิเจนได้ง่ายมาก แพทย์ที่จะดูแลการคลอดกรณีแบบนี้ได้ จะต้องเป็นสูติแพทย์ที่เก่งมาก และดู monitor การเต้นของหัวใจเด็ก และสีของน้ำคร่ำที่ออกมา ตลอด ถ้าผิดปกติเด็กอยู่ในสภาพ ขาดอ็อกซิเจน ก็ต้อง ผ่าตัดคลอดทันที
ตามที่บอกว่า แพทย์ต้องใช้เครื่องดูดดูดออก แสดงว่าทารกต้องตัวโตในระดับหนึ่งจึงคลอดยาก ส่วนที่ทารกคลอดแล้ว ตัวเขียว ไม่หายใจ
แสดงว่าขาดอ๊อกซิเจนรุนแรง จากภาวะรกเสื่อมไม่สามารถส่งอ๊อกซิเจนไปยังลูกได้เวลามีการเจ็บครรภ์ ส่วนการที่ทารกปอดทะลุนั้น แสดงว่า
ขณะที่ทารกขาดอ๊อกซิเจน ในระหว่างเจ็บครรภ์นั้นเด็กได้ถ่ายขี้เทาออกมาใน ถุงน้ำคร่ำและสำลักขี้เทา ตัวเองเข้าไปในปอดเพราะเด็กที่ขาด
อ๊อกซิเจนนั้นก็เหมือนคนที่จมน้ำ ก็พยายามหายใจเฮือกแรกเพื่อเอาอากาศเข้าปอด เพื่อเอาตัวรอด แต่ในถุงน้ำคร่ำขณะนั้นไม่มีอากาศ มีแต่น้ำคร่ำ
ปนกับขี้เทาที่เด็กถ่ายออกมา เด็กจึงหายใจเอาขี้เทาสีเขียวเหนียวๆเข้าไปในปอด พอถึงเวลาคลอดออกมาแล้ว ถึงมีอากาศให้หายใจแล้วก็ไม่สามารถ
เอาอ๊อกซิเจนในอากาศไปใช้ได้ จึงตัวเขียว แพทย์ก็ต้องดูดเอาขี้เทาในปอดออก ให้ได้มากที่สุด แต่ถ้าสำลักไปมากดูดยังไงก็ไม่หมด จึงต้องใส่ท่อ
เพื่อใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่ขี้เทาที่สำลักเข้าไปถ้ามาก เด็กจะมีปัญหาตลอดต้องใช้เครื่องช่วยหายใจความถี่สูง และเพิ่มแรงดันอากาศไปเรื่อยๆจนสุดท้ายถุงลมปอดจะทะลุเพราะ อัดอากาศเข้าปอดได้แต่ ไหลออกไม่ได้ เพราะขี้เทาไปอุดกั้นเป็น valveทางเดียว ไม่ให้อากาศออก เหมือนเราเป่าลูกบอลยางที่มีลิ้นกันลมออกสุดท้าย ลูกบอลก็จะแตก ลมรั่วเข้าในช่องปอด และเสียชีวิตจากภาวะการหายใจล้มเหลวในที่สุด
สูติแพทย์ที่เก่งๆส่วนใหญ่ แค่ฟังเรื่องที่คุณเล่ามาก็รู้แล้วว่าลำดับเหตุการณ์มันเกิด อะไรขึ้น ส่วนใหญ่สูติแพทย์เก่งๆ ที่รับฝากครรภ์เขามีวิธืรับมือกับเรื่องพวกนี้ เพราะเขาจะ set standard ของตัวเองใหม่ ไม่ได้เอาตามตำรา เพราะสำหรับคนไข้ที่เขารับดูแลพิเศษนั้น ALL LOSS IS UNACCEPTABLE
อย่าง ตามตำราที่แพทย์ไทยเรียนกันมา นั้นตามก้นฝรั่งมาเพียวๆ เกินกำหนดคลอดฝรั่ง คือ 42สัปดาห์ แต่นั้นคือศึกษามาจาก ประชาชนพลเมืองฝรั่ง ซึ่งร่างกายของพลเมืองเขาทั้งสูงใหญ่กว่าหญิงไทยมาก คลอดลูก3500gm ถึง4000gm ได้สบายๆ แต่กับผู้หญิงไทยตัวเล็กๆ การคลอดลูก นน. 3500-4000 เสี่ยงต่อการคลอดยาก และติดไหล่ได้มากมาย และทำให้ทารกบาดเจ็บสาหัส ถึงพิการแขนอ่อนแรงได้
