เมื่อประมาณต้นปี 2558 นี้
อยู่ดีๆบังเกิดความคิดที่จะไปเที่ยวฮาวายค่ะ >.< ท้าวความก่อน
จริงๆไม่ถือว่าอยู่ดีๆนะ คือ มีเพื่อนอยู่ที่นั่นค่ะ เคยพูดเล่นๆกับนางตั้งแต่ครึ่งปีที่แล้วว่าเดี๋ยวเราไปเที่ยวนั่นบ้างนะ
นางก็คิดจริงค่ะ 555 นางบอกให้เราไปขอ visa ส่งลิงค์มาอะไรมาพร้อม เราก็เฉยค่ะ ตีเนียนต่อไป บอกว่า soon ไปเรื่อยๆ... แหะๆ
ทีนี้ธันวาคม นางก็มาไทยค่ะ ใช้ซิ๊ ก็นางมาง่ายไปง่ายนี่นา ก็ไปเที่ยวกันสนุกสนานค่ะ ส่งนางกลับไปด้วยดี ทีนี้...
นางรบเร้าของจริงเลยคร่าาา ..
เราก็ อะ อะ โอเค ตามน้ำละกัน เดี๋ยวชั้นจะขอ visa มาให้นางเชยชม
เริ่มจากมกราคม 2558 ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับการสมัครอย่างหนักค่ะ pantip เป็นแหล่งข้อมูลชั้นเลิศ อ่านรีวิวของคนที่ขอมารัวๆ
สรุปเป็นขั้นตอนคร่าวๆที่ทำนะคะ
1. กรอก DS-160
2. จ่ายเงินค่าวีซ่าที่ธนาคารกรุงศรีฯ
3. สร้าง log in เพื่อนัดสัมภาษณ์วีซ่า
4. สัมภาษณ์
21 มกราคม 2558 ฤกษ์งามยามดี ลงมือกรอก DS-160ค่ะ อย่างที่ทราบกันดีนะคะ การกรอก DS-160 นี่จะสามารถกรอกได้และแก้ไขได้ค่ะ ตราบในที่เรายังไม่กด submit มันซะก่อน แบบฟอร์มที่ต้องกรอกมีหลายหน้าพอสมควรค่ะ
สมมติวันนี้กรอกไปได้ 2 แต่ไม่มีอารมณ์ละ เราสามารถหยุดมันไว้ได้ค่ะ เพียงแค่ตอนสมัคร เราต้องจำ
>>>Application ID , คำตอบของ security question<<< ที่เราตอบไว้ในตอนเริ่มในสมัครให้ดีค่ะ จดไว้เลยดีทีสุดค่ะ
อย่าเชื่อมั่นในความจำของตัวเองมาก 555 เราเจ็บมาเยอะ ==” เข้ามาครั้งหน้าเราก็ทำต่อได้เลยค่ะ
กรอกเสร็จแล้วต้อง**** print ใบสมัคร (เฉพาะใบหน้าที่มีรูปเรา) ออกมาด้วยนะคะ ต้องใช้ในวันสัมภาษณ์***
เรากด submit visa application ไปเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ณ ร้าน internet บนยอดดอยหนึ่งในจังหวัดเชียงรายค่ะ
ยังจำได้ไม่รู้ลืม กร๊ากๆๆๆ
ทีนี้เนื่องจากว่า หลัง 7 กุมภาพันธ์ 2558 เขาเปลี่ยนระบบใหม่แล้วค่ะ
ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อ PI N มานัดสัมภาษณ์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ไอ่เราก็ไม่รู้ค่ะ บ้านนอก โทรมาใช้เพื่อนที่อยู่กรุงเทพให้ไปซื้อ pin ให้ค่ะ พนักงานไปรษณีย์บอกว่าไม่มีแล้วค่ะ ให้ไปที่ ธ.กรุงศรีฯ
หลังสมัครเสร็จ ขั้นตอนต่อไปก็ไปสร้าง login ในเว็บ
https://cgifederal.secure.force.com/ ก่อนการไปจ่ายเงินค่ะ
สร้างลอกอินเสร็จเราจะเห็นไฟล์อยู่ 2 ไฟล์
1. เป็นคำแนะนำการโอนเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์และการชำระค่าธรรมเนียมวีซ่าด้วยเงินสดที่ธนาคาร
อันนี้ print ออกมาไว้ดูได้ค่ะ แต่ถ้าจะไม่ print ก็ได้ค่ะ อ่านให้เข้าใจ
มันก็จะบอกว่าค่าธรรมเนียม ณ ตอนนั้นเท่าไหร่ 5,280 บาทของเราค่ะ
อ่านเข้าใจแล้วก็จด*** virtual account ID กับ CGI Reference no.***ไว้ค่ะ
มันจำเป็นต้องใช้ในการกรอกใบ slip จ่ายเงินค่ะ
2. แบบฟอร์มการชำระเงินของธนาคารกรุงศรีฯ
อันนี้ต้อง print ออกมาแล้วนำไปจ่ายเงินที่ธนาคาร ต้องกรอกเลข 2 อันที่บอกไว้ด้านบนนั้นลงไปค่ะ
จ่ายเงินเสร็จแล้วรอเวลาค่ะ .....หลังบ่ายโมงของวันถัดไปเราจะสามารถ login เข้าไปนัดสัมภาษณ์วีซ่าได้เลยค่ะ
ช่วงก่อนถึงเวลาสัมภาษณ์ เราก็เตรียมเอกสารกันหัวฟูค่ะ จากตอนแรกไหนบอกว่าเฉยๆไม่อยากได้ใช่มะ?
