มาสก
ภาษาไทยอ่านว่า มา-สก
บาลีอ่านว่า มา-สะ-กะ
“มาสก” รากศัพท์มาจาก มสฺ (ธาตุ = จับต้อง) + ณฺวุ ปัจจัย, ยืดเสียง อะ ที่ ม- เป็น อา, แปลง ณฺวุ เป็น อก (อะ-กะ)
: มสฺ + ณฺวุ > อก = มสก > มาสก แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งอันคนจับต้องด้วยคิดว่าสิ่งนี้เป็นของเรา” หมายถึง เงินตรา, มาตรานับเงิน
หลักพระวินัยของสงฆ์ที่รู้กันมีว่า
“
ภิกษุถือเอาของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ได้ราคา 5 มาสก ต้องปาราชิก”
เหตุที่กำหนดราคาไว้เท่านี้มาจากการเทียบอัตราโทษของแคว้นมคธสมัยพุทธกาล
กล่าวคือในแคว้นมคธสมัยนั้น โจรลักทรัพย์มีราคาตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไปต้องระวางโทษประหารชีวิต
เมื่อจะทรงบัญญัติสิกขาบทข้อนี้จึงกำหนดราคาทรัพย์ไว้เท่านั้น
ปัญหาก็คือ 5 มาสก เป็นเงินเท่าไร ?
1 พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า -
“มาสก : (คำนาม) ชื่อมาตราเงินในครั้งโบราณ ๕ มาสก เป็น ๑ บาท. (ป.; ส. มาษก).”
2 หนังสือ ศัพท์วิเคราะห์ ของ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.9, ราชบัณฑิต) ที่คำว่า “มาสก” บอกไว้ว่า “1 มาสก = 4 บาทไทย”
3 พระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่นำมาอ้างอิงกันในขณะนี้มีความตอนหนึ่งว่า –
“การโกงสมบัติผู้อื่นตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไป คือประมาณไม่ถึง 300 บาทในปัจจุบัน”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ บอกว่า “มาสก” รากศัพท์มาจาก “มาส” แปลว่า “a small bean” (ถั่วเม็ดเล็กๆ)
และแปล “มาสก” ว่า a small coin (เหรียญเล็กๆ)
4 ในหนังสือวินัยมุข เล่ม 1 หน้า 40 พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส บอกว่า -
“5 มาสกเป็นบาทหนึ่ง 4 บาทเป็นกหาปณะหนึ่ง กหาปณะเป็นหลักมาตราเช่นเงินบาทในกรุงสยาม ณ บัดนี้ รูปิยะที่ใช้อยู่ในต่างแคว้นมีอัตราไม่เหมือนกัน ต้องมีมาตราสำหรับแลกเปลี่ยนอีกส่วนหนึ่ง. มาตรารูปิยะในแคว้นมคธ ณ ครั้งนั้น จะสันนิษฐานเทียบกับมาตรารูปิยะในบัดนี้ ย่อมรู้ได้ยาก จะเทียบบาทในแคว้นมคธ ณ ครั้งนั้นกับบาทของเราในครั้งนี้ด้วยสักว่าชื่อเหมือนกันก็ไม่ได้..”
https://touch.facebook.com/story.php?story_fbid=774792712614468&id=100002512387360
-------------------------
ในเรื่องค่าเงินหน่วยนับเป็นมาสกนี้ เป็นหน่วยนับเงินของอินเดียในสมัยพุทธกาล ซึ่งในพุทธกาลยังไม่มีเงินบาทให้เทียบกันเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้น จึงไม่มีดอกว่าพระผู้มีพระภาคจะอธิบายไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตบัญญัติ ๕ มาสก เท่ากับ.....บาทไทย”
แล้วเขา (ชาววัดนาป่าพง) จะเอาอะไรมาตอบ
การวินิจฉัยเทียบราคาทรัพย์ 5 มาสกนี้ เราถือเอาตามอรรถกถาหรือตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎก
ในส่วนที่พระคึกฤทธิ์และพวกเรียกว่า “คำสาวก”
โดยในพระวินัยปิฎก มหาวังค์ ภาค ๑ เล่ม ๑ หน้า ๒๔๑ ข้อ ๘๓ (ฉบับหลวง) บันทึกไว้ว่า
ก็สมัยนั้นแล มหาอำมาตย์ผู้พิพากษาเก่าคนหนึ่งบวชในหมู่ภิกษุ นั่งอยู่ไม่ห่างพระผู้มี
พระภาค จึงพระองค์ได้ตรัสพระวาจานี้ต่อภิกษุรูปนั้นว่า ดูกรภิกษุ พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนา
มาคธราชจับโจรได้แล้ว ประหารชีวิตเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง เพราะทรัพย์
ประมาณเท่าไรหนอ?