แต่สูติแพทย์เก่งๆส่วนใหญ่ มักอยู่รพ.ของรัฐได้ไม่นานหรอกครับ เพราะหมอเก่งๆคนไข้ก็จะเข้าหามาก เพราะมั่นใจ พอมากถึงระดับนึง จะถูกหมอสาขาอื่น รวมทั้งพยาบาลเขม่นเอา การเป็นคนเด่นดัง ในหน่วยงานของรัฐนั้นเป็นเรื่องอันตรายมาก ตามกลอนของหลวงวิจิตรวาทการ นั้นแล
แนะนำให้คุณแม่กับคุณพ่อ เข้า ขอพบ ผอ.รพ นั้นเพื่อขอความกระจ่าง ในเหตุที่เกิดขึ้นกับตัวคุณ และ สิทธิ 30 บาท มีมาตรา 41 เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากบริการทางการแพทย์อยู่แล้วครับ แม้จะสุดวิสัยก็ตาม (ต้องดำเนินการภายใน 1ปี นับแต่วันที่เกิดเหตุ)
แต่การ ให้บริการของรพ.รัฐ ก็ตามที่คุณอธิบาย มานั้นตรงกับความจริงแล้ว เพราะปฎิบัติตามตำราทุกอย่าง
แต่สิ่งที่ คนท้องทุกคน รวมทั้งหมอเด็กๆประสบการณ์น้อย หลายๆคนยังไม่รู้ และอาจไม่เคยคิดจะรู้ คือ การรักษา แบบ standard มี acceptable loss ครับ
เขามีกำหนดไว้ เป็น standard รพ. ว่า อัตราการ ตาย ของทารกแรกเกิด ไม่เกินเท่าไหร่ ต่อ 1000 อัตราการตาย ของมารดา ไม่เกิน เท่าไหร่ ต่อ10000
และการ ดูแล คนท้อง อายุครรภ์ 42สัปดาห์ อย่างจขกท นั้นมีความเสี่ยงสูงมาก เนื่องด้วยเกินกำหนดไป 2wk ถ้าทารกเจริญเติบโตปกติ ก็มักจะตัวโตกว่าเด็กทั่วไป และรกที่อายุครรภ์ 42wk การทำงานให้ อ๊อกซิเจน และสารน้ำกับตัวทารกก็จะด้อยลงไปมาก การเจ็บครรภ์ ตามปกติการบีบตัวของมดลูกแต่ละครั้ง ก็อาจทำให้ ทารกอยู่ในสภาพขาด อ๊อกซิเจนได้ง่ายมาก แพทย์ที่จะดูแลการคลอดกรณีแบบนี้ได้ จะต้องเป็นสูติแพทย์ที่เก่งมาก และดู monitor การเต้นของหัวใจเด็ก และสีของน้ำคร่ำที่ออกมา ตลอด ถ้าผิดปกติเด็กอยู่ในสภาพ ขาดอ็อกซิเจน ก็ต้อง ผ่าตัดคลอดทันที
ตามที่บอกว่า แพทย์ต้องใช้เครื่องดูดดูดออก แสดงว่าทารกต้องตัวโตในระดับหนึ่งจึงคลอดยาก ส่วนที่ทารกคลอดแล้ว ตัวเขียว ไม่หายใจ
แสดงว่าขาดอ๊อกซิเจนรุนแรง จากภาวะรกเสื่อมไม่สามารถส่งอ๊อกซิเจนไปยังลูกได้เวลามีการเจ็บครรภ์ ส่วนการที่ทารกปอดทะลุนั้น แสดงว่า
ขณะที่ทารกขาดอ๊อกซิเจน ในระหว่างเจ็บครรภ์นั้นเด็กได้ถ่ายขี้เทาออกมาใน ถุงน้ำคร่ำและสำลักขี้เทา ตัวเองเข้าไปในปอดเพราะเด็กที่ขาด
อ๊อกซิเจนนั้นก็เหมือนคนที่จมน้ำ ก็พยายามหายใจเฮือกแรกเพื่อเอาอากาศเข้าปอด เพื่อเอาตัวรอด แต่ในถุงน้ำคร่ำขณะนั้นไม่มีอากาศ มีแต่น้ำคร่ำ
ปนกับขี้เทาที่เด็กถ่ายออกมา เด็กจึงหายใจเอาขี้เทาสีเขียวเหนียวๆเข้าไปในปอด พอถึงเวลาคลอดออกมาแล้ว ถึงมีอากาศให้หายใจแล้วก็ไม่สามารถ
เอาอ๊อกซิเจนในอากาศไปใช้ได้ จึงตัวเขียว แพทย์ก็ต้องดูดเอาขี้เทาในปอดออก ให้ได้มากที่สุด แต่ถ้าสำลักไปมากดูดยังไงก็ไม่หมด จึงต้องใส่ท่อ
