วันก่อนเป็นวันรวมญาติทางฝั่งคุณแม่เนื่องในโอกาสหลานของผม Ent ติด แล้วหลานผมคนที่ Ent ติดก็มาเล่าให้ฟังว่า กลัวการรับน้องสายวิศวะ เพราะได้ข่าวว่าต้องมีการดื่มเหล้ากันหนักแทบทุกวัน รับน้องสถานศึกษา รับน้องคณะ รับน้องภาควิชา รับน้องกลุ่ม และ รับน้องหอพัก ฯลฯ
ผมถามหลานผมว่าแล้วตอนนี้มีเตรียมตัวอย่างไรบ้าง หลานผมบอกว่า ตอนนี้เค้ากับเพื่อนก็เริ่มเที่ยวตามผับต่างๆ แล้วสั่งเหล้ามาลอง ผมถามต่อว่า แล้วสั่งเหล้าอะไรมาดื่ม หลานผมก็บอกว่า สั่ง
Black Label มาดื่ม แต่ไม่รู้ว่าต้องดื่มอย่างไรเลยผสม mixer กันมั่ว น้ำอัดลม น้ำเปล่า โซดา เบียร์ ฯลฯ ปนกันมั่วไปหมดครับ (ดีที่ไม่มีเครื่องดื่มชูกำลังผสมเข้าไปด้วย)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เอาเข้าจริงๆ นะครับปัญหาของหลานผม ผมว่าไม่น่าจะอยู่ที่เหล้า แต่น่าจะอยู่ที่ผู้หญิงมากกว่าครับ หลานผมหล่อขาวสูง พูดเพราะ พูดหวาน ขี้อ้อน และดูมีแววเจ้าชู้เหมือนพี่ชายผมครับ
สิ่งที่ทำให้ผมเขียนกระทู้เรื่องนี้เพราะเรื่องของหลานผมทำให้นึกถึงสมัยที่ผมเริ่มดื่มเหล้าครับ
ชีวิตการดื่มเหล้าของผมค่อนข้างเร็วกว่าใครหลายๆ คน เพราะเริ่มเข้าร้านเหล้าตอนที่อายุยังน้อยครับ แต่เนื่องจากช่วงนั้น
เหล้าแก้วแรกที่ดื่มกับเพื่อน คือ Black Label นี่แหละครับ และผมก็เชื่อว่า สำหรับเด็ก กทม แล้ว ส่วนใหญ่คงดื่ม Black Label เป็นยี่ห้อแรกกันครับ ในสมัยนั้นการดื่ม Black Label มีความเชื่อว่า อร่อย และ ดูดี ถ้าดื่มเหล้าไทยจะดูไม่ดี ดูเป็นเหล้าสำหรับแรงงานก่อสร้าง สารพัด
ในตอนนั้นผมไม่ทราบหรอกครับว่า เหล้าอร่อยหรือไม่อร่อย มันต้องวัดกันที่ตรงไหน รู้แค่ว่า ถ้าเข้าร้านเหล้าก็ต้องสั่ง Black Label เท่านั้นครับ ดื่มไปซักพักเงินเริ่มหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะเหล้า Black Label สมัยนั้นขวดนึงก็ 1,200 (ในสมัยที่ก๋วยเตี๋ยวเรืออนุสาวรีย์ ชามละ 3บาท)
เมื่อระดับเงินในกระเป๋าของพวกผมมันไม่สัมพันธ์กับระดับความเมา พวกผมเลยเลื่อนระดับความหรูลงมาที่ Rad Label ครับ เพราะเริ่มคิดได้ในระดับหนึ่งแล้วว่า จุดหมายปลายทางของการดื่มคือ ดื่มให้เยอะให้หนักที่สุดเพื่ออวดความเป็นลูกผู้ชาย (
เป็นความเชื่อที่ห่ามในทางผิดๆ ครับ) หลังจากที่เป้าหมายในการดื่มเริ่มเปลี่ยน พวกผมก็เริ่มลดระดับความหรูลงมาตามกระแสเงินสดของวัยรุ่น และแล้วก็มีโฆษณาตัวนึงออกมาเป็นทางออกในชีวิตการดื่มเหล้าของพวกผมครับ Black Cat เหล้า Whisky ไทยเกรียนๆ รสของ Black Cat ในสมัยนั้นจัดว่าหอม(ไม่มาก) แต่เมื่อผสมกับ Mixer แล้วจะได้เหล้ารสอร่อยและแรงพอที่จะเกิดการวาร์ปได้อย่างรวดเร็ว ในยุคสมัยนั้นเหล้ายังสามารถโฆษณาตามสื่อต่างๆ ได้อย่างอิสระครับ เลยมีเหล้าไทยเกิดใหม่เยอะพอสมควรครับ เหล้าที่ดังๆ ในยุคนั้นได้แค่ Black Cat, Spay Royal, และ 100 Pipers (Lot แรก รุ่นอร่อยกว่าปรกติ) เป็นต้นครับ