พอได้เสียเงินไปห้าพันกว่าเท่านั้นแหล่ะค่ะ อินี่เปลี่ยนความตั้งใจเลยฮะ ช้านจะต้องได้มันมาครอบครองให้ได้
แพงมากกกกกกกกกกเลยนะ ค่าสมัครของแกเนี่ย เอกสารที่ต้องเตรียมเพื่อใช้ในการสัมภาษณ์นะคะ สำคัญมากเลยคือ
1. Passport ดูวันหมดอายุด้วยนะ>.<
2. ใบรับรองการเป็นนักศึกษา
3. รูปถ่าย 2 นิ้ว เอาไปเผื่อว่ารูปที่เรา load ไปในใบสมัครมันไม่ชัดเจนพอเขาจะขอดูอันนี้
4. ใบ DS-160
5. ใบเสร็จจ่ายเงินค่าธรรมเนียมวีซ่า
6. ใบนัดสัมภาษณ์ appointment comfirmmation
นอกเหนือจากนี้ก็เป็นเอกสารต่างๆที่จะต้องเตรียมไว้เผื่อเขาเรียกดูเพิ่มเติมขณะสัมภาษณ์ค่ะ ก็ไม่ได้มีอะไรตายตัว เตรียมอะไรก็ได้ค่ะ
ที่เราคิดว่าเค้าเห็นแล้วเค้าจะมั่นใจได้ว่า นางนี่จะกลับมาเมืองไทยแน่นอนค่ะ
ไม่เป็นโรบินฮู้ด ไม่แอบไปเป็นเมียฝาหรั่งอยู่โน่นแน่นอนค่ะ 555 อะไรทำนองนั้น
สิ่งที่เราเตรียมไปเพิ่มเติมก็คือ
จดหมายแนะนำตัว
travel itinerary
sponsor ship letter (เราให้พ่อแม่เป็นสปอนเซอร์ค่ะ)
statement ธนาคารของสปอนเซอร์
ทะเบียนบ้าน
ใบเกิดของเรา
สำเนาบัตร ปชช ของพ่อ แม่ เรา,
โฉนดที่ดินของพ่อแม่ (เอาไป 2 แปลงเองค่ะ เบาๆ)
จริงๆยังมีเพิ่มเติมอีกสำหรับคนที่ทำงานแล้วนะคะ อันนี้เราไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ พวกหนังสือรับรองการทำงาน
ผลประกอบการรายปี ใบจดทะเบียนการค้า ฯลฯ อะไรเทือกนั้นค่ะ
เราไม่มีอะไรเลยค่ะ 555 เป็นนักศึกษามหาลัยค่ะ พ่อแม่เป็นชาวนา เอกสารไรมากกว่านี้ ไม่มี๊ไม่มี
มาถึงวันสัมภาษณ์ นัดไว้ 18 มีนาคม 2558 7:30 น.
ไปถึง 7:00 น.ก็ทันนะคะ แต่อย่างว่าค่ะ ด้วยความหื่นและตื่นเต้น กร๊ากๆๆ
ขอไปถึงเร็วไว้ก่อนดูลาดเลา นั่งแท็กซี่ไปจากหอแถวเตรียมอุดมค่ะ มีเพื่อนที่น่าร๊ากก 2 คนไปเป็นเพื่อน
เพราะว่ากลัวโดนปฏิเสธแล้วร้องไห้โฮออกมาไม่มีคนปลอบใจ กลับบ้านไม่ถูกค่ะ
ไปถึงได้ก็เห็นอย่างที่เค้าร่ำลือกันมา คนต่อแถวกันยาวเหยียดข้างถนนค่ะ
มิรอช้าเราเข้าไปแจมด้วย ก็จะมีคุณลุงยามเดินไปมาชูป้ายไฟ 555 จริงๆมันคือแผ่นกระดาษที่บอกว่า ห้ามพกอะไรติดตัวไปบ้าง
ก็จะมีกรรไกรตัดเล็บ power bank หูฟัง cutter ปืน เอาไปยิงใครฟระ ฯลฯ
เราศึกษามาอย่างดีแล้วค่ะ ไม่มีอะไรดังกล่าวเลย สบายใจ
กระเป๋าที่ใช้ในวันนั้นก็เป็นใบเล็กๆแค่พอใส่มือถือ ประเป๋าสตางค์ ปากกาหนึ่งด้าม ก็พอค่ะ ใหญ่ไปเกะกะเปล่าๆ
( มือถืออนุญาตให้ฝากได้แค่เครื่องเดียวนะคะ )
เอกสารที่เตรียมไปก็ใส่ไว้ในซองใสหรือแฟ้มสอดได้หมดค่ะ เอาที่คิดว่าจะสะดวกเรามากที่สุดเวลาเค้าเรียกจะเอาอะไร
ถึงเวลาเค้าก็เรียกพวก 7:30 ไปต่อแถวด้วยกันค่ะ ถึงเวลา say goodbye เพื่อนรัก