เพื่อใส่เครื่องช่วยหายใจ แต่ขี้เทาที่สำลักเข้าไปถ้ามาก เด็กจะมีปัญหาตลอดต้องใช้เครื่องช่วยหายใจความถี่สูง และเพิ่มแรงดันอากาศไปเรื่อยๆจนสุดท้ายถุงลมปอดจะทะลุเพราะ อัดอากาศเข้าปอดได้แต่ ไหลออกไม่ได้ เพราะขี้เทาไปอุดกั้นเป็น valveทางเดียว ไม่ให้อากาศออก เหมือนเราเป่าลูกบอลยางที่มีลิ้นกันลมออกสุดท้าย ลูกบอลก็จะแตก ลมรั่วเข้าในช่องปอด และเสียชีวิตจากภาวะการหายใจล้มเหลวในที่สุด
สูติแพทย์ที่เก่งๆส่วนใหญ่ แค่ฟังเรื่องที่คุณเล่ามาก็รู้แล้วว่าลำดับเหตุการณ์มันเกิด อะไรขึ้น ส่วนใหญ่สูติแพทย์เก่งๆ ที่รับฝากครรภ์เขามีวิธืรับมือกับเรื่องพวกนี้ เพราะเขาจะ set standard ของตัวเองใหม่ ไม่ได้เอาตามตำรา เพราะสำหรับคนไข้ที่เขารับดูแลพิเศษนั้น ALL LOSS IS UNACCEPTABLE
อย่าง ตามตำราที่แพทย์ไทยเรียนกันมา นั้นตามก้นฝรั่งมาเพียวๆ เกินกำหนดคลอดฝรั่ง คือ 42สัปดาห์ แต่นั้นคือศึกษามาจาก ประชาชนพลเมืองฝรั่ง ซึ่งร่างกายของพลเมืองเขาทั้งสูงใหญ่กว่าหญิงไทยมาก คลอดลูก3500gm ถึง4000gm ได้สบายๆ แต่กับผู้หญิงไทยตัวเล็กๆ การคลอดลูก นน. 3500-4000 เสี่ยงต่อการคลอดยาก และติดไหล่ได้มากมาย และทำให้ทารกบาดเจ็บสาหัส ถึงพิการแขนอ่อนแรงได้
แต่สูติแพทย์เก่งๆส่วนใหญ่ มักอยู่รพ.ของรัฐได้ไม่นานหรอกครับ เพราะหมอเก่งๆคนไข้ก็จะเข้าหามาก เพราะมั่นใจ พอมากถึงระดับนึง จะถูกหมอสาขาอื่น รวมทั้งพยาบาลเขม่นเอา การเป็นคนเด่นดัง ในหน่วยงานของรัฐนั้นเป็นเรื่องอันตรายมาก ตามกลอนของหลวงวิจิตรวาทการ นั้นแล
แนะนำให้คุณแม่กับคุณพ่อ เข้า ขอพบ ผอ.รพ นั้นเพื่อขอความกระจ่าง ในเหตุที่เกิดขึ้นกับตัวคุณ และ สิทธิ 30 บาท มีมาตรา 41 เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากบริการทางการแพทย์อยู่แล้วครับ แม้จะสุดวิสัยก็ตาม (ต้องดำเนินการภายใน 1ปี นับแต่วันที่เกิดเหตุ)
ความคิดเห็นที่ 51
ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดคลอดนะคะ ไม่ใช่ว่าแค่ต้องการผ่าก็ผ่าได้
1.ทารกในครรภ์ มีส่วนนำที่ไม่ใช่ศีรษะ เช่น ท่าก้น เป็นต้น
มีการตั้งครรภ์แฝด
2.มีรกเกาะต่ำ นั่นคือเกาะที่ด้านล่างของมดลูกใกล้กับหรือชิดหรือปิดปากมดลูก
แพทย์ได้มีการชักนำให้เกิดการคลอดแล้ว แต่ล้มเหลว มารดาคลอดเองไม่ได้
3.มีประวัติการตั้งครรภ์ที่เคยผ่านการผ่าตัดคลอดมาก่อน
4.มีเนื้องอกในอุ้งเชิงกรานที่ขัดขวางการคลอดทางช่องคลอด เช่น เนื้องอกมดลูก เนื้องอกรังไข่ เป็นต้น
5.การติดเชื้อที่ช่องทางคลอดของมารดา เช่น โรคเริมที่อวัยวะเพศ หรือ โรคหูดหงอนไก่ เป็นต้น
6.ข้อบ่งชี้ที่เกิดจากทารก เช่น ภาวะเครียดของทารกในครรภ์ (ภาวะที่ทารกในครรภ์มีอาการผิดปกติ, Fetal distress) เป็นต้น