ภิกษุรูปนั้นกราบทูลว่า เพราะทรัพย์บาทหนึ่งบ้าง เพราะของควรค่าบาทหนึ่งบ้าง เกิน
บาทหนึ่งบ้าง พระพุทธเจ้าข้า
แท้จริงสมัยนั้น ทรัพย์ ๕ มาสกในกรุงราชคฤห์ เป็นหนึ่งบาท
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=1&A=6087&Z=6234
ซึ่งการอธิบาย 5 มาสกเท่ากับ 1 บาท นี้เป็นการอธิบายโดย “คำสาวก”
ซึ่งในสมัยที่มีการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย อาจจะเป็นไปได้ว่า ผู้แปลได้ดูการเทียบค่าเงินจากอรรถกถาและฎีกา
โดยอรรถกถาและฎีกาเทียบมูลค่ามาสกจากราคาทอง
วิธีการคือ
นำข้าวสาร 20 เมล็ดมาชั่งน้ำหนักกับทอง ข้าวสาร 20 เมล็ดมีน้ำหนักเท่ากับทองกี่กรัมก็เอาน้ำหนักนั้นไปคำนวนด้วยราคาเงินบาท
ในสมัยที่มีการแปลพระไตรปิฎกข้อนี้ ราคาทองอาจจะแค่บาทละ 100 หรือ 200 บาท
ดังนั้น 5 มาสกจึงมีค่าเท่ากับทองราคา 1 บาท ก็เป็นไปได้
วัดนาป่าพงจึงไม่ควรยกสาวกภาษิตนี้มาตอบเรื่อง 5 มาสก แต่พึงนำพุทธวจนะที่ทรงอธิบายเรื่อง 5 มาสกมาแสดงเถิด
ให้สมกับที่พวกท่านชูประเด็น จุดเด่นว่า ตนเอาแต่พุทธวจนะเท่านั้น ไม่เอาอรรถกถา คำครูบาอาจารย์ หรือคำแต่งใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
ถ้าไม่ใช้หลักการเทียบตามนัยอรรถกถา จะเกิดปัญหาอีกว่า 5 มาสกสำหรับค่าเงินพม่า ค่าเงินลาว ค่าเงินศรีลังกา ฯลฯ จะเป็นเท่าไหร่
แต่ถ้าเทียบกันตามที่พระอรรถกถาจารย์ท่านวางหลักไว้ให้ ไม่ว่ายุคสมัยใด ค่าเงินประเทศไหน ก็จะไม่มีปัญหาในการวินิจฉัยเลย
http://watnaprapong.blogspot.com/2015/02/blog-post_20.html?spref=fb
ปัญหา 5 มาสก เป็นเท่าไหร่ตามพุทธวจนะ
ภาษาไทยอ่านว่า มา-สก
บาลีอ่านว่า มา-สะ-กะ
“มาสก” รากศัพท์มาจาก มสฺ (ธาตุ = จับต้อง) + ณฺวุ ปัจจัย, ยืดเสียง อะ ที่ ม- เป็น อา, แปลง ณฺวุ เป็น อก (อะ-กะ)
: มสฺ + ณฺวุ > อก = มสก > มาสก แปลตามศัพท์ว่า “สิ่งอันคนจับต้องด้วยคิดว่าสิ่งนี้เป็นของเรา” หมายถึง เงินตรา, มาตรานับเงิน
หลักพระวินัยของสงฆ์ที่รู้กันมีว่า
“ภิกษุถือเอาของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ได้ราคา 5 มาสก ต้องปาราชิก”
เหตุที่กำหนดราคาไว้เท่านี้มาจากการเทียบอัตราโทษของแคว้นมคธสมัยพุทธกาล
กล่าวคือในแคว้นมคธสมัยนั้น โจรลักทรัพย์มีราคาตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไปต้องระวางโทษประหารชีวิต
เมื่อจะทรงบัญญัติสิกขาบทข้อนี้จึงกำหนดราคาทรัพย์ไว้เท่านั้น
ปัญหาก็คือ 5 มาสก เป็นเงินเท่าไร ?
1 พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า -
“มาสก : (คำนาม) ชื่อมาตราเงินในครั้งโบราณ ๕ มาสก เป็น ๑ บาท. (ป.; ส. มาษก).”
2 หนังสือ ศัพท์วิเคราะห์ ของ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.9, ราชบัณฑิต) ที่คำว่า “มาสก” บอกไว้ว่า “1 มาสก = 4 บาทไทย”
3 พระลิขิตสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่นำมาอ้างอิงกันในขณะนี้มีความตอนหนึ่งว่า –
“การโกงสมบัติผู้อื่นตั้งแต่ 5 มาสกขึ้นไป คือประมาณไม่ถึง 300 บาทในปัจจุบัน”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ บอกว่า “มาสก” รากศัพท์มาจาก “มาส” แปลว่า “a small bean” (ถั่วเม็ดเล็กๆ)
และแปล “มาสก” ว่า a small coin (เหรียญเล็กๆ)
4 ในหนังสือวินัยมุข เล่ม 1 หน้า 40 พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส บอกว่า -
“5 มาสกเป็นบาทหนึ่ง 4 บาทเป็นกหาปณะหนึ่ง กหาปณะเป็นหลักมาตราเช่นเงินบาทในกรุงสยาม ณ บัดนี้ รูปิยะที่ใช้อยู่ในต่างแคว้นมีอัตราไม่เหมือนกัน ต้องมีมาตราสำหรับแลกเปลี่ยนอีกส่วนหนึ่ง. มาตรารูปิยะในแคว้นมคธ ณ ครั้งนั้น จะสันนิษฐานเทียบกับมาตรารูปิยะในบัดนี้ ย่อมรู้ได้ยาก จะเทียบบาทในแคว้นมคธ ณ ครั้งนั้นกับบาทของเราในครั้งนี้ด้วยสักว่าชื่อเหมือนกันก็ไม่ได้..”
