ต้องเกริ่นก่อนว่า เราได้ยินกิติศัพท์การยื่นขอวีซ่าอเมริกามานาน และค่อนข้างกังวลมากๆ เพราะในตอนนี้เราไม่ได้ทำงานและเป็นแม่บ้านเต็มตัว เลยค่อนข้างกังวล
ลองสอบถามกับเอเจนที่รับทำ ฟังราคาแล้ว สามีเลยบอกให้หาข้อมูลทำเองดีกว่า เพราะทางเอเจนก็ไม่ได้การันตีว่าจะผ่านเหมือนกัน เราเองก็มีความเห็นว่า ก็ดีเหมือนกัน เพราะหากเราเป็นคนกรอกใบสมัครเอง เราจะจำข้อมูลต่างๆได้ จะดีต่อตัวเรามากกว่าในตอนสัมภาษณ์
เราหาข้อมูลอยู่ซักพัก จนมาเจอข้อมูลที่มีประโยชน์ในพันทิป ที่ชี้ช่องยูทูปให้เราได้ศึกษาการกรอกข้อมูล เราดูสักพักจนมั่นใจ ว่าเข้าใจแล้ว ก็เริ่มขั้นตอนในการกรอก ds-160 คือใบสมัครวีซ่า
เมื่อมาถึงขั้นตอนที่จ่ายเงินก่อนจะนัดสัมภาษณ์ ปรากฏว่า เว็บไซด์นั้นมีการเปลี่ยนแปลง อีกทั้ง การเข้าใช้เว็บไซด์ จำเป็นต้องเข้าผ่านระบบ microsoft edge เราเครียดมาก เพราะตอนแรกหาข้อมูลไม่เจอเลย ใช้ผ่านกูเกิ้ล chromeไม่ได้
เราหาข้อมูลอยู่นานมากในวันนั้น ไล่อ่านคอมเม้นจากที่ต่างๆจนไปเจอ เลยโหลด microsoft edge ก็สามารถใช้งานได้ ( เราทำผ่านมือถือกับแทบเล็ตค่ะ )
และต่อจากนั้น ต้องด้นสดกรอกข้อมูลต่างๆเองโดยไม่มีไกด์ ก็ลองงมๆทำดู และภาวนาขอให้ที่ทำอยู่ นั้นถูกต้อง จนได้ใบไปจ่ายค่าธรรมเนียมสมัคร ซึ่งใบนี้ก็ไม่เหมือนเดิม เพราะมีเลขref. แค่แถวเดียว ต่างจากแบบเดิม ที่มี 2ref. พอวันรุ่งขึ้นไปชำระเงิน ถึงได้รู้จากพนักงานธนาคาร ที่คุยกันว่า เดี๋ยวนี้ระบบใหม่มี ref. แค่แถวเดียว ก็อุ่นใจขึ้น
จนถึงวันถัดไป ตอนบ่ายก็เข้าเว็ปเพื่อไปนัดสัมภาษณ์ ตื่นเต้นมากเพราะในสัปดาห์นั้นก็มีวันว่าง แต่เราเห็นว่ากระชั้นชิดเกินไป และ คิวเดือนถัดไปก็มีว่างอยู่หลายวัน เราเลยเลือกห่างวันมากสักหน่อย เพราะจะได้เตรียมตัวด้วย และเผื่อสำหรับจองตั๋วเครื่องบิน และรร.ที่กทม.
ก่อนหน้านั้น เอเจนที่คุยคร่าวๆ เขาบอกคิวรอนานมากนะ ถ้าสมัครตอนนี้(ปลายธค.) กว่าจะได้คิวอีกทีก็มีนา-เมษา คิวยาวมาก อยากให้เรารีบตกลงทำทันทีจะได้ไม่เสียเวลา
เมื่อทุกอย่างพร้อม ถึงวันสัมภาษณ์ เราเดินจากรร.