7.ภาวะที่ศีรษะทารกมีขนาดใหญ่กว่าอุ้งเชิงกราน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะวินิจฉัยได้ในช่วงที่มีการเจ็บครรภ์คลอดแล้ว
ในกรณีที่ผู้ตั้งครรภ์ต้องการผ่าตัดคลอดโดยที่ไม่มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน สูติแพทย์จะทำการสอบ ถามถึงเหตุผลและอธิบายถึงข้อดี-ข้อเสียของการคลอดบุตรตามธรรมชาติกับการผ่าตัดคลอด เพื่อ ให้ผู้ตั้งครรภ์ทราบและเข้าใจอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามสูติแพทย์บางท่านอาจจะไม่สะดวกใจที่จะทำการผ่าตัดคลอดให้โดยที่ไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ในขณะที่การเลือกวิธีการคลอดบุตรก็เป็นสิทธิโดยชอบธรรมของผู้ตั้งครรภ์ ในกรณีดังกล่าวสูติแพทย์จะทำการส่งผู้ตั้งครรภ์ดังกล่าวให้กับสูติแพทย์อีกท่านหนึ่งเพื่อให้การดูแลรักษาที่เหมาะสมต่อไป
1.ทารกในครรภ์ มีส่วนนำที่ไม่ใช่ศีรษะ เช่น ท่าก้น เป็นต้น
มีการตั้งครรภ์แฝด
2.มีรกเกาะต่ำ นั่นคือเกาะที่ด้านล่างของมดลูกใกล้กับหรือชิดหรือปิดปากมดลูก
แพทย์ได้มีการชักนำให้เกิดการคลอดแล้ว แต่ล้มเหลว มารดาคลอดเองไม่ได้
3.มีประวัติการตั้งครรภ์ที่เคยผ่านการผ่าตัดคลอดมาก่อน
4.มีเนื้องอกในอุ้งเชิงกรานที่ขัดขวางการคลอดทางช่องคลอด เช่น เนื้องอกมดลูก เนื้องอกรังไข่ เป็นต้น
5.การติดเชื้อที่ช่องทางคลอดของมารดา เช่น โรคเริมที่อวัยวะเพศ หรือ โรคหูดหงอนไก่ เป็นต้น
6.ข้อบ่งชี้ที่เกิดจากทารก เช่น ภาวะเครียดของทารกในครรภ์ (ภาวะที่ทารกในครรภ์มีอาการผิดปกติ, Fetal distress) เป็นต้น
7.ภาวะที่ศีรษะทารกมีขนาดใหญ่กว่าอุ้งเชิงกราน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะวินิจฉัยได้ในช่วงที่มีการเจ็บครรภ์คลอดแล้ว
ในกรณีที่ผู้ตั้งครรภ์ต้องการผ่าตัดคลอดโดยที่ไม่มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน สูติแพทย์จะทำการสอบ ถามถึงเหตุผลและอธิบายถึงข้อดี-ข้อเสียของการคลอดบุตรตามธรรมชาติกับการผ่าตัดคลอด เพื่อ ให้ผู้ตั้งครรภ์ทราบและเข้าใจอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามสูติแพทย์บางท่านอาจจะไม่สะดวกใจที่จะทำการผ่าตัดคลอดให้โดยที่ไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ ในขณะที่การเลือกวิธีการคลอดบุตรก็เป็นสิทธิโดยชอบธรรมของผู้ตั้งครรภ์ ในกรณีดังกล่าวสูติแพทย์จะทำการส่งผู้ตั้งครรภ์ดังกล่าวให้กับสูติแพทย์อีกท่านหนึ่งเพื่อให้การดูแลรักษาที่เหมาะสมต่อไป
แสดงความคิดเห็น
ทำใมลูกเราตายขณะทำคลอด ใครรู้ช่วยตอบเราที ??