ในยุคเหล้าไทยรุ่งเรื่อง มีเหล้าไทยออกมามากแต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ การรักษาคุณภาพในการผลิตให้เสมอต้นเสมอปลายครับ โดยเฉพาะในยุคแรกที่ 100 Pipers ล้อตแรกออกมา แล้วสร้างประกฎการณ์เหล้า 100 Pipers ขาดตลาด เพราะล้อตแรกที่ออกมานั้นได้ปรุงออกมาถูกคอนักดื่มไทยอย่างสุดๆ ครับ บวกกับภาพลักษณ์ (ไม่รู้จะเรียกภาพลักษณ์หรือภาพสติ้กเกอร์บนขวดดี 555555) ความเป็น Scotch Whisky ที่ชัดเจนกว่าเจ้าอื่น ทำให้นักดื่มไทยที่ติดหรู เลือกที่จะดื่ม 100 Pipers แทน Black Label ครับ ผ่านไป ปีเศษๆ นักดื่มไทยเริ่มผิดหวังเพราะรสของ 100 Pipers ไม่เหมือนเดิม ดื่มแล้วกลิ่นเหล้าที่ออกมาตามตัวแรง จึงทำให้นักดื่มไทยเริ่มหันไปดื่มตัวอื่นแทน ซึ่ง Spay Royal (ล้อตสอง) ก็เข้ามาแทนที่พอดี (จำได้ว่าจริงๆ แล้ว Spay Royal ออกมาก่อน 100 Pipers เพียงแต่มาดังเอาทีหลังครับ) จากนั้น 100 Pipers ก็ออกรุ่นพิเศษออกมาคือรุ่นบ่ม 8ปี แต่เนื่องจากราคาอาจจะไม่เป็นที่โดนใจนักดื่มไทยที่เคยผิดหวังจากรุ่นเดิม จึงไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
มาในช่วงปี 2013-2015 นี้ ผมว่า Blend285 น่าจะเป็นเจ้าที่ครองตลาดเหล้านะครับ เพราะสังเกตตามป้ายร้าน ผับ จะมีโลโก้ของ Blend285 อยู่แทบทุกที่ หลายๆ ร้านมีการจำหน่าย Blend285/Blend 285 Signature ที่เพิ่มขึ้น แน่นอนว่า การโฆษณาหรือกิจกรรมอย่างเดียวคงไม่สามารถทำให้นักดื่มไทยหันมาดื่มได้ Blend285/Blend 285 Signature มากขึ้น โดยส่วนตัว ผมว่า Blend 285 ให้ความเป็น Whisky Inter ผมชอบกลิ่นของ Blend285 ที่มีกลิ่น Fruity ที่ปลายจมูก และกลิ่น Smoky ในลำคอเวลาดื่ม ยิ่งตอนดื่มเพียวๆ รสไม่มีบาดคอ เลยทำให้ดื่มง่ายกว่าตัวอื่นในตลาด ที่สำคัญคือตื่นมาไม่ปวดหัว หรือมีกลิ่นเหล้าติดตัวให้เสียบุคลิกในเวลาทำงานครับ
สำหรับ Blend285 และ Blend285 Signature ต่างกันตรงไหน ผมเข้าใจว่าต่างกันตรงระยะเวลาในการบ่มครับ Blend285 น่าจะอยู่ที่ 3 ปีตามมาตราฐานของการผลิตเหล้าของ Scotland ส่วน Blend 285 Signature น่าจะถูกบ่มในถังไม่โอ้คนานกว่า (ส่วนใหญ่น่าจะประมาณ 5-8ปีครับ) เหล้ายิ่งถูกบ่มในถึงไม้โอ๊คนานเท่าไหรกลิ่นก็เหล้าในเวลาดื่มก็จะยิ่งหอมมากขั้น โดยโอกาสที่จะเกิดกลิ่นเหล้าติดตัว จะลดลงครับ สำหรับเรื่องการรักษารสชาติในการผลิตแต่ละล้อต คงต้องรอดูกันต่อไปครับ ว่าจะรักษาคุณภาพรสชาติเอาไว้ได้นานขนาดไหน
ถามผมว่าตอนนี้ผมดื่มเหล้าอะไร ผมขอแบ่งออกเป็นตามวัตถุประสงค์ดังนี้ครับ