https://touch.facebook.com/story.php?story_fbid=774792712614468&id=100002512387360
-------------------------
ในเรื่องค่าเงินหน่วยนับเป็นมาสกนี้ เป็นหน่วยนับเงินของอินเดียในสมัยพุทธกาล ซึ่งในพุทธกาลยังไม่มีเงินบาทให้เทียบกันเลยด้วยซ้ำ
ดังนั้น จึงไม่มีดอกว่าพระผู้มีพระภาคจะอธิบายไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตบัญญัติ ๕ มาสก เท่ากับ.....บาทไทย”
แล้วเขา (ชาววัดนาป่าพง) จะเอาอะไรมาตอบ
การวินิจฉัยเทียบราคาทรัพย์ 5 มาสกนี้ เราถือเอาตามอรรถกถาหรือตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎก
ในส่วนที่พระคึกฤทธิ์และพวกเรียกว่า “คำสาวก”
โดยในพระวินัยปิฎก มหาวังค์ ภาค ๑ เล่ม ๑ หน้า ๒๔๑ ข้อ ๘๓ (ฉบับหลวง) บันทึกไว้ว่า
ก็สมัยนั้นแล มหาอำมาตย์ผู้พิพากษาเก่าคนหนึ่งบวชในหมู่ภิกษุ นั่งอยู่ไม่ห่างพระผู้มี
พระภาค จึงพระองค์ได้ตรัสพระวาจานี้ต่อภิกษุรูปนั้นว่า ดูกรภิกษุ พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนา
มาคธราชจับโจรได้แล้ว ประหารชีวิตเสียบ้าง จองจำไว้บ้าง เนรเทศเสียบ้าง เพราะทรัพย์
ประมาณเท่าไรหนอ?
ภิกษุรูปนั้นกราบทูลว่า เพราะทรัพย์บาทหนึ่งบ้าง เพราะของควรค่าบาทหนึ่งบ้าง เกิน
บาทหนึ่งบ้าง พระพุทธเจ้าข้า
แท้จริงสมัยนั้น ทรัพย์ ๕ มาสกในกรุงราชคฤห์ เป็นหนึ่งบาท
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=1&A=6087&Z=6234
ซึ่งการอธิบาย 5 มาสกเท่ากับ 1 บาท นี้เป็นการอธิบายโดย “คำสาวก”
ซึ่งในสมัยที่มีการแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย อาจจะเป็นไปได้ว่า ผู้แปลได้ดูการเทียบค่าเงินจากอรรถกถาและฎีกา
โดยอรรถกถาและฎีกาเทียบมูลค่ามาสกจากราคาทอง
วิธีการคือ
นำข้าวสาร 20 เมล็ดมาชั่งน้ำหนักกับทอง ข้าวสาร 20 เมล็ดมีน้ำหนักเท่ากับทองกี่กรัมก็เอาน้ำหนักนั้นไปคำนวนด้วยราคาเงินบาท
ในสมัยที่มีการแปลพระไตรปิฎกข้อนี้ ราคาทองอาจจะแค่บาทละ 100 หรือ 200 บาท
ดังนั้น 5 มาสกจึงมีค่าเท่ากับทองราคา 1 บาท ก็เป็นไปได้
วัดนาป่าพงจึงไม่ควรยกสาวกภาษิตนี้มาตอบเรื่อง 5 มาสก แต่พึงนำพุทธวจนะที่ทรงอธิบายเรื่อง 5 มาสกมาแสดงเถิด
ให้สมกับที่พวกท่านชูประเด็น จุดเด่นว่า ตนเอาแต่พุทธวจนะเท่านั้น ไม่เอาอรรถกถา คำครูบาอาจารย์ หรือคำแต่งใหม่ใดๆ ทั้งสิ้น
ถ้าไม่ใช้หลักการเทียบตามนัยอรรถกถา จะเกิดปัญหาอีกว่า 5 มาสกสำหรับค่าเงินพม่า ค่าเงินลาว ค่าเงินศรีลังกา ฯลฯ จะเป็นเท่าไหร่
แต่ถ้าเทียบกันตามที่พระอรรถกถาจารย์ท่านวางหลักไว้ให้ ไม่ว่ายุคสมัยใด ค่าเงินประเทศไหน ก็จะไม่มีปัญหาในการวินิจฉัยเลย
http://watnaprapong.blogspot.com/2015/02/blog-post_20.html?spref=fb