เนื่องด้วยก่อนหน้านี้เราเคยอยู่ กทม. มาก่อน จึงย้ายกลับมาอยู่บ้านที่ นครสวรรค์ และไม่ทราบว่าต้องฝากท้องแบบพิเศษ จึงจะได้รับการดูแลที่ดีกว่าปกติเป็นอย่างมาก แต่เนื่องด้วยเราคิดว่าคงต่างกันไม่เท่าไหร่เราจึงไม่ฝากพิเศษและไม่ได้มีใครแนะนำอะไร
เนื่องจากเป็นท้องแรก ตลอดการฝากครรภ์เราได้ซาวร์ท้องแค่หนเดียวตอนอายุครรภ์ 18w4วัน และใบซาวร์ก็ไม่มีรุป มีแต่ตัวหนังสือ เราถามพยาบาลว่าไม่เห็นมีรุปเด็กเลย เราอยากรู้ว่าเค้าแข็งแรงมั้ย มีอวัยวะครบมั้ย เค้าเป็น ญ/ช แต่กลับได้รับคำตอบว่า "ที่นี่ตรวจแบบนี้แหละ อยากรู้ต้องออกไปซาวร์ข้างนอก จะอยากรู้ไปทำใมรู้แล้วลูกโตเร็วขึ้นหรอ" เรานี้เงิบเลย แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไร ไปตรวจกี่ครั้ง ก็ได้ฟังแค่เสียงหัวใจลูก เค้าก็บอกว่าแข็งแรงดี
ทุกครั้ง ไม่เคยเจอหมอเลย เจอแต่พยาบาลทุกๆครั้งเลย กำหนดคลอดเรา วันที่ 25 ก.พ. 58 ตลอดเวลาที่ท้อง ลูกเราดิ้นเก่งมาก ดิ้นตลอด ไม่เคยมีปัญหาเลยตลอดการท้อง
วันที่ 17 ก.พ. เรามีน้ำใหลออกมาเป็นสีเหมือนน้ำมะพร้าวแต่ไม่ปวดท้อง เราก็นึกว่าน้ำคร่ำจึงรีบไปโรงพยาบาล แต่พยาบาลตรวจแล้วบอกไม่ใช่น้ำคร่ำ ก็นอนฟังเสียงหัวใจตัวเล็กครึ่ง ชม. แล้วให้กลับบ้าน จนครบกำหนด คลอด 40w วันที่ 25 ก.พ. น้องก็ยังไม่ออก
พยาบาลบอกน้องยังไม่ออกให้รอก่อน ตรวจเสียงหัวใจแล้วให้กลับบ้านเหมือนทุกๆครั้ง (ตอนท้องตั่งใจว่าจะคลอดเอง)
วันที่ 5 พยาบาลนัดมาตรวจอีกครบ 41w เราคิดว่าคงออกวันนี้เพราะครั้งที่แล้วมาพยาบาลบอกต้องคลอดแล้วส่งตัวเรามาบอกแอดมิดเตรียมคลอด แต่หมอที่อยู่เวรวันนั้นบอกว่าเราเป็นคนไข้ของหมออีกคน ซึ่งหมอคนนี้ไม่ได้เข้าเวร เราบอกท้องนานแล้วเลยกำหนดแล้วด้วย เร่งคลอดได้มั้ย หรือ ไม่ก็ผ่าเลยเราอยากเจอลูกแล้ว แต่เค้าบอกว่าไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้เราไม่ใช่คนไข้ของเค้า และบอกเราว่า ถ้าเร่งคลอดก็อันตรายจะปวดมากเค้าให้เรากลับบ้านก่อนให้รอจนปวดค่อยมา