ส่งนางไปนั่งรอชิลๆที่ Dean & DeLuca แถวๆ BTS เพลินจิตค่ะ
หลังจากนั้นก็มีจนท ผู้หญิงคนหนึ่งมาเดินตามแถว เรียกให้เรา DS-160 กับ passport ออกมาค่ะ
พี่เค้าก็จะให้กางหน้า passport ให้เค้าดูเสร็จแล้วเค้าก็ใช้ปากกาไฮไลท์เขียนรอบของเราตัวโตๆลงไปบน DS-160 ค่ะ
ต่อแถวรอจนถึงหน้าประตู เค้าจะให้ปิดมือถือและเอาบัตร ปชช ออกมาค่ะ พอเข้าไปในประตูจะมี counter แบบฝากของทั่วไปค่ะ
จนท จะถามอีกครั้งว่ามีของเหล่านี้มั้ย (ของแบบที่ลุงยามโชว์ค่ะ)
ถ้าไม่มีก็วางโทรศัพท์และบัตร ปชช ให้เค้าค่ะ เค้าจะเอาไปเก็บแล้วเอาสายกุญแจมาคล้องไว้ให้ที่ข้อมือเรา
เสร็จแล้ววางกระเป๋าและเอกสารทั้งหมดของเราลงในตะกร้าเพื่อเข้าเครื่องแสกนค่ะ ใครใส่สูทไปเขาให้ถอดสูทออกก่อนด้วยนะเออ
เราเห็น ผช คนต่อหลังเราเขาให้ถอดเอาใส่ตะกร้าไปผ่านเครื่องแสกนด้วยเหมือนกัน
พอของแสกนเข้าไปแล้วทีนี้เค้าก็จะให้เราเดินผ่านเครื่องแสกนตามไปค่ะ เสร็จแล้วจะมี จนท อีกคนถือไม้มาโบกๆตามตัวเราอีกที
เป็นอันเสร็จพิธีค่ะ
ผ่านด่านแรกไปได้เค้าก็จะเปิดประตูให้เราเข้าไปค่ะ เป็นอะไรไม่รู้ มีสวนเขียวๆข้างหลังด้วยแฮะ ก็ดูสวยดี แต่ไม่มีเวลาทัศนามากค่ะ
รีบเดินตามคนด้านหน้าไปถามทาง ก็จะเป็นตู้ๆ แบบ BTS ค่ะ 2 ตู้ ตรงนี้เจ้าหน้าที่ จะเรียกเอา passport กับใบ DS-160 ของเราไปดู
แล้วก็ถามคำถามอีกเล็กน้อย ที่เราเจอก็คือ
-สมัครวีซ่าอเมริกาครั้งแรกใช่มั้ยคะ? ใช่ค่ะ จบ
เสร็จแล้วเค้าก็จะให้หมายเลขสำหรับ tract จดหมายมาค่ะ จดไว้ตรงไหนก็ได้ตามเราสะดวกเลย
เสร็จแล้วเดินไปด่านต่อไป คราวนี้ต้องผลักประตูเข้าไปในตัวอาคารละ
เข้าไปก็จะเห็นคนต่อแถววนไปวนมาเป็นงูเลื้อยอยู่ค่ะ เข้าไปร่วมแจมแบบงงๆ มี จนท คนหนึ่งยืนอยู่คอยจัดแถว ตัดแถว บลาๆ
ด้านในมีทั้งหมดอีก 3 ด่านค่ะ ทั้งหมดเป็นตู้ๆ เราจะต้องคุยกับเจ้าหน้าที่ผ่านกระจก
ด้านแรก มีทั้งหมด 3 ตู้ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดเป็นคนไทย เราต้องสอด DS-160 กับ passport ลอดช่องแคบใต้กระจกให้เค้าไป
เค้าก็คีย์คอมและถามคำถามนิดหน่อย ที่เราเจอคือ
-เคยเปลี่ยนชื่อ นามสกุลมั้ยคะ
-เบอร์โทรศัพท์เบอร์นี้ใครคะ? (เราให้ไปทั้งหมด 3 เบอร์ค่ะ เบอร์แรกที่ถามมาเป็นเบอร์สำรองที่เราให้ไปค่ะ ตอบเค้าไปว่า “แฟนค่ะ”
ด้วยเสียงอันแผ่วเบา 555 จะไม่เบาได้ไงหล่ะ ช้านไม่ได้เป็นแฟนกะมาน มานคือคนที่ไปเพื่อนเราในวันนั้นและเตี๊ยมกะมันไว้อย่างดีว่า
เฮ้ย เบอร์แปลกโทรมานี่ จำไว้ว่าเมิงเป็นแฟนกุนะ
ประสาทค่ะ กลัวอะไรไม่รู้ ต่อมาถามว่าเบอร์นี้เบอร์หนูใช่มั้ยคะ
ตอบว่า”ค่ะ” แล้วถามอีกเบอร์ที่กรอกไปสุดท้ายตอบไปว่า”พ่อค่ะ” ฮี่ๆ) เสร็จแล้ว
