ตามหัวข้อเลยครับ ถ้ากร้าวร้าวหรืออะไรที่พูดล่วงเกินไปไม่ควรก็ขอให้ตักเตือน(ด้วยสุภาพ)ด้วยนะครับ เป็นครั้งแรกการตั้งกระทู้
อาจจะยาวแต่หากจะกรุณาอ่านให้จบแล้วเข้ามาโพสต์พูดคุยกันก็จะยินดีมากๆเลยครับ
ผมเองถือพุทธ คน กทม. แต่บวชแลัวไปจำวัดที่ต่างจังหวัด บอกตรงๆว่าวัดใน กทม ทำใจบวชลำบาก
ผมก็พอมีใจใฝ่เรียนรู้ธรรมในพุทธศาสนามาเรือยๆเพื่อขัดเกาตัวเองและใช้เป็นที่พึ่งทางใจในเวลาที่เจอปัญหา
บวชอยู่ กทม 1 อาทิตย์ ก่อนไปอยู่วัดต่างจังหวัด ที่มีพระอาจารย์เจ้าอาวาสที่พอจะเคร่งในระดับหนึ่ง
จากการที่พี่ที่รู้จักคนหนึ่งบอกเล่าและได้ไปบวชมาเพราะเป็นวัดที่บ้านพี่เค้า วัดสงบครับ มีพระ 6 องค์
(มีอยู่ 2 มีผมและพระใหม่และอีกองค์ ต่อมานิมนต์มาอีก 2 เพื่อให้รับกฐินได้
เนื่อจากเจ้าอาวาสเคร่งในระดับหนึ่ง พระเลยย้ายไปอยู่วัดใกล้ๆละแวกนั้นแทน)
ผมอยู่ได้พรรษาด้วย ก็กะว่าสึกออกก็ไปเป็นทหารเพราะสมัครไว้ ในพรรษาก็มีเรียนวันละ 2 ชม.
พระบวชใหม่ๆถูกส่งมาเรียนที่วัดผมทุกองค์ แรกก็มีหลายอยู่แต่หลังๆนี่ก็มี แค่วัดที่ผมอยู่ 2 องค์นี่แระที่เรียน
เกริ่นยาวแระ ว่าด้วยอยากรู้มุมมองเพื่อนๆ ตอนผมบวชนะผมก็เอาจริงเลยแระครับ ทำทุกอย่างที่ควรทำสำหรับการบวช
ตอนนั้นไม่รู้จักวัดป่าอ่ะไม่งั้นคงบวชวัดป่า แต่ตอนบวชก็มีเรื่องเยอะเยอะและมีอะไรดีๆหลายๆอย่าง
แต่ผมอ่อนไหวตอนบวชถึงกับเสียน้ำตากับไปเรื่องหนึ่ง.... ผมถูกนิมนต์ไปเป็นพระอันดับวันที่ 2 ของการไปจำวันเลย
คือต้องนิมนตและไปนั่งทั้งๆที่ยังสวดอะไรไม่เป็นเลย ตอนนั้นมีพระอยู่ 3 ทำกิจได้ 2
อีกองค์หลวงตานี่แก่มากๆ 80 กว่า แถมหลงไม่ยอมสึกลุกหลานให้สึกกไม่ยอม
วันนั้นบวชเยอะมาก 3 รอบ เช้า-เพล-บ่าย ฉันข้าวรอบเดียว ลมจะใส่เอาแล้วนั่งนานมาก เรื่องมันคือหลังจากเสร็จเนี่ยแระครับ
ตอนนั้นจิตผมตั้งใจบวชมาก เสร็จกิจผมได้ซองงาน วั้นนั้นหลายซองมากเลย บวชรอบหนึ่งนี่หลายองค์นะครับ
แต่ถึงจะหลายซอง ก็มีพระบ้างองค์ซองได้ไม่ครบเท่าองค์อื่น(ผมทำไงหรอ ผมยื่นซองผมให้เลย ท่าทำหน้างงๆอ่ะ) บ่นจำนวนปัจจัยในซอง!!!
นั้นแระเรื่องเล็กๆหรือป่าว มันทำผมน้ำตาไหลหรือร้องไห้น้ันแระ และผมก็เกิดคำถามว่า....
<< ทำไมเราถึงต้องบวชเป็นพระ??? >> << เราบวชเพื่ออะไร >>
แต่คำตอบนั้นผมพอจะหาได้บ้างแล้ว เพราะจุดประสงค์ที่หลายๆองค์บวชพระนี่มีไม่เหมือนกัน มันรู้สึกจุกนิดๆพอหาเหตุผลได้
เรากลับกันมาปัจจุบันดีกว่า ณ เวลา ช่วงเช้านี้ ผมก็เจอหลวงพี่เล่นเฟส ก็ช่วงนี้ก็มีกรณีพระๆที่ท่านๆทราบกันอยู่เนี่ยแระครับ
หลวงพี่ก็โพสต์ว่า พระนั้นมีศีล มากกว่าฆราวาส แม้ศีลพระจะขาดไปบ้าง แต่ศีลก็ยังเยอะกว่าอยู่ดี
ประมาณว่าศีลที่มีของหลวงพี่ท่านทำให้เท่าเหนือกว่า ผมเลยเกิดคำถามขึ้นมาของผมว่า...