เรากับแฟนก็พากันกลับบ้าน นัดอีกทีวันที่ 10 มี.ค. ต่อมา วันที่ 7 มี.ค. เรามีมูกเลือดออกมา จึงรีบไป รพ. ตรวจปากมดลูก พยาบาลบอกเปิด 1 ซ.ม.จึงให้กลับบ้านก่อน กลับบ้านมาได้ 3 วัน วันที่ 10 เราปวดท้องตอนช่วงสี่ทุ่ม เราก็รอให้ปวดถี่ๆ มาปวดหนักเรือยๆทุก 5 นาทีตอน ตี 3 บอกแฟนไม่ใหวแล้วพาไปโรงบาลที พอไปถึงเค้าตรวจปากมดลูก เปิด 2 ซม. ให้เรานอนรอคลอด เราปวดท้องมากปวดถี่ทุก 3-5 นาที เรานอนปวดจน 7 โมงเช้า พยาบาลมาตรวจภายใน ควานถุงน้ำคร่ำเราแตกมั้งเพราะมีเสียงดังปึดแล้วก็มีเลือดใหลออกมาเยอะมากและบอกว่าปากมดลูกเปิด 4 ซม. เค้าก็ให้เรานอนรอจนเก้าโมง พาเข้าห้องคลอดแต่ปากมดลูกเราก็ไม่เปิดเพิ่มอีก
นักเรียนพยาบาลใส่ที่วัดเสียงหัวใจตัวเล็ก เสียงหัวใจลูกเราเต้นดีตลอดไม่มีอาการผิดปกติเลย เค้าก็ให้ยาเร่งคลอดเราตอนใกล้ๆ 10 โมง ตอนที่อยู่ในห้องคลอดมีนักเรียนพยาบาลมาดูแล เจอะสายน้ำเกลือ ให้ออกซิเจนที่เป็นสายใส่จมูก ตอนนั้นเราปวดท้องก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก นอนดิ้น นอนปวด เราร้องคราง พยาบาลบอกอย่าร้อง เราก็ทน ดิ้นไปดิ้นมา
นักเรียนพยาบาลใส่ที่วัดเสียงหัวใจตัวเล็กตั่งแต่ตอนเราเข้ามานอนที่โรงบาล เสียงหัวใจลูกเราเต้นดีตลอดไม่มีอาการผิดปกติเลย พอ 11 โมง เราบอกนักเรียนพยาบาลว่าไม่ใหวแล้วเราปวดมาก ขอผ่าได้มั้ย เค้าบอกว่า "คุณแม่ค่ะ คลอดเองแผลหายไวกว่าผ่านะคะ อดทนนะคะ" พอ 11 โมงกว่าพยาบาลมาตรวจปากมดลูกบอกเปิดแล้วให้เตรียมทำคลอด ก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการทำคลอด
เราเบ่งน้องตั่งแต่ 11 โมง ลมเบ่งก็นานๆมาที แต่ปวดมาก เบ่งตั่งไม่รู้กี่เที่ยว น้องก็ไม่ออก หมอก็เอาที่ดูดมาดูดน้อง ระหว่างดูดก็สอนนักเรียนแพทย์ไปด้วย ว่าต้องดูดอย่างไร ทำอย่างไร เราก็ปวดท้องมากก
พอเที่ยงกว่าๆพยาบาลคนนึงเพิ่งเข้ามาก็มาช่วยกดท้องให้กดท้อง พยาบาลคุยกันเสียงหัวใจน้องหายไปบอกเสียงดร็อปไป หาไปหามาก็เจอ พยาบาลบอกน้องก็ใกล้ออกแล้ว หมอก็กรีดช่องคลอด ให้เราเบ่งสุดแรงยาวๆ แล้วหมอก็ใช้ที่ดูดๆ สักพักน้องก็ออกมา คลอดตอน 12.32
แต่เราไม่ได้ยินเสียงน้องร้องเลยใจไม่ดีเลย พยาบาลเอามาวางบนหน้าอกเราแปปนึง แล้วรีบเอาไป เห็นแวปนึง น้องตัวเขียว ไม่ร้อง เราเพลียมากแล้วก็เบลอๆ เป็นห่วงน้อง หมอทำคลอดรกต่อและก็เย็บแผลที่กรีดและเย็บมดลูก(ผนังมดลูกน่าจะฉีก เพราะเรารู้สึกเวลาหมอเย็บผนังทางด้านซ้ายเจ็บมากก) พยาบาลบอกเราตกเลือดให้นอนนึ่งๆแล้วเอาเจลมาประคบท้อง แล้วถามนักเรียนพยาบาลว่าทำใมไม่เปิดออกซิเจน พอเปิดเท่านั้นแหละเรารุสึกได้ว่ามันต่างกับตอนแรกที่ใส่ เราสงสัยว่าเค้าลืมเปิดตั้งแต่แรก