-วาง 4 นิ้วข้างซ้ายบนกระจกค่ะ ก็จะแสกนนิ้วเราค่ะ
-วาง 4 นิ้วขวาบนกระจกค่ะ
-วางนิ้วโป้งซ้ายขวาบนกระจกค่ะ
แสกนเสร็จแล้วเค้าก็ส่งใบ DS-160ที่มี code สี่ห้าตัวกับ passport มัดหนังยางไว้ด้วยกันส่งคืนเรามา
และบอกว่า”ช่องถัดไปเอาเอกสารด้านนี้แปะตรงหน้ากระจกนะคะ“
ก็คือด้านที่มีเลขนั่นแหล่ะค่ะ เป็นอันเสร็จด่านนี้ค่ะ เค้าก็ให้ไปต่อแถวเพื่อไปช่อง 10 ค่ะ เป็นด้านถัดไป
ด้านที่สอง เป็นฝาหรั่งผู้ชาย พูดไทยได้ค่ะ เราเอากระดาษแปะหน้ากระจกค่ะ
(นึกสภาพไม่ออกไม่เป็นไรค่ะ คนก่อนหน้าเราทำยังไง ทำตามมันคือโอเคค่ะ )
-คุณ NOPPARAT ช่ายหมายครับ (ใช่ค่ะ)
-วาง4นิ้วด้านซ้ายบนกราจกครับ (เราก็วาง) แค่นั้นค่ะ เสร็จรวดเร็วแบบงงๆ
ทีนี้ถึงด่านสุดท้ายแล้ว อันนี้คือการสัมภาษณ์ของจริงค่ะ กงสุลฝรั่งหมดเลย วันนี้เปิดให้บริการอยู่ 3 ช่องค่ะ เป็นผู้ชายทั้งหมดเลย
ช่องริมขวาหล่อมว๊ากกกกค่ะ อยากด้ายยย 555
ช่องริมซ้ายสุดเป็นผู้ใหญ่หน่อย อ้วนๆ ดูใจดี น่ารัก พูดไทยกระจายยย
ส่วนตรงกลางก็เฉยๆค่ะ ดูจริงจังสุดละ แอบได้ยินตอนก่อนถึงคิวเรา
he ถามว่า “ชอบคุยภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษครับ” โหวว ดูดีอ่ะ ให้เลือกด้วย
... เรายืนอยู่ในแถวก็ทำได้มากสุดแค่ภาวนาค่ะ อยากให้คนไหนสะกดจิตไว้ค่ะ อิอิ มันเลือกไม่ได้อยู่ละ
ช่องไหนว่างก็ต้อง run ไปเรื่อยๆตามนั้น แล้วสุดท้ายช้านได้ใครรู้ม้ายยยย อิฝาหรั่งจริงจังช่องกลางค่า
ก็ไปยืนตรงหน้าช่องค่ะ วางเอกสารไว้อิตรงหน้าช่องแหล่ะค่ะ ไม่รู้มันให้วางมั้ย ไม่สนล้าวว ตื่นเต้นวุ้ยยย
ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาระหว่างเรากับ he
HE : ซาหวัดดีครับคุณนพรัตน์ จาไปที่หนายเหรอครับ
ME: Hawaii ค่ะ
HE : ไปกับใครครับ
ME: alone ค่ะ (แหมมม....กระแดะตอบภาษาอังกฤษค่ะ ไม่รู้คิดอะไรค่ะ ตอนนั้นเครื่องรวน)
HE : จาไปกี่วันครับ
ME: fourteen days ka (ยังคงกระแดะต่อ 555 ขำตัวเอง)
HE : เคยไปที่หนายมาบ้างครับ
ME: Hm,,,I’ve been to Laos 3 years ago ka (แรดต่อเนื่องค่ะ ก็ช้านเตรียมมาสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษนี่นา คริๆ)
HE : what do you do? He หมั่นไส้พ่นประกิดใส่นิดนึง
ME: I’m a dental student ka
HE : รู้จักครายที่โน่นมั้ย
ME: I know ka, He’s………
HE : Who’s he?
ME: He’s my friend
HE : ไปที่นี่ ครายออกเงินให้ครับ
ME: My parents will pay all expenses in this trip ka
HE : พ่อแม่คุณทำอะราย?
ME: They’re farmer ka
HE : Huh?
ME: They’re farmer (ทำไมหรา farmer ผิดตรงไหนหรา มีเงินนะ ชริ!)