1.) ดื่มกับเพื่อน เน้นเมาสนุกสนานแต่ไม่เน้นวาร์ป พวกผมดื่ม Blend285 และ Blend 285 Signature ครับ สองตัวนี้จะเป็นเหล้า (Blended Whisky) จาก Scotland สังเกตดูจากกล่องและตัวขวดที่มีถังไม้โอ๊ค ผมคิดว่าต้องผ่านบ่มมาเป็นอย่างดี จนถูกคอคนไทย ยิ่งราคาที่ขายตามตลาดก็โอเคมากเลยครับ (บวกรสชาติมันอร่อยนุ่ม ทำให้ตัดสินใจหยิบซื้อแบบไม่ต้องคิดอะไรมากเลยครับ) อีกอย่างถ้าต้องการ hang out กับเพื่อนตามสถานที่เที่ยวผมว่า Blend285/Blend285Signature สามารถตอบโจทย์พวกผมได้เลยครับ ยิ่งตัว Blend 285 Signature จะมีความหอมและนุ่มกว่าตัว Blend285 ครับ แล้วราคาไม่ได้ต่างกันมากครับ พวกเพื่อนผมที่ดื่มเหล้ากับ mixer บอกว่าเหล้า Blend 285 ผสม Mixer อร่อยไม่แพ้ Black Label ครับ (โดยส่วนตัวผมพวกดื่มเหล้ากับน้ำแข็ง ไม่ก็ผสมน้ำลงไปนิดนึงครับ แต่ที่แน่ๆ ผมไม่ดื่ม Black และ Red Label ครับ เพราะดื่มแล้วมีอาการแพ้ …มีเพื่อนในวงการเหล้าเล่าให้ผมฟังว่า ช่วงประมาณปี 2004/2005 ประเทศไทยประเทศเดียวทำให้ JW ไม่สามารถผลิต Black และ Red ได้ทัน ทาง JW เลยต้องผลิตรุ่นเหล้า Black/Red รุ่นพิเศษสำหรับตลาดในประเทศไทย ที่มีการผสมสูตรสำหรับคนไทย จึงทำให้หลายคนที่ดื่มเข้าไปมีอาการแพ้ แน่นหน้าอก ปวดไหล่ ปวดร้าวบริเวณอก ฯลฯ ครับ) ผมกับเพื่อนดื่ม Blend285/285Signature มาปีกว่า ยังไม่มีอาการแพ้เหล้าครับ และที่สำคัญกลิ่นตัวระหว่างดื่มและหลังดื่ม ไม่มีกลิ่นเหม็นเหล้า โดยเฉพาะในตอนเช้า ตื่นมาแล้วไม่มีอาการปวดหัว หรือไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นเหล้ามาให้กวนใจเลยครับ
2.) ดื่มชิวๆ กับเพื่อนๆ แบบเน้นคุยสบายๆ ไม่กะเมา ดื่มตามร้านอาหารหรือบ้านเพื่อน ผมกับเพื่อนจะดื่มพวก Single Malt ครับ ตรงนี้แต่ละคนจะมีเหล้าที่ตัวเองชอบ แล้วสั่งมาเป็นแก้วๆ เพียวๆ แบบไม่มีน้ำแข็ง หรือไม่ผสม Mixer ครับ ผมชอบดื่ม GlenFiddish ตัว 12ปี เพราะได้รส Single Malt ชัดเจน ส่วนตัว 15ปี ขึ้นไป กลิ่นหอมของ Malt มันไม่ชัดเจน และหวานเกินไปสำหรับผมหนะครับ ในกลุ่มของผม จะไม่มีใครดื่มเหล้าของ JW เลยครับ เพราะเหล้าของ JW มันผ่านการปรุงมามากจนเกินไป เมื่อเดือน กพ ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเที่ยว Scotland แหล่ง Scotch Whisky อันดับหนึ่งของโลก จุดที่น่าสนใจคือ ร้านอาหารทุกร้านจะมีเมนู Whisky แยกออกมาต่างหาก และมีรายการ Whisky มากกว่า 200ชนิด ขายเป็นแก้วเพียวๆ ไม่มีน้ำแข็ง (เพราะอากาศหนาวมากอยู่แล้วครับ) ที่น่าแปลกใจคือร้านส่วนใหญ่ไม่มีรายการเหล้าของ JW ผมถามเพื่อนฝรั่งที่เป็นคนท้องถิ่น เค้าบอกว่า คน Scotland ไม่นับ JW ว่าเป็น Whisky และไม่มีคุณค่าพอที่จะอยู่ในรายการของ Whisky (ประเด็นนี้แรงมากครับ) มีร้านไม่กี่ร้านที่จะมีเหล้าของ JW ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านสำหรับ Tourist ซึ่งเพื่อนผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเหล้าของ JW ถึงขายดีในต่างประเทศ ทั้งๆ ที่คน Scotland ไม่ดื่มเหล้าของ JW เลยครับ