<< ศีลนั้นคืออะไร มีไว้เพื่ออะไร ตั้งมาเพื่ออะไร >>
มาดูกัน ศีลนั้นมี 227 ข้อ ได้แก่
ปาราชิก มี 4 ..... สังฆาทิเสส มี 13 ข้อ ..... อนิยตกัณฑ์ มี 2 ข้อ ..... นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี 30 ข้อ ..... ปาจิตตีย์ มี 92 ข้อ
ปาฏิเทสนียะ มี 4 ข้อ ..... เสขิยะ สารูป มี 26 ข้อ ..... โภชนปฏิสังยุตต์ มี 30 ข้อ ..... ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี 16 ข้อ
ปกิณสถะ มี 3 ข้อ ..... และ อธิกรณสมถะ มี 7 ข้อ
อันนี้ก็แยกย่อยๆตามหลักของพุทธธรรม ผมเลยตั้งคำตอบในใจผมด้วยปัญญาที่พอจะมีอยู่เพียงธุลี
ว่า.... ศีลนั้นเป็นเหมือนกฏข้อปฏิบัติของพระ พระหรือคนที่บวชเป็นพระที่ยังเข้าไม่ถึงหลักธรรม ธรรมที่มีจุดหมายว่าด้วยการดับซึ่งความทุกข์
ผมเคยเจอประโยคหนึ่งที่พระท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ศีลน่ะเป็นเรื่องของพระเด็กๆ แรกเดิมที่ที่ได้อ่านก็ไม่เข้าใจทำไมถึงกล่าวเช่นนี้
แต่ตอนนี้พอเข้าใจได้พออยู่บ้าน หากจะขอย้อนไปและนึกภาพสมมุติจินตนาการตามเมื่อสมัยพระพุทธเจ้าออกบวช....
มีคนออกแสวงหาความหลุดพ้น หรือ ค้นหาจิตวิญญานนั้นนี้ อย่าง โยคี พรามณ์ ฤาษี เยอะแยะ ส่วนพระพุทธเจ้าเห็นความทุกข์ต่างๆ
และ ความเกิดแก่เจ็บตาย ที่ยังไงมนุษย์เราก็หนีไม่พ้น (( ไม่ได้ศึกษามา แต่ครูสอนมาเรียนมาตั้งแต่สมัยยังเด็ก)
ก็ได้ออกบวชเพื่อจะหลุดพ้นจากทุกข์ พระพุทธเจ้าก็ทำหลายๆอย่าง ทำไปก็คิดไป ก็มีคนเลื่อมใส ในการกระทำก็มาฝากตัว
จนกระทั่ง พระพุทธเจ้าสำเร็จตรัสรู้ คนก้ยิ่งมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าก็จับบวช ยิ่งมายิ่งมากแล้วไหนจะไปโปรดตามเมืองนั้นเมืองนี้ด้วย
คนทุกข์มีเยอะ อยากพ้นจากทุกข์ก็มาเป็นศิษย์ออกบวชตามพระพุทธเจ้า แต่แต่ละคนปัญญาไม่เท่ากันไม่ใช่ทุกคน
ก็เหมือนกับตอนนี้นั้นแระ คิดเห็นรู้ และปฏิบัติ ได้ไม่เท่ากัน แต่ผู้ที่ปฏิบัตได้ช้าและเข้าถึงทางดับทุกข์ได้ยากหน่อย
ผู้ที่เข้าถึงได้ยากและไม่เข้าใจธรรมที่พระพุทธเจ้าได้บอกนั้นว่าหนทางของการดับทุกข์คืออะไร
ก็ยังคงกระทำสิ่งที่อันได้แก่การติดอยู่กับทุกข์ ไม่ได้มีดวงตาเห็นธรรม อันที่ว่าสิ่งใดคือจะนำความทุกข์มาให้
พระพุทธเจ้าเลยตั้งข้อกำหนด หรือกฏ หรือเรียกว่า "ศีล" (หรือจะมีคำจำกัดความนิยามในแบบอื่นๆ)
หากจะยกตัวอย่างและเป็นข้อหนักๆ อันนำให้แม้บวชก็ควรจะสึกเสียเพราะหมดจากความเหตุที่ทำการบวช ก็ได้แก่
- ห้ามเสพเมถุน มีเพศสัมพันธ์ มีความสุข มีแล้วก็อยากมีอีก ละได้ตัดได้ควรตัด บางคนก็มีมากไปจนผิดลูกผิดเมียคนอื่น
- ทรัพสินเงินทองของมีค่าก็เช่นกัน ลักขโมย ซึ่งยังคงด้วยกิเลส ยึดติดไม่ปล่อยวาง มีแต่ความโลภ ซึ่งจะนำความทุกข์และเดือดร้องคนอื่นๆ
- การฆ่า การหมายเอาชีวิต
- การอวด อุตตริมนุสสธัมม์ ข้อนี้นั้นมองแต่พูดได้หลายแง่ มีหรือไม่มีนั้น ผู้ที่ออกบวช คือผู้ที่อ่อนน้อม ไม่พูดจากโอ้อวดหรือข่ม
ไม่ใช่เป้าหมายของผู้ที่ออกบวชแม้มีหรือไม่มี อันหากซึ่งจะนำมาให้เกิดปัญหา ทำให้คนหลังมัวเมางมงาย สร้างกิเลสและนำพาความทุกข์ให้คนอื่น
4 ข้อ 4 อย่างที่ถูกตั้งไว้ว่าเป็น ปาราชิก เป็นอะไรที่ร้ายแรงในการปฏิบัตให้หลุดพ้น รวมถึงเป็นภัยต่อสังคมสมัยพระพุทธเจ้า และยังถึงเดี๋ยวนี้
ศีลที่ว่าด้วยอื่นๆ....