มาสถานทูตโดยกะเวลาที่ไม่ต้องยืนรอนานมาก เรายืนดูลาดเลา ทำใจสัก 10 นาที ก็เดินไปแจ้งเข้าคิวซึ่งก่อนเวลานัดสัมภาษณ์ราวๆ 20นาที
คนหน้าสถานทูตก็ไม่เยอะ เหมือนส่วนใหญ่กะเวลาไปให้พอดี เพราะใบคำแนะนำให้ไปก่อนเวลานัดเพียง 15นาทีเท่านั้น
เมื่อผ่านจุดแสกนและฝากมือถือ+บัตรประชาชน เข้าไปจุดแรก ที่แปะบาร์โค้ด เขาจะขอรูปถ่ายไปเพียงใบเดียว และแนบกลับมากับพาสปอต จุดนั้นเราลืมที่จะดูเลขบนบาร์โค้ดนั้นเลย เพราะเป็นเลขพัสดุที่จะส่งพาสปอตกลับมา ถ้าไม่จดไว้ ไม่เป็นไร เพราะเราสามารถเข้าไปเช็คได้ที่เว็ปที่เราทำนัดสัมภาษณ์ไว้
และถัดจากนั้นก็คือเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ จากที่อ่าน เราเข้าใจว่าเป็นห้องๆ แต่สถานที่จริง คือ เป็นเคาเตอร์,ช่องเรียงๆกัน เหมือนทุกคนยืนต่อคิวชำระเงิน
ซึ่งระหว่างยืนรอ เราก็ได้เห็น หรือได้ยินบ้าง เวลาที่มีคนถูกสัมภาษณ์
ด่านแรก เป็นคนไทยสัมภาษณ์ คำถามที่เราเจอคือไปเที่ยวหรอคะ? รูปถ่ายเมื่อไหร่,นานรึยัง? เคยเปลี่ยนนามสกุลใช่มั้ย? นามสกุลเก่าคืออะไร? และก็ได้แสกนนิ้ว จากนั้นก็ไปเคาเตอร์มุมสุด เพื่อแสกนนิ้ว ด้านซ้ายเพียงข้างเดียว และก็รอคิว สัมภาษณต่อ
เมื่อมาถึงคิวเรา ผู้สัมภาษณ์เป็นผู้หญิงฝรั่ง พูดกับเราเป็นภาษาไทย หลังจากที่เรายื่นพาสปอตและสวัสดีไป
คำถามจะมี คุณจะไปเที่ยวหรอคะ, ไปที่ไหน, คุณทำงานอะไร, ไปกับใคร
เราตอบว่าไปกับสามี เขาก็ถามว่า แล้วสามีมีวีซ่าแล้วหรอ? เราตอบไปว่าสามีเป็นคนอเมริกาค่ะ โดยเราพูดไทยปนอังกฤษ หลังจากนั้นก็เขาก็พูดกับเราเป็นภาษาอังกฤษตลอด
โดยคำถามที่เขาถาม ส่วนใหญ่ไม่ใช่คำถามที่เราเตรียมหรือฝึกตอบมาเลย เราเตรียมฝึกอธิบายมายืดยาว แต่พอตอบจริง ตอบสั้นๆ ตอบเร็ว กระชับ เมื่อเขาถามเพิ่มก็อธิบายต่อได้ทันทีแบบไม่ลังเล จนคำถามสุดท้าย ว่าเราตั้งใจจะย้ายไปอยู่ที่นั่นมั้ย เราตอบทันทีว่า ไม่ค่ะ และก็ได้รับคำตอบว่ายินดีด้วย วีซ่าผ่านและจะจัดส่งคืนภายใน 7วัน เราดีใจมาก
และเราก็ได้รับพาสปอตที่ส่งกลับมาพร้อมวีซ่า 10ปี ภายในวันที่ 2 หลังจากสัมภาษณ์ ซึ่งเร็วมากๆ เพราะเราอยู่ภาคใต้ และอยู่บนเกาะ ถือว่าไวเว่อร์ มีการชำระค่าจัดส่ง 370 บาท เมื่อพาสปอตมาถึง ขนส่งโดย DHL
รวมๆไทม์ไลน์ จะเป็น
-12 มค. กรอกใบสมัคร
-13 มค. จ่ายค่าธรรมเนียม
-14 มค. นัดวันสัมภาษณ์
-20 กพ. สัมภาษณ์
-22 กพ. ได้รับพาสปอต
เอกสารที่เราเตรียมไปต่างๆ เจ้าหน้าที่ไม่ขอดูเลยค่ะ แม้กระทั่งพาสปอตเล่มเก่าทุกเล่มที่เราเตรียมไป แม้พาสปอตเล่มที่ยื่นจะเป็นเล่มที่เพิ่งทำใหม่ปีที่แล้วก็ตาม
แต่การที่เอาติดไปติดตัวด้วยนั้น เราถือว่าอุ่นใจค่ะ ถ้าเขาขอดู ก็มีพร้อมให้ดู เช่นเสตจเม้นทั้งของเราและของสามี , ใบสมรสที่แปลภาษาอังกฤษ , สำเนาพาสปอตสามี