HE : จะกลับมาทำอะราย
ME: กลับมาเรียนต่อให้จบค่ะ (พูดไทยละ ปะกิดต่อไม่ไหวละ เครียด)
HE : วีซ่าผ่านน ฮีเอ่ยเสียงสวรรค์มาเป็นภาษาไทยค่ะ เฮ้ย!!! เร็วไปมั้ยแกรรรรรร ช้านตกกะใจ
ME : รีบ say thank you แล้วแทบถลาออกมาค่ะ กลัวเก็บใบหน้าแป้นแล้นไม่ได้ กร๊ากๆๆๆ
visa AMERICA
อยู่ดีๆบังเกิดความคิดที่จะไปเที่ยวฮาวายค่ะ >.< ท้าวความก่อน
จริงๆไม่ถือว่าอยู่ดีๆนะ คือ มีเพื่อนอยู่ที่นั่นค่ะ เคยพูดเล่นๆกับนางตั้งแต่ครึ่งปีที่แล้วว่าเดี๋ยวเราไปเที่ยวนั่นบ้างนะ
นางก็คิดจริงค่ะ 555 นางบอกให้เราไปขอ visa ส่งลิงค์มาอะไรมาพร้อม เราก็เฉยค่ะ ตีเนียนต่อไป บอกว่า soon ไปเรื่อยๆ... แหะๆ
ทีนี้ธันวาคม นางก็มาไทยค่ะ ใช้ซิ๊ ก็นางมาง่ายไปง่ายนี่นา ก็ไปเที่ยวกันสนุกสนานค่ะ ส่งนางกลับไปด้วยดี ทีนี้...
นางรบเร้าของจริงเลยคร่าาา ..
เราก็ อะ อะ โอเค ตามน้ำละกัน เดี๋ยวชั้นจะขอ visa มาให้นางเชยชม
เริ่มจากมกราคม 2558 ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับการสมัครอย่างหนักค่ะ pantip เป็นแหล่งข้อมูลชั้นเลิศ อ่านรีวิวของคนที่ขอมารัวๆ
สรุปเป็นขั้นตอนคร่าวๆที่ทำนะคะ
1. กรอก DS-160
2. จ่ายเงินค่าวีซ่าที่ธนาคารกรุงศรีฯ
3. สร้าง log in เพื่อนัดสัมภาษณ์วีซ่า
4. สัมภาษณ์
21 มกราคม 2558 ฤกษ์งามยามดี ลงมือกรอก DS-160ค่ะ อย่างที่ทราบกันดีนะคะ การกรอก DS-160 นี่จะสามารถกรอกได้และแก้ไขได้ค่ะ ตราบในที่เรายังไม่กด submit มันซะก่อน แบบฟอร์มที่ต้องกรอกมีหลายหน้าพอสมควรค่ะ
สมมติวันนี้กรอกไปได้ 2 แต่ไม่มีอารมณ์ละ เราสามารถหยุดมันไว้ได้ค่ะ เพียงแค่ตอนสมัคร เราต้องจำ
>>>Application ID , คำตอบของ security question<<< ที่เราตอบไว้ในตอนเริ่มในสมัครให้ดีค่ะ จดไว้เลยดีทีสุดค่ะ
อย่าเชื่อมั่นในความจำของตัวเองมาก 555 เราเจ็บมาเยอะ ==” เข้ามาครั้งหน้าเราก็ทำต่อได้เลยค่ะ
กรอกเสร็จแล้วต้อง**** print ใบสมัคร (เฉพาะใบหน้าที่มีรูปเรา) ออกมาด้วยนะคะ ต้องใช้ในวันสัมภาษณ์***
เรากด submit visa application ไปเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ณ ร้าน internet บนยอดดอยหนึ่งในจังหวัดเชียงรายค่ะ
ยังจำได้ไม่รู้ลืม กร๊ากๆๆๆ
ทีนี้เนื่องจากว่า หลัง 7 กุมภาพันธ์ 2558 เขาเปลี่ยนระบบใหม่แล้วค่ะ
ไม่ต้องไปเสียเงินซื้อ PI N มานัดสัมภาษณ์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ไอ่เราก็ไม่รู้ค่ะ บ้านนอก โทรมาใช้เพื่อนที่อยู่กรุงเทพให้ไปซื้อ pin ให้ค่ะ พนักงานไปรษณีย์บอกว่าไม่มีแล้วค่ะ ให้ไปที่ ธ.กรุงศรีฯ
หลังสมัครเสร็จ ขั้นตอนต่อไปก็ไปสร้าง login ในเว็บ
https://cgifederal.secure.force.com/ ก่อนการไปจ่ายเงินค่ะ
สร้างลอกอินเสร็จเราจะเห็นไฟล์อยู่ 2 ไฟล์
1. เป็นคำแนะนำการโอนเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์และการชำระค่าธรรมเนียมวีซ่าด้วยเงินสดที่ธนาคาร
อันนี้ print ออกมาไว้ดูได้ค่ะ แต่ถ้าจะไม่ print ก็ได้ค่ะ อ่านให้เข้าใจ
มันก็จะบอกว่าค่าธรรมเนียม ณ ตอนนั้นเท่าไหร่ 5,280 บาทของเราค่ะ
อ่านเข้าใจแล้วก็จด*** virtual account ID กับ CGI Reference no.***ไว้ค่ะ
มันจำเป็นต้องใช้ในการกรอกใบ slip จ่ายเงินค่ะ
2. แบบฟอร์มการชำระเงินของธนาคารกรุงศรีฯ
อันนี้ต้อง print ออกมาแล้วนำไปจ่ายเงินที่ธนาคาร ต้องกรอกเลข 2 อันที่บอกไว้ด้านบนนั้นลงไปค่ะ
จ่ายเงินเสร็จแล้วรอเวลาค่ะ .....หลังบ่ายโมงของวันถัดไปเราจะสามารถ login เข้าไปนัดสัมภาษณ์วีซ่าได้เลยค่ะ
ช่วงก่อนถึงเวลาสัมภาษณ์ เราก็เตรียมเอกสารกันหัวฟูค่ะ จากตอนแรกไหนบอกว่าเฉยๆไม่อยากได้ใช่มะ?