กลับมาเรื่องการเอาตัวรอดในวงเหล้าครับ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาที่ผมต้องไปดื่มเหล้ากับลูกค้า หรือ เพื่อนสายวาร์ป ผมสอนหลานผมให้ทานอาหารไปให้อื่ม เน้นพวกย่อยยากนิดนึงเช่นเนื้อสัตว์ ทานอาหารก่อนดื่มเหล้าอย่างน้อยชั่วโมงนึงครับ จากนั้นผมจะทานผงที่เรียกว่า ProBac 10plus เพื่อให้มี เอนไซม์ในการช่วยย่อยและมันจะเป็นตัวที่ทำให้เหล้าที่เราดื่มลงไปมีฤทธิ์อ่อนลงครับ ถ้าใครหาซื้อไม่ได้ ผมแนะนำ Yakult ครับ เพียงแต่ว่าต้องดื่มเยอะหน่อยหนะครับ จากนั้นเวลาที่ดื่มเหล้า ผมเลือกที่จะไม่ผสมโซดา หรือ น้ำอัดลมหวานๆ เพราะโซดาจะทำให้เมาเร็ว และน้ำอัดลมหวานๆ จะทำให้เมานานและตื่นมาปวดหัวครับ ระหว่างที่ดื่มกับเพื่อน ให้สั่งของทานเล่นพวกที่มีแป้งหรือคาร์โบไฮเดรดเยอะหน่อย ถ้าเป็นขนมปังได้จะดีมากครับ เพราะเคยอ่านบทความทางการแพทย์ เค้าเขียนว่า แป้งจะไปลดการดูดซึมเหล้าบริเวณระบบลำไส้ นอกจากนั้นหมั่นดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ สลับกับการดื่มเหล้า เพื่อทำให้เหล้าในกระเพาะเจือจางครับ และที่สำคัญก่อนที่จะออกจากร้านเหล้า ผมจะทานยาที่เรียกว่า PEPP ยาตัวนี้จะเป็นเอนไซม์อีกตัวที่ทำให้ฤทธิ์ของเหล้าลดลงโดยเฉพาะกลิ่นเหล้าในเวลาเป่าแอลกอฮอลล์ครับ
แต่ถ้าดื่มเหล้ามากจนเกินไปแล้วร่างกายอาเจียน ออกมา ถ้าพอมีสติ คือการหาเครื่องดื่มๆหวานๆ เช่น น้ำอุ่นผสมน้ำผึ้ง ให้ร่างกายไม่เกิดสภาพการขาดน้ำและน้ำตาล บางคนจะมีอาการสั่นและช็อคจากการขาดน้ำและน้ำตาลในร่างกายหลังจากที่ดื่มเหล้ามาหนักๆ ครับ
ส่วนเรื่องชนิดของเหล้า ผมบอกหลานผมว่า พยายามดื่มชนิดเดียวกันตลอดทั้งคืน อย่างถ้าดื่มผสมกันมั่ว เช่น ดื่ม เหล้า บวก เบียร์ หรือ ไวน์ เข้าไปในร่างกายพร้อมแล้วผสมกันมั่วๆ สภาพแย่ๆ มันจะเกิดตามมาทันที
และ ข้อคิดสุดท้ายของการดื่มเหล้าคือ
คนที่ดื่มเหล้าเก่งไม่ใช่คนที่ดื่มได้เยอะที่สุด แต่คือคนที่อยู่รอดในสภาพดีได้จนจบงานหรือผับปิด และที่สำคัญ ถ้าดื่มเหล้าอย่าขับรถเด็ดขาดนะครับ เพราะโอกาสการเกิดอุบัติเหตุมีสูงครับ
หากคิดจะดื่มก็ต้องมีวินัยในการใช้ชีวิต ถ้าจะดื่มอย่าดื่มให้เกิดการสูญเสีย ครับ
ปล สำหรับ ProBac 10plus ผมได้มาพร้อมกับชุดยาปรับฮอร์โมนครับ ไม่ทราบราคาจริงๆ ครับ เพราะมันมาพร้อมกับยาสารพัดที่ทาง Clinic (Anti-Aging) ให้ผมมาหนะครับ (เป็นราคารวม)