สักพักหมอเด็กเดินมาบอกเราว่า น้องตัวเขียว ไม่ร้อง เพราะขาดออกซิเจน อาการ 50/50 เราก็งงๆ ตั้งสติได้ก็ร้องให้ นึกถึงคุณพระคุณเจ้าให้คุ้มครองลูก บนบาลศาลกล่าว ขอให้น้องปลอดภัย
2 ชม.ต่อมาเค้าก็พาเราไปห้องพักฟื้น เราได้แต่ร้องให้ แฟนเราไปดูลูก เห็นหมอรุมกันช่วย แฟนเราถามว่าลูกเราเป็นไงบ้าง หมอบอกน้องขาดออกซิเจนปอดทะลุ แฟนเราถามว่าเกิดจากอะไร เค้าก็บอกไม่รู้ เรานอนอยู่คืนนึงได้แต่ภาวนาให้ตัวเล็กปลอดภัย
จนเช้าเค้าให้เราไปเยี่ยมลูกได้ พอเห็นลูกเท่านั้นแหละ ใจแทบขาด สายอะไรก็ไม่รู้เต็มตัวน้องไปหมด อาการก็ไม่ดีขึ้น ต้องใช้เครื่องกระตุ้นปอดเพราะปอดรั่ว ใส่ออกซิเจนเพราะน้องหายใจเองไม่ได้ ตัวสั่นตลอดเวลาเพราะเครื่องต่างๆ เราน้ำตาใหลเดินไปจับมือลูกจับแขนลูกขอให้เค้าเข้มแข็ง ให้เค้าสู้ๆแล้วกลับมาหาเรา มาอยู่กับเรา ถามหมอว่าน้องเป็นอะไรทำใมเป็นแบบนี้เค้าก็บอกแต่ไม่รู้ เราก็ไม่รู้จะทำไง เค้าถามเราว่าถ้าหัวใจน้องหยุดเต้นจะให้ปั๊มหัวใจน้องมั้ย เราคิดอยู่สักพัก ก็บอกว่าไม่ต้องก็ได้ เพราะน้องปอดรั่วถ้าปั๊มไปปอดอาจฉีกเยอะกว่านี้ หมอบอกใช่ เราเลยบอกไม่ปั๊มปล่อยให้น้องหลับไปเลย
ดูลูกอยู่สักพักเราก็กลับมาที่ห้องพัก(ห้องรวม) ใจก็ภาวนาว่าอย่าให้อะไรก็แล้วแต่เอาลูกเราไป ขอให้ลูกเราหาย อฐิฐานต่างๆนาๆ จนแฟนเรามาหา หมอบอกแฟนเราตอน 11 โมงกว่า บอกว่าน้องเสียแล้ว เท่านั้นแหละเราใจสลาย ได้แต่ร้องให้ ลงไปดูร่างน้อง น้องหนัก 3,520 กรัม ตัวยาวแก้มยุ้ย น้องน่ารักมาก ผิวขาว น่าตาสวย เหมืนนางฟ้าเลย ในใจได้แต่คิดปากก็เพ้อได้แต่ถามว่า ทำใมต้องทิ้งแม่ไปๆ ทำใมไม่อยู่กับแม่ไม่รักแม่หรือ ได้แต่ร้องให้แฟนเราก็ร้องกอดลูกกอดคอกันร้อง นั่งกอดนั่งหอมลูกเกือบ 2ชม. พยาบาลถามเราว่า ร่างน้องจะทำอย่างไร จะนำกลับไปทำพิธีเอง หรือ ฝากโรงพยาบาลทำ เราปรึกษากันสักพัก ก็เลยบอกฝากโรงบาล เพราะ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับโรงบาลถ้าเค้านำไปศึกษาต่อ