พอได้เสียเงินไปห้าพันกว่าเท่านั้นแหล่ะค่ะ อินี่เปลี่ยนความตั้งใจเลยฮะ ช้านจะต้องได้มันมาครอบครองให้ได้
แพงมากกกกกกกกกกเลยนะ ค่าสมัครของแกเนี่ย เอกสารที่ต้องเตรียมเพื่อใช้ในการสัมภาษณ์นะคะ สำคัญมากเลยคือ
1. Passport ดูวันหมดอายุด้วยนะ>.<
2. ใบรับรองการเป็นนักศึกษา
3. รูปถ่าย 2 นิ้ว เอาไปเผื่อว่ารูปที่เรา load ไปในใบสมัครมันไม่ชัดเจนพอเขาจะขอดูอันนี้
4. ใบ DS-160
5. ใบเสร็จจ่ายเงินค่าธรรมเนียมวีซ่า
6. ใบนัดสัมภาษณ์ appointment comfirmmation
นอกเหนือจากนี้ก็เป็นเอกสารต่างๆที่จะต้องเตรียมไว้เผื่อเขาเรียกดูเพิ่มเติมขณะสัมภาษณ์ค่ะ ก็ไม่ได้มีอะไรตายตัว เตรียมอะไรก็ได้ค่ะ
ที่เราคิดว่าเค้าเห็นแล้วเค้าจะมั่นใจได้ว่า นางนี่จะกลับมาเมืองไทยแน่นอนค่ะ
ไม่เป็นโรบินฮู้ด ไม่แอบไปเป็นเมียฝาหรั่งอยู่โน่นแน่นอนค่ะ 555 อะไรทำนองนั้น
สิ่งที่เราเตรียมไปเพิ่มเติมก็คือ
จดหมายแนะนำตัว
travel itinerary
sponsor ship letter (เราให้พ่อแม่เป็นสปอนเซอร์ค่ะ)
statement ธนาคารของสปอนเซอร์
ทะเบียนบ้าน
ใบเกิดของเรา
สำเนาบัตร ปชช ของพ่อ แม่ เรา,
โฉนดที่ดินของพ่อแม่ (เอาไป 2 แปลงเองค่ะ เบาๆ)
จริงๆยังมีเพิ่มเติมอีกสำหรับคนที่ทำงานแล้วนะคะ อันนี้เราไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ พวกหนังสือรับรองการทำงาน
ผลประกอบการรายปี ใบจดทะเบียนการค้า ฯลฯ อะไรเทือกนั้นค่ะ
เราไม่มีอะไรเลยค่ะ 555 เป็นนักศึกษามหาลัยค่ะ พ่อแม่เป็นชาวนา เอกสารไรมากกว่านี้ ไม่มี๊ไม่มี
มาถึงวันสัมภาษณ์ นัดไว้ 18 มีนาคม 2558 7:30 น.
ไปถึง 7:00 น.ก็ทันนะคะ แต่อย่างว่าค่ะ ด้วยความหื่นและตื่นเต้น กร๊ากๆๆ
ขอไปถึงเร็วไว้ก่อนดูลาดเลา นั่งแท็กซี่ไปจากหอแถวเตรียมอุดมค่ะ มีเพื่อนที่น่าร๊ากก 2 คนไปเป็นเพื่อน
เพราะว่ากลัวโดนปฏิเสธแล้วร้องไห้โฮออกมาไม่มีคนปลอบใจ กลับบ้านไม่ถูกค่ะ
ไปถึงได้ก็เห็นอย่างที่เค้าร่ำลือกันมา คนต่อแถวกันยาวเหยียดข้างถนนค่ะ
มิรอช้าเราเข้าไปแจมด้วย ก็จะมีคุณลุงยามเดินไปมาชูป้ายไฟ 555 จริงๆมันคือแผ่นกระดาษที่บอกว่า ห้ามพกอะไรติดตัวไปบ้าง
ก็จะมีกรรไกรตัดเล็บ power bank หูฟัง cutter ปืน เอาไปยิงใครฟระ ฯลฯ
เราศึกษามาอย่างดีแล้วค่ะ ไม่มีอะไรดังกล่าวเลย สบายใจ
กระเป๋าที่ใช้ในวันนั้นก็เป็นใบเล็กๆแค่พอใส่มือถือ ประเป๋าสตางค์ ปากกาหนึ่งด้าม ก็พอค่ะ ใหญ่ไปเกะกะเปล่าๆ
( มือถืออนุญาตให้ฝากได้แค่เครื่องเดียวนะคะ )
เอกสารที่เตรียมไปก็ใส่ไว้ในซองใสหรือแฟ้มสอดได้หมดค่ะ เอาที่คิดว่าจะสะดวกเรามากที่สุดเวลาเค้าเรียกจะเอาอะไร
ถึงเวลาเค้าก็เรียกพวก 7:30 ไปต่อแถวด้วยกันค่ะ ถึงเวลา say goodbye เพื่อนรัก
ส่งนางไปนั่งรอชิลๆที่ Dean & DeLuca แถวๆ BTS เพลินจิตค่ะ