เรื่องการแต่งตัว ตอนแรกก็กังวล แต่อ่านเจอว่าต่อให้ใส่สูท ไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน เราเลยเลือกแต่งตัวเรียบง่าย มัดผมเรียบร้อย เสื้อยืดแขนยาว กางเกงขายาวรองเท้ารัดส้นหัวปิด แต่งพอดีๆแต่มั่นใจ ไม่ดูจงใจ หรือดูเว่อร์เกินไปค่ะ
อาจจะยาวมากหน่อยนะคะ เพราะทีแรก เรากังวลมากๆ ได้ยินได้ฟังมาเยอะ ว่ายิ่งมีสามีเมกัน จะยื่นท่องเที่ยวยาก อาจจะไม่ผ่านก็ได้ ต้องยื่นอีกแบบ แต่เราไม่ได้กะจะไปอยู่ เราจะแค่ไปเที่ยวกัน หรือ ไม่มีงาน ไม่มีเงินเดือนจะยาก หรือห้ามใส่ชื่อญาติอย่าบอกว่ามีญาติ แต่เราก็ใส่ลงไปนะ ยิ่งถ้าไปฟังข้อมูลแนะนำมากๆ เราจะยิ่งกังวล
แนะนำว่า ควรหาข้อมูลเพียงเพื่อทำความเข้าใจวิธีกรอกใบสมัครจะดีกว่า
ที่เหลือ น่าจะอยู่ที่การตอบคำถามของเรา และการให้ข้อมูลที่ถูกต้องค่ะ
ขอบคุณที่อ่านจนจบและหวังว่าจะมีประโยชน์นะคะ และหากใครกำลังหาข้อมูล หรือกำลังยื่นใบสมัครอยู่ ก็ขอให้โชคดีค่ะ
แชร์ประสบการณ์ขอวีซ่าท่องเที่ยวอเมริกา b1/b2 ปี2025 ฉบับแม่บ้าน ทำเอง แบบละเอียด
ลองสอบถามกับเอเจนที่รับทำ ฟังราคาแล้ว สามีเลยบอกให้หาข้อมูลทำเองดีกว่า เพราะทางเอเจนก็ไม่ได้การันตีว่าจะผ่านเหมือนกัน เราเองก็มีความเห็นว่า ก็ดีเหมือนกัน เพราะหากเราเป็นคนกรอกใบสมัครเอง เราจะจำข้อมูลต่างๆได้ จะดีต่อตัวเรามากกว่าในตอนสัมภาษณ์
เราหาข้อมูลอยู่ซักพัก จนมาเจอข้อมูลที่มีประโยชน์ในพันทิป ที่ชี้ช่องยูทูปให้เราได้ศึกษาการกรอกข้อมูล เราดูสักพักจนมั่นใจ ว่าเข้าใจแล้ว ก็เริ่มขั้นตอนในการกรอก ds-160 คือใบสมัครวีซ่า
เมื่อมาถึงขั้นตอนที่จ่ายเงินก่อนจะนัดสัมภาษณ์ ปรากฏว่า เว็บไซด์นั้นมีการเปลี่ยนแปลง อีกทั้ง การเข้าใช้เว็บไซด์ จำเป็นต้องเข้าผ่านระบบ microsoft edge เราเครียดมาก เพราะตอนแรกหาข้อมูลไม่เจอเลย ใช้ผ่านกูเกิ้ล chromeไม่ได้
เราหาข้อมูลอยู่นานมากในวันนั้น ไล่อ่านคอมเม้นจากที่ต่างๆจนไปเจอ เลยโหลด microsoft edge ก็สามารถใช้งานได้ ( เราทำผ่านมือถือกับแทบเล็ตค่ะ )
และต่อจากนั้น ต้องด้นสดกรอกข้อมูลต่างๆเองโดยไม่มีไกด์ ก็ลองงมๆทำดู และภาวนาขอให้ที่ทำอยู่ นั้นถูกต้อง จนได้ใบไปจ่ายค่าธรรมเนียมสมัคร ซึ่งใบนี้ก็ไม่เหมือนเดิม เพราะมีเลขref. แค่แถวเดียว ต่างจากแบบเดิม ที่มี 2ref. พอวันรุ่งขึ้นไปชำระเงิน ถึงได้รู้จากพนักงานธนาคาร ที่คุยกันว่า เดี๋ยวนี้ระบบใหม่มี ref. แค่แถวเดียว ก็อุ่นใจขึ้น
จนถึงวันถัดไป ตอนบ่ายก็เข้าเว็ปเพื่อไปนัดสัมภาษณ์ ตื่นเต้นมากเพราะในสัปดาห์นั้นก็มีวันว่าง แต่เราเห็นว่ากระชั้นชิดเกินไป และ คิวเดือนถัดไปก็มีว่างอยู่หลายวัน เราเลยเลือกห่างวันมากสักหน่อย เพราะจะได้เตรียมตัวด้วย และเผื่อสำหรับจองตั๋วเครื่องบิน และรร.ที่กทม.