ส่วน PEPP ผมฝากเพื่อนซื้อ กล่องละ 1,500 (มีหลายกล่องเล็ก) บางครั้งที่ผมคิดว่าต้องทาน PEPP หลังดื่มเหล้า มันทำให้ผมแทบไม่อยากดื่มเหล้าเลยครับเพราะว่ากลิ่นอันไม่พึงประสงค์ของ PEPP มันแย่มากครับ 55555
เมื่อหลานผมมาถามเรื่องการเอาตัวรอดจากวงเหล้า
ผมถามหลานผมว่าแล้วตอนนี้มีเตรียมตัวอย่างไรบ้าง หลานผมบอกว่า ตอนนี้เค้ากับเพื่อนก็เริ่มเที่ยวตามผับต่างๆ แล้วสั่งเหล้ามาลอง ผมถามต่อว่า แล้วสั่งเหล้าอะไรมาดื่ม หลานผมก็บอกว่า สั่ง Black Label มาดื่ม แต่ไม่รู้ว่าต้องดื่มอย่างไรเลยผสม mixer กันมั่ว น้ำอัดลม น้ำเปล่า โซดา เบียร์ ฯลฯ ปนกันมั่วไปหมดครับ (ดีที่ไม่มีเครื่องดื่มชูกำลังผสมเข้าไปด้วย)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สิ่งที่ทำให้ผมเขียนกระทู้เรื่องนี้เพราะเรื่องของหลานผมทำให้นึกถึงสมัยที่ผมเริ่มดื่มเหล้าครับ
ชีวิตการดื่มเหล้าของผมค่อนข้างเร็วกว่าใครหลายๆ คน เพราะเริ่มเข้าร้านเหล้าตอนที่อายุยังน้อยครับ แต่เนื่องจากช่วงนั้น
เหล้าแก้วแรกที่ดื่มกับเพื่อน คือ Black Label นี่แหละครับ และผมก็เชื่อว่า สำหรับเด็ก กทม แล้ว ส่วนใหญ่คงดื่ม Black Label เป็นยี่ห้อแรกกันครับ ในสมัยนั้นการดื่ม Black Label มีความเชื่อว่า อร่อย และ ดูดี ถ้าดื่มเหล้าไทยจะดูไม่ดี ดูเป็นเหล้าสำหรับแรงงานก่อสร้าง สารพัด
ในตอนนั้นผมไม่ทราบหรอกครับว่า เหล้าอร่อยหรือไม่อร่อย มันต้องวัดกันที่ตรงไหน รู้แค่ว่า ถ้าเข้าร้านเหล้าก็ต้องสั่ง Black Label เท่านั้นครับ ดื่มไปซักพักเงินเริ่มหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะเหล้า Black Label สมัยนั้นขวดนึงก็ 1,200 (ในสมัยที่ก๋วยเตี๋ยวเรืออนุสาวรีย์ ชามละ 3บาท) เมื่อระดับเงินในกระเป๋าของพวกผมมันไม่สัมพันธ์กับระดับความเมา พวกผมเลยเลื่อนระดับความหรูลงมาที่ Rad Label ครับ เพราะเริ่มคิดได้ในระดับหนึ่งแล้วว่า จุดหมายปลายทางของการดื่มคือ ดื่มให้เยอะให้หนักที่สุดเพื่ออวดความเป็นลูกผู้ชาย (เป็นความเชื่อที่ห่ามในทางผิดๆ ครับ) หลังจากที่เป้าหมายในการดื่มเริ่มเปลี่ยน พวกผมก็เริ่มลดระดับความหรูลงมาตามกระแสเงินสดของวัยรุ่น และแล้วก็มีโฆษณาตัวนึงออกมาเป็นทางออกในชีวิตการดื่มเหล้าของพวกผมครับ Black Cat เหล้า Whisky ไทยเกรียนๆ รสของ Black Cat ในสมัยนั้นจัดว่าหอม(ไม่มาก) แต่เมื่อผสมกับ Mixer แล้วจะได้เหล้ารสอร่อยและแรงพอที่จะเกิดการวาร์ปได้อย่างรวดเร็ว ในยุคสมัยนั้นเหล้ายังสามารถโฆษณาตามสื่อต่างๆ ได้อย่างอิสระครับ เลยมีเหล้าไทยเกิดใหม่เยอะพอสมควรครับ เหล้าที่ดังๆ ในยุคนั้นได้แค่ Black Cat, Spay Royal, และ 100 Pipers (Lot แรก รุ่นอร่อยกว่าปรกติ) เป็นต้นครับ