หลังจากนั้นก็มีจนท ผู้หญิงคนหนึ่งมาเดินตามแถว เรียกให้เรา DS-160 กับ passport ออกมาค่ะ
พี่เค้าก็จะให้กางหน้า passport ให้เค้าดูเสร็จแล้วเค้าก็ใช้ปากกาไฮไลท์เขียนรอบของเราตัวโตๆลงไปบน DS-160 ค่ะ
ต่อแถวรอจนถึงหน้าประตู เค้าจะให้ปิดมือถือและเอาบัตร ปชช ออกมาค่ะ พอเข้าไปในประตูจะมี counter แบบฝากของทั่วไปค่ะ
จนท จะถามอีกครั้งว่ามีของเหล่านี้มั้ย (ของแบบที่ลุงยามโชว์ค่ะ)
ถ้าไม่มีก็วางโทรศัพท์และบัตร ปชช ให้เค้าค่ะ เค้าจะเอาไปเก็บแล้วเอาสายกุญแจมาคล้องไว้ให้ที่ข้อมือเรา
เสร็จแล้ววางกระเป๋าและเอกสารทั้งหมดของเราลงในตะกร้าเพื่อเข้าเครื่องแสกนค่ะ ใครใส่สูทไปเขาให้ถอดสูทออกก่อนด้วยนะเออ
เราเห็น ผช คนต่อหลังเราเขาให้ถอดเอาใส่ตะกร้าไปผ่านเครื่องแสกนด้วยเหมือนกัน
พอของแสกนเข้าไปแล้วทีนี้เค้าก็จะให้เราเดินผ่านเครื่องแสกนตามไปค่ะ เสร็จแล้วจะมี จนท อีกคนถือไม้มาโบกๆตามตัวเราอีกที
เป็นอันเสร็จพิธีค่ะ
ผ่านด่านแรกไปได้เค้าก็จะเปิดประตูให้เราเข้าไปค่ะ เป็นอะไรไม่รู้ มีสวนเขียวๆข้างหลังด้วยแฮะ ก็ดูสวยดี แต่ไม่มีเวลาทัศนามากค่ะ
รีบเดินตามคนด้านหน้าไปถามทาง ก็จะเป็นตู้ๆ แบบ BTS ค่ะ 2 ตู้ ตรงนี้เจ้าหน้าที่ จะเรียกเอา passport กับใบ DS-160 ของเราไปดู
แล้วก็ถามคำถามอีกเล็กน้อย ที่เราเจอก็คือ
-สมัครวีซ่าอเมริกาครั้งแรกใช่มั้ยคะ? ใช่ค่ะ จบ
เสร็จแล้วเค้าก็จะให้หมายเลขสำหรับ tract จดหมายมาค่ะ จดไว้ตรงไหนก็ได้ตามเราสะดวกเลย
เสร็จแล้วเดินไปด่านต่อไป คราวนี้ต้องผลักประตูเข้าไปในตัวอาคารละ
เข้าไปก็จะเห็นคนต่อแถววนไปวนมาเป็นงูเลื้อยอยู่ค่ะ เข้าไปร่วมแจมแบบงงๆ มี จนท คนหนึ่งยืนอยู่คอยจัดแถว ตัดแถว บลาๆ
ด้านในมีทั้งหมดอีก 3 ด่านค่ะ ทั้งหมดเป็นตู้ๆ เราจะต้องคุยกับเจ้าหน้าที่ผ่านกระจก
ด้านแรก มีทั้งหมด 3 ตู้ เจ้าหน้าที่ทั้งหมดเป็นคนไทย เราต้องสอด DS-160 กับ passport ลอดช่องแคบใต้กระจกให้เค้าไป
เค้าก็คีย์คอมและถามคำถามนิดหน่อย ที่เราเจอคือ
-เคยเปลี่ยนชื่อ นามสกุลมั้ยคะ
-เบอร์โทรศัพท์เบอร์นี้ใครคะ? (เราให้ไปทั้งหมด 3 เบอร์ค่ะ เบอร์แรกที่ถามมาเป็นเบอร์สำรองที่เราให้ไปค่ะ ตอบเค้าไปว่า “แฟนค่ะ”
ด้วยเสียงอันแผ่วเบา 555 จะไม่เบาได้ไงหล่ะ ช้านไม่ได้เป็นแฟนกะมาน มานคือคนที่ไปเพื่อนเราในวันนั้นและเตี๊ยมกะมันไว้อย่างดีว่า
เฮ้ย เบอร์แปลกโทรมานี่ จำไว้ว่าเมิงเป็นแฟนกุนะ ประสาทค่ะ กลัวอะไรไม่รู้ ต่อมาถามว่าเบอร์นี้เบอร์หนูใช่มั้ยคะ
ตอบว่า”ค่ะ” แล้วถามอีกเบอร์ที่กรอกไปสุดท้ายตอบไปว่า”พ่อค่ะ” ฮี่ๆ) เสร็จแล้ว
-วาง 4 นิ้วข้างซ้ายบนกระจกค่ะ ก็จะแสกนนิ้วเราค่ะ
-วาง 4 นิ้วขวาบนกระจกค่ะ
-วางนิ้วโป้งซ้ายขวาบนกระจกค่ะ
แสกนเสร็จแล้วเค้าก็ส่งใบ DS-160ที่มี code สี่ห้าตัวกับ passport มัดหนังยางไว้ด้วยกันส่งคืนเรามา