ก่อนหน้านั้น เอเจนที่คุยคร่าวๆ เขาบอกคิวรอนานมากนะ ถ้าสมัครตอนนี้(ปลายธค.) กว่าจะได้คิวอีกทีก็มีนา-เมษา คิวยาวมาก อยากให้เรารีบตกลงทำทันทีจะได้ไม่เสียเวลา
เมื่อทุกอย่างพร้อม ถึงวันสัมภาษณ์ เราเดินจากรร.
มาสถานทูตโดยกะเวลาที่ไม่ต้องยืนรอนานมาก เรายืนดูลาดเลา ทำใจสัก 10 นาที ก็เดินไปแจ้งเข้าคิวซึ่งก่อนเวลานัดสัมภาษณ์ราวๆ 20นาที
คนหน้าสถานทูตก็ไม่เยอะ เหมือนส่วนใหญ่กะเวลาไปให้พอดี เพราะใบคำแนะนำให้ไปก่อนเวลานัดเพียง 15นาทีเท่านั้น
เมื่อผ่านจุดแสกนและฝากมือถือ+บัตรประชาชน เข้าไปจุดแรก ที่แปะบาร์โค้ด เขาจะขอรูปถ่ายไปเพียงใบเดียว และแนบกลับมากับพาสปอต จุดนั้นเราลืมที่จะดูเลขบนบาร์โค้ดนั้นเลย เพราะเป็นเลขพัสดุที่จะส่งพาสปอตกลับมา ถ้าไม่จดไว้ ไม่เป็นไร เพราะเราสามารถเข้าไปเช็คได้ที่เว็ปที่เราทำนัดสัมภาษณ์ไว้
และถัดจากนั้นก็คือเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ จากที่อ่าน เราเข้าใจว่าเป็นห้องๆ แต่สถานที่จริง คือ เป็นเคาเตอร์,ช่องเรียงๆกัน เหมือนทุกคนยืนต่อคิวชำระเงิน
ซึ่งระหว่างยืนรอ เราก็ได้เห็น หรือได้ยินบ้าง เวลาที่มีคนถูกสัมภาษณ์
ด่านแรก เป็นคนไทยสัมภาษณ์ คำถามที่เราเจอคือไปเที่ยวหรอคะ? รูปถ่ายเมื่อไหร่,นานรึยัง? เคยเปลี่ยนนามสกุลใช่มั้ย? นามสกุลเก่าคืออะไร? และก็ได้แสกนนิ้ว จากนั้นก็ไปเคาเตอร์มุมสุด เพื่อแสกนนิ้ว ด้านซ้ายเพียงข้างเดียว และก็รอคิว สัมภาษณต่อ
เมื่อมาถึงคิวเรา ผู้สัมภาษณ์เป็นผู้หญิงฝรั่ง พูดกับเราเป็นภาษาไทย หลังจากที่เรายื่นพาสปอตและสวัสดีไป
คำถามจะมี คุณจะไปเที่ยวหรอคะ, ไปที่ไหน, คุณทำงานอะไร, ไปกับใคร
เราตอบว่าไปกับสามี เขาก็ถามว่า แล้วสามีมีวีซ่าแล้วหรอ? เราตอบไปว่าสามีเป็นคนอเมริกาค่ะ โดยเราพูดไทยปนอังกฤษ หลังจากนั้นก็เขาก็พูดกับเราเป็นภาษาอังกฤษตลอด