ในยุคเหล้าไทยรุ่งเรื่อง มีเหล้าไทยออกมามากแต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ การรักษาคุณภาพในการผลิตให้เสมอต้นเสมอปลายครับ โดยเฉพาะในยุคแรกที่ 100 Pipers ล้อตแรกออกมา แล้วสร้างประกฎการณ์เหล้า 100 Pipers ขาดตลาด เพราะล้อตแรกที่ออกมานั้นได้ปรุงออกมาถูกคอนักดื่มไทยอย่างสุดๆ ครับ บวกกับภาพลักษณ์ (ไม่รู้จะเรียกภาพลักษณ์หรือภาพสติ้กเกอร์บนขวดดี 555555) ความเป็น Scotch Whisky ที่ชัดเจนกว่าเจ้าอื่น ทำให้นักดื่มไทยที่ติดหรู เลือกที่จะดื่ม 100 Pipers แทน Black Label ครับ ผ่านไป ปีเศษๆ นักดื่มไทยเริ่มผิดหวังเพราะรสของ 100 Pipers ไม่เหมือนเดิม ดื่มแล้วกลิ่นเหล้าที่ออกมาตามตัวแรง จึงทำให้นักดื่มไทยเริ่มหันไปดื่มตัวอื่นแทน ซึ่ง Spay Royal (ล้อตสอง) ก็เข้ามาแทนที่พอดี (จำได้ว่าจริงๆ แล้ว Spay Royal ออกมาก่อน 100 Pipers เพียงแต่มาดังเอาทีหลังครับ) จากนั้น 100 Pipers ก็ออกรุ่นพิเศษออกมาคือรุ่นบ่ม 8ปี แต่เนื่องจากราคาอาจจะไม่เป็นที่โดนใจนักดื่มไทยที่เคยผิดหวังจากรุ่นเดิม จึงไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
มาในช่วงปี 2013-2015 นี้ ผมว่า Blend285 น่าจะเป็นเจ้าที่ครองตลาดเหล้านะครับ เพราะสังเกตตามป้ายร้าน ผับ จะมีโลโก้ของ Blend285 อยู่แทบทุกที่ หลายๆ ร้านมีการจำหน่าย Blend285/Blend 285 Signature ที่เพิ่มขึ้น แน่นอนว่า การโฆษณาหรือกิจกรรมอย่างเดียวคงไม่สามารถทำให้นักดื่มไทยหันมาดื่มได้ Blend285/Blend 285 Signature มากขึ้น โดยส่วนตัว ผมว่า Blend 285 ให้ความเป็น Whisky Inter ผมชอบกลิ่นของ Blend285 ที่มีกลิ่น Fruity ที่ปลายจมูก และกลิ่น Smoky ในลำคอเวลาดื่ม ยิ่งตอนดื่มเพียวๆ รสไม่มีบาดคอ เลยทำให้ดื่มง่ายกว่าตัวอื่นในตลาด ที่สำคัญคือตื่นมาไม่ปวดหัว หรือมีกลิ่นเหล้าติดตัวให้เสียบุคลิกในเวลาทำงานครับ
สำหรับ Blend285 และ Blend285 Signature ต่างกันตรงไหน ผมเข้าใจว่าต่างกันตรงระยะเวลาในการบ่มครับ Blend285 น่าจะอยู่ที่ 3 ปีตามมาตราฐานของการผลิตเหล้าของ Scotland ส่วน Blend 285 Signature น่าจะถูกบ่มในถังไม่โอ้คนานกว่า (ส่วนใหญ่น่าจะประมาณ 5-8ปีครับ) เหล้ายิ่งถูกบ่มในถึงไม้โอ๊คนานเท่าไหรกลิ่นก็เหล้าในเวลาดื่มก็จะยิ่งหอมมากขั้น โดยโอกาสที่จะเกิดกลิ่นเหล้าติดตัว จะลดลงครับ สำหรับเรื่องการรักษารสชาติในการผลิตแต่ละล้อต คงต้องรอดูกันต่อไปครับ ว่าจะรักษาคุณภาพรสชาติเอาไว้ได้นานขนาดไหน
ถามผมว่าตอนนี้ผมดื่มเหล้าอะไร ผมขอแบ่งออกเป็นตามวัตถุประสงค์ดังนี้ครับ