และบอกว่า”ช่องถัดไปเอาเอกสารด้านนี้แปะตรงหน้ากระจกนะคะ“
ก็คือด้านที่มีเลขนั่นแหล่ะค่ะ เป็นอันเสร็จด่านนี้ค่ะ เค้าก็ให้ไปต่อแถวเพื่อไปช่อง 10 ค่ะ เป็นด้านถัดไป
ด้านที่สอง เป็นฝาหรั่งผู้ชาย พูดไทยได้ค่ะ เราเอากระดาษแปะหน้ากระจกค่ะ
(นึกสภาพไม่ออกไม่เป็นไรค่ะ คนก่อนหน้าเราทำยังไง ทำตามมันคือโอเคค่ะ )
-คุณ NOPPARAT ช่ายหมายครับ (ใช่ค่ะ)
-วาง4นิ้วด้านซ้ายบนกราจกครับ (เราก็วาง) แค่นั้นค่ะ เสร็จรวดเร็วแบบงงๆ
ทีนี้ถึงด่านสุดท้ายแล้ว อันนี้คือการสัมภาษณ์ของจริงค่ะ กงสุลฝรั่งหมดเลย วันนี้เปิดให้บริการอยู่ 3 ช่องค่ะ เป็นผู้ชายทั้งหมดเลย
ช่องริมขวาหล่อมว๊ากกกกค่ะ อยากด้ายยย 555
ช่องริมซ้ายสุดเป็นผู้ใหญ่หน่อย อ้วนๆ ดูใจดี น่ารัก พูดไทยกระจายยย
ส่วนตรงกลางก็เฉยๆค่ะ ดูจริงจังสุดละ แอบได้ยินตอนก่อนถึงคิวเรา
he ถามว่า “ชอบคุยภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษครับ” โหวว ดูดีอ่ะ ให้เลือกด้วย
... เรายืนอยู่ในแถวก็ทำได้มากสุดแค่ภาวนาค่ะ อยากให้คนไหนสะกดจิตไว้ค่ะ อิอิ มันเลือกไม่ได้อยู่ละ
ช่องไหนว่างก็ต้อง run ไปเรื่อยๆตามนั้น แล้วสุดท้ายช้านได้ใครรู้ม้ายยยย อิฝาหรั่งจริงจังช่องกลางค่า
ก็ไปยืนตรงหน้าช่องค่ะ วางเอกสารไว้อิตรงหน้าช่องแหล่ะค่ะ ไม่รู้มันให้วางมั้ย ไม่สนล้าวว ตื่นเต้นวุ้ยยย
ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาระหว่างเรากับ he
HE : ซาหวัดดีครับคุณนพรัตน์ จาไปที่หนายเหรอครับ
ME: Hawaii ค่ะ
HE : ไปกับใครครับ
ME: alone ค่ะ (แหมมม....กระแดะตอบภาษาอังกฤษค่ะ ไม่รู้คิดอะไรค่ะ ตอนนั้นเครื่องรวน)
HE : จาไปกี่วันครับ
ME: fourteen days ka (ยังคงกระแดะต่อ 555 ขำตัวเอง)
HE : เคยไปที่หนายมาบ้างครับ
ME: Hm,,,I’ve been to Laos 3 years ago ka (แรดต่อเนื่องค่ะ ก็ช้านเตรียมมาสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษนี่นา คริๆ)
HE : what do you do? He หมั่นไส้พ่นประกิดใส่นิดนึง
ME: I’m a dental student ka
HE : รู้จักครายที่โน่นมั้ย
ME: I know ka, He’s………
HE : Who’s he?
ME: He’s my friend
HE : ไปที่นี่ ครายออกเงินให้ครับ
ME: My parents will pay all expenses in this trip ka
HE : พ่อแม่คุณทำอะราย?
ME: They’re farmer ka
HE : Huh?
ME: They’re farmer (ทำไมหรา farmer ผิดตรงไหนหรา มีเงินนะ ชริ!)
HE : จะกลับมาทำอะราย
ME: กลับมาเรียนต่อให้จบค่ะ (พูดไทยละ ปะกิดต่อไม่ไหวละ เครียด)
HE : วีซ่าผ่านน ฮีเอ่ยเสียงสวรรค์มาเป็นภาษาไทยค่ะ เฮ้ย!!! เร็วไปมั้ยแกรรรรรร ช้านตกกะใจ
ME : รีบ say thank you แล้วแทบถลาออกมาค่ะ กลัวเก็บใบหน้าแป้นแล้นไม่ได้ กร๊ากๆๆๆ