โดยคำถามที่เขาถาม ส่วนใหญ่ไม่ใช่คำถามที่เราเตรียมหรือฝึกตอบมาเลย เราเตรียมฝึกอธิบายมายืดยาว แต่พอตอบจริง ตอบสั้นๆ ตอบเร็ว กระชับ เมื่อเขาถามเพิ่มก็อธิบายต่อได้ทันทีแบบไม่ลังเล จนคำถามสุดท้าย ว่าเราตั้งใจจะย้ายไปอยู่ที่นั่นมั้ย เราตอบทันทีว่า ไม่ค่ะ และก็ได้รับคำตอบว่ายินดีด้วย วีซ่าผ่านและจะจัดส่งคืนภายใน 7วัน เราดีใจมาก
และเราก็ได้รับพาสปอตที่ส่งกลับมาพร้อมวีซ่า 10ปี ภายในวันที่ 2 หลังจากสัมภาษณ์ ซึ่งเร็วมากๆ เพราะเราอยู่ภาคใต้ และอยู่บนเกาะ ถือว่าไวเว่อร์ มีการชำระค่าจัดส่ง 370 บาท เมื่อพาสปอตมาถึง ขนส่งโดย DHL
รวมๆไทม์ไลน์ จะเป็น
-12 มค. กรอกใบสมัคร
-13 มค. จ่ายค่าธรรมเนียม
-14 มค. นัดวันสัมภาษณ์
-20 กพ. สัมภาษณ์
-22 กพ. ได้รับพาสปอต
เอกสารที่เราเตรียมไปต่างๆ เจ้าหน้าที่ไม่ขอดูเลยค่ะ แม้กระทั่งพาสปอตเล่มเก่าทุกเล่มที่เราเตรียมไป แม้พาสปอตเล่มที่ยื่นจะเป็นเล่มที่เพิ่งทำใหม่ปีที่แล้วก็ตาม
แต่การที่เอาติดไปติดตัวด้วยนั้น เราถือว่าอุ่นใจค่ะ ถ้าเขาขอดู ก็มีพร้อมให้ดู เช่นเสตจเม้นทั้งของเราและของสามี , ใบสมรสที่แปลภาษาอังกฤษ , สำเนาพาสปอตสามี
เรื่องการแต่งตัว ตอนแรกก็กังวล แต่อ่านเจอว่าต่อให้ใส่สูท ไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน เราเลยเลือกแต่งตัวเรียบง่าย มัดผมเรียบร้อย เสื้อยืดแขนยาว กางเกงขายาวรองเท้ารัดส้นหัวปิด แต่งพอดีๆแต่มั่นใจ ไม่ดูจงใจ หรือดูเว่อร์เกินไปค่ะ
อาจจะยาวมากหน่อยนะคะ เพราะทีแรก เรากังวลมากๆ ได้ยินได้ฟังมาเยอะ ว่ายิ่งมีสามีเมกัน จะยื่นท่องเที่ยวยาก อาจจะไม่ผ่านก็ได้ ต้องยื่นอีกแบบ แต่เราไม่ได้กะจะไปอยู่ เราจะแค่ไปเที่ยวกัน หรือ ไม่มีงาน ไม่มีเงินเดือนจะยาก หรือห้ามใส่ชื่อญาติอย่าบอกว่ามีญาติ แต่เราก็ใส่ลงไปนะ ยิ่งถ้าไปฟังข้อมูลแนะนำมากๆ เราจะยิ่งกังวล
แนะนำว่า ควรหาข้อมูลเพียงเพื่อทำความเข้าใจวิธีกรอกใบสมัครจะดีกว่า
ที่เหลือ น่าจะอยู่ที่การตอบคำถามของเรา และการให้ข้อมูลที่ถูกต้องค่ะ
ขอบคุณที่อ่านจนจบและหวังว่าจะมีประโยชน์นะคะ และหากใครกำลังหาข้อมูล หรือกำลังยื่นใบสมัครอยู่ ก็ขอให้โชคดีค่ะ