1.) ดื่มกับเพื่อน เน้นเมาสนุกสนานแต่ไม่เน้นวาร์ป พวกผมดื่ม Blend285 และ Blend 285 Signature ครับ สองตัวนี้จะเป็นเหล้า (Blended Whisky) จาก Scotland สังเกตดูจากกล่องและตัวขวดที่มีถังไม้โอ๊ค ผมคิดว่าต้องผ่านบ่มมาเป็นอย่างดี จนถูกคอคนไทย ยิ่งราคาที่ขายตามตลาดก็โอเคมากเลยครับ (บวกรสชาติมันอร่อยนุ่ม ทำให้ตัดสินใจหยิบซื้อแบบไม่ต้องคิดอะไรมากเลยครับ) อีกอย่างถ้าต้องการ hang out กับเพื่อนตามสถานที่เที่ยวผมว่า Blend285/Blend285Signature สามารถตอบโจทย์พวกผมได้เลยครับ ยิ่งตัว Blend 285 Signature จะมีความหอมและนุ่มกว่าตัว Blend285 ครับ แล้วราคาไม่ได้ต่างกันมากครับ พวกเพื่อนผมที่ดื่มเหล้ากับ mixer บอกว่าเหล้า Blend 285 ผสม Mixer อร่อยไม่แพ้ Black Label ครับ (โดยส่วนตัวผมพวกดื่มเหล้ากับน้ำแข็ง ไม่ก็ผสมน้ำลงไปนิดนึงครับ แต่ที่แน่ๆ ผมไม่ดื่ม Black และ Red Label ครับ เพราะดื่มแล้วมีอาการแพ้ …มีเพื่อนในวงการเหล้าเล่าให้ผมฟังว่า ช่วงประมาณปี 2004/2005 ประเทศไทยประเทศเดียวทำให้ JW ไม่สามารถผลิต Black และ Red ได้ทัน ทาง JW เลยต้องผลิตรุ่นเหล้า Black/Red รุ่นพิเศษสำหรับตลาดในประเทศไทย ที่มีการผสมสูตรสำหรับคนไทย จึงทำให้หลายคนที่ดื่มเข้าไปมีอาการแพ้ แน่นหน้าอก ปวดไหล่ ปวดร้าวบริเวณอก ฯลฯ ครับ) ผมกับเพื่อนดื่ม Blend285/285Signature มาปีกว่า ยังไม่มีอาการแพ้เหล้าครับ และที่สำคัญกลิ่นตัวระหว่างดื่มและหลังดื่ม ไม่มีกลิ่นเหม็นเหล้า โดยเฉพาะในตอนเช้า ตื่นมาแล้วไม่มีอาการปวดหัว หรือไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นเหล้ามาให้กวนใจเลยครับ
2.) ดื่มชิวๆ กับเพื่อนๆ แบบเน้นคุยสบายๆ ไม่กะเมา ดื่มตามร้านอาหารหรือบ้านเพื่อน ผมกับเพื่อนจะดื่มพวก Single Malt ครับ ตรงนี้แต่ละคนจะมีเหล้าที่ตัวเองชอบ แล้วสั่งมาเป็นแก้วๆ เพียวๆ แบบไม่มีน้ำแข็ง หรือไม่ผสม Mixer ครับ ผมชอบดื่ม GlenFiddish ตัว 12ปี เพราะได้รส Single Malt ชัดเจน ส่วนตัว 15ปี ขึ้นไป กลิ่นหอมของ Malt มันไม่ชัดเจน และหวานเกินไปสำหรับผมหนะครับ ในกลุ่มของผม จะไม่มีใครดื่มเหล้าของ JW เลยครับ เพราะเหล้าของ JW มันผ่านการปรุงมามากจนเกินไป เมื่อเดือน กพ ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเที่ยว Scotland แหล่ง Scotch Whisky อันดับหนึ่งของโลก จุดที่น่าสนใจคือ ร้านอาหารทุกร้านจะมีเมนู Whisky แยกออกมาต่างหาก และมีรายการ Whisky มากกว่า 200ชนิด ขายเป็นแก้วเพียวๆ ไม่มีน้ำแข็ง (เพราะอากาศหนาวมากอยู่แล้วครับ) ที่น่าแปลกใจคือร้านส่วนใหญ่ไม่มีรายการเหล้าของ JW ผมถามเพื่อนฝรั่งที่เป็นคนท้องถิ่น เค้าบอกว่า คน Scotland ไม่นับ JW ว่าเป็น Whisky และไม่มีคุณค่าพอที่จะอยู่ในรายการของ Whisky (ประเด็นนี้แรงมากครับ) มีร้านไม่กี่ร้านที่จะมีเหล้าของ JW ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านสำหรับ Tourist ซึ่งเพื่อนผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเหล้าของ JW ถึงขายดีในต่างประเทศ ทั้งๆ ที่คน Scotland ไม่ดื่มเหล้าของ JW เลยครับ