เรากลับขึ้นมาห้องพักฟื้น ในใจคิด ข้างเตียงมีแต่เด็กอ่อน ร้องบ้างหลับบ้าง นี้ลูกเราก็ไม่มีแล้วเราจะทำไง ยังต้องนอนอีกคืน ขอกลับบ้านเค้าก็ไม่ให้กลับ ทรมานมาก คิดถึงแต่ลูก เห็นเด็กแล้วใจจะขาด มาเจอหมอทำคลอดเอาตอนสายๆ(ของวันที่สามหลังคลอด) หมอบอกว่าเค้าเสียใจด้วย เค้าเป็นหมอ มาเป็น 10 ปี ไม่เคยเจอแบบเครสเรา เค้าบอกเค้าก็ไม่รู้ว่าทำใมน้องถึงไม่ยอมหายใจ
เราได้แต่ฟัง จึงบอกเค้าว่าขอออกจาโรงบาลเลยได้มั้ยเราไม่อยากอยู่แล้ว เด็กอ่อนเยอะเราทำใจไม่ได้ เค้าจึงเซนออกให้เรา เราเลยได้กลับบ้าน กลับมาก็ร้องให้ตลอด น้ำนมใหลเยอะมาก แต่ไม่มีลูกมาดูด นั่งบีบน้ำนมทิ้งไป ร้องให้ไป เศร้าสุดๆ เราอุ้มท้องมาเกือบ 10 เดือน แต่ไม่ได้เลี้ยงเลย ดีว่ามีสามีคอยให้กำลังใจกันตลอด แม่ก็คอยบอกให้เข้มแข็ง ดูแลร่างกายให้แข็งแรง แล้วค่อยมีใหม่ รอให้เค้ามาเกิดใหม่ เราก็ทำใจ และรอเค้ากลับมาใหม่ ของที่ซื้อไว้เราก็เอาไปบริจาค ทำสังฆทานให้เค้า และก็ไปบวชให้เค้าอีก 7 วัน (มารู้ตอนหลัง น้องหนัก 3,520 กรัม)
น้องอยู่ในท้องเรา จนวันสุดท้ายของวีคที่ 42 ค่ะ
**ในใจได้แต่สงสัยว่า หมอ 2 มาตาฐานมั้ย เพราะคนที่ได้รู้เรื่องนี้ล้วนแต่ถามว่าทำใมไม่ฝากพิเศษ เค้าจะได้ดูแลเราดีกว่านี้
**ในใจได้แต่สงสัยว่า ทำใมเค้าไม่ซาวร์ท้องเรา ไปโรงพยาบาลที่ไร ก็ได้แต่ฟังเสียงหัวใจลูกแล้วก็กลับ (เพราะก่อนคลอดเครสพี่สาวเรายังได้ซาวร์เลย เพื่อประเมินว่า เด็กตัวใหญ่มั้ย เราคลอดเองได้มั้ย)
**ในใจได้แต่สงสัยว่า ทำใมน้องถึงขาดออกซิเจน ทำใมปอดลูกเราถึงทะลุ ทั้งที่ก่อนคลอดน้องยังดิ้นและแข็งแรงดีอยู่เลย
**ในใจได้แต่สงสัยว่า เกี่ยวมั้ยว่าออกซิเจนตอนแรกเค้าลืมเปิดรึปล่าวลูกเราเลยขาดออกซิเจน
**ในใจได้แต่สงสัยว่า ทำใมเค้าไม่ประเมินเราให้ละเอียดและผ่าคลอดเราไปเลยตั่งแต่แรก
**ในใจได้แต่สงสัยว่า ทำใมๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
และเราควรจะทำไงดี มีคนบอกให้เราฟ้องร้อง แต่เราคิดว่ามันผ่านมาหลายวันแล้ว และน้องเราก็ฝากให้โรงบาลไปแล้ว
ใครรู้ช่วยบอกเราที...................................................???
ปล. มันคงไม่มีคัยอยากให้เกิด แต่ขอให้ไว้เป็น อุทาหรณ์ หรือเป็น เครสที่อธิบายได้ยากค่ะ
##ตอนนี้ได้ทราบแล้วค่ะว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด สรุปแล้ว ท้องนานเกิน สายรกเสื่อมค่ะ เลือดที่ต้องสูบฉีดให้น้องตอนคลอดเสื่อมสภาพ เป็นสาเหตุให้น้องขาดอ๊อกซิเจนค่ะ ##