กลับมาเรื่องการเอาตัวรอดในวงเหล้าครับ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาที่ผมต้องไปดื่มเหล้ากับลูกค้า หรือ เพื่อนสายวาร์ป ผมสอนหลานผมให้ทานอาหารไปให้อื่ม เน้นพวกย่อยยากนิดนึงเช่นเนื้อสัตว์ ทานอาหารก่อนดื่มเหล้าอย่างน้อยชั่วโมงนึงครับ จากนั้นผมจะทานผงที่เรียกว่า ProBac 10plus เพื่อให้มี เอนไซม์ในการช่วยย่อยและมันจะเป็นตัวที่ทำให้เหล้าที่เราดื่มลงไปมีฤทธิ์อ่อนลงครับ ถ้าใครหาซื้อไม่ได้ ผมแนะนำ Yakult ครับ เพียงแต่ว่าต้องดื่มเยอะหน่อยหนะครับ จากนั้นเวลาที่ดื่มเหล้า ผมเลือกที่จะไม่ผสมโซดา หรือ น้ำอัดลมหวานๆ เพราะโซดาจะทำให้เมาเร็ว และน้ำอัดลมหวานๆ จะทำให้เมานานและตื่นมาปวดหัวครับ ระหว่างที่ดื่มกับเพื่อน ให้สั่งของทานเล่นพวกที่มีแป้งหรือคาร์โบไฮเดรดเยอะหน่อย ถ้าเป็นขนมปังได้จะดีมากครับ เพราะเคยอ่านบทความทางการแพทย์ เค้าเขียนว่า แป้งจะไปลดการดูดซึมเหล้าบริเวณระบบลำไส้ นอกจากนั้นหมั่นดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ สลับกับการดื่มเหล้า เพื่อทำให้เหล้าในกระเพาะเจือจางครับ และที่สำคัญก่อนที่จะออกจากร้านเหล้า ผมจะทานยาที่เรียกว่า PEPP ยาตัวนี้จะเป็นเอนไซม์อีกตัวที่ทำให้ฤทธิ์ของเหล้าลดลงโดยเฉพาะกลิ่นเหล้าในเวลาเป่าแอลกอฮอลล์ครับ
แต่ถ้าดื่มเหล้ามากจนเกินไปแล้วร่างกายอาเจียน ออกมา ถ้าพอมีสติ คือการหาเครื่องดื่มๆหวานๆ เช่น น้ำอุ่นผสมน้ำผึ้ง ให้ร่างกายไม่เกิดสภาพการขาดน้ำและน้ำตาล บางคนจะมีอาการสั่นและช็อคจากการขาดน้ำและน้ำตาลในร่างกายหลังจากที่ดื่มเหล้ามาหนักๆ ครับ
ส่วนเรื่องชนิดของเหล้า ผมบอกหลานผมว่า พยายามดื่มชนิดเดียวกันตลอดทั้งคืน อย่างถ้าดื่มผสมกันมั่ว เช่น ดื่ม เหล้า บวก เบียร์ หรือ ไวน์ เข้าไปในร่างกายพร้อมแล้วผสมกันมั่วๆ สภาพแย่ๆ มันจะเกิดตามมาทันที
และ ข้อคิดสุดท้ายของการดื่มเหล้าคือ คนที่ดื่มเหล้าเก่งไม่ใช่คนที่ดื่มได้เยอะที่สุด แต่คือคนที่อยู่รอดในสภาพดีได้จนจบงานหรือผับปิด และที่สำคัญ ถ้าดื่มเหล้าอย่าขับรถเด็ดขาดนะครับ เพราะโอกาสการเกิดอุบัติเหตุมีสูงครับ หากคิดจะดื่มก็ต้องมีวินัยในการใช้ชีวิต ถ้าจะดื่มอย่าดื่มให้เกิดการสูญเสีย ครับ
ปล สำหรับ ProBac 10plus ผมได้มาพร้อมกับชุดยาปรับฮอร์โมนครับ ไม่ทราบราคาจริงๆ ครับ เพราะมันมาพร้อมกับยาสารพัดที่ทาง Clinic (Anti-Aging) ให้ผมมาหนะครับ (เป็นราคารวม)
ส่วน PEPP ผมฝากเพื่อนซื้อ กล่องละ 1,500 (มีหลายกล่องเล็ก) บางครั้งที่ผมคิดว่าต้องทาน PEPP หลังดื่มเหล้า มันทำให้ผมแทบไม่อยากดื่มเหล้าเลยครับเพราะว่ากลิ่นอันไม่พึงประสงค์ของ PEPP มันแย่มากครับ 55555