ในที่สว่าด้วย สังฆาทิเสส ข้อโทษที่ผิดรองลงมา ก็จะปะปน
การกระทำที่ทำแล้วส่องให้เห็นถึงเรื่องที่ ยังละซึ่งกิเลส โทสะ โมหะ โลภะ อยู่
1.ปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ 2.จับต้องสตรีเพศ 3.พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี
4.การกล่าวถึงคุณในการบำเรอตนด้วยกาม หรือถอยคำพาดพิงเมถุน
5.ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ
6.สร้างกุฏิด้วยการขอ 7.สร้างวิหารใหญ่ โดยพระสงฆ์มิได้กำหนดที่ รุกรานคนอื่น
8.แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล 9.แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
10.ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน 11.เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน 12.เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง 3 ครั้ง
13. ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ เรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งของใช้สอย ที่ให้มีไม่เกินความจำเป็นก็เพื่อไม่ให้ยึดติดและอยู่อย่างสมถะ
และศีลที่เหลืออีกหลายๆข้อที่ไม่ได้กล่าว และมีบางข้อที่เกี่ยวและพูดถึงพระภิกษุณี ศีลข้อที่เหลือท้ังหลายนั้น....
หากจะเป็นขอห้ามและข้อแนวปฏิบัติ ที่ผมมองก็คือเพื่อ มิให้ผู้ที่บวชนั้นเสื่อม เป็นกฏของการกระทำเพื่อให้ดูสำรวม
วางตัวยังไงใบบ้านในที่โอ่โถง บิฑบาตรยังไง แต่งตัวยังไง ฉันยังไง เมื่อทำได้ก็ได้ขึ้นว่างามสมเป็นผู้ทรงศีล ด้วยกิรินาที่สวยงาม
น่าเคารพกราบไหว้ และเป็นเรื่องที่คนออกบวชมาใหม่ๆควรปฏิบัติอย่างยิ่ง (ก็ขนาดนั่งสั่นหัว โคลงตัว มือคล้ำ ก็ผิดศีลนะ)
ผู้ที่บวชคือคนที่ครองสติในทุกๆเวลาที่ยังมีสติรู้ว่าทำอะไร
นั้นแสดงให้เห็นว่าศีล คือเรื่องของพระเด็กๆ ศีลบางข้อก็ผิดไปได้ ผิดแล้วผิดกันอีก
แต่ผิดไปไม่ได้เกิดผลอะไร ปลงอาบัติกันได้ ไม่มีผลอะไรกับความเป็นพระ
พระสงฆ์ออกบวชปฏิบัตและเพื่อเรียนรู้หลักธรรม เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ และยังเป็นผู้เผยแพร่และเผยแผ่คำสอน
มิใช่คำก็บุญสองคำก็ทำบุญ หลอกให้คนหลงติดบุญ แม้บุญที่แท้ทำเพื่อที่จะสละกิเลสตัวเอง หากแต่สละของแต่อยากได้บุญก็กลายเป็นกิเลสความอยากได้
แต่ตอนบวชเป็นพระนี่ แค่จะหนีให้พ้นกิเลสก็ยากไม่ต่างจากฆราวาส เพราะโยมๆทั้งหลายบางทีก็เอากิเลสถวายพระ
ถ้าศีลสามารถออกเพิ่มขึ้นอีกได้ในปัจจุบัน คงต้องมีสภาพระสงฆ์ลงมัติออกกฏข้อบังคับให้พระไม่หลุดออกนอกกรอบคงมีปีละหลาย 10 ข้อ
เพื่อให้พระครองตนไม่ให้ผิดจากการบวช แต่คงเป็นไปไม่ได้ ศีลมีไว้เพื่อจุดประสงค์อะไร
ธรรมมะ สัจธรรม คำสอนคงเดิม กิเลสมีแต่เพิ่มและก้าวหน้าซับซ้อน เข้าประชิดหามันพัฒนามากขึ้น
ศีลต่อให้มีมากมายเพื่อแต่ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของการออกบวช พระบางองค์ก็คงไม่ต่างจากฆราวาส แค่ศึกษาธรรม มีความรู้ทางธรรม
แต่ยังไม่หลุดจากกิเลส ต่างเพียงแค่ห่มผ้าเหลือง ฆราวาสหลายคนแม้ไม่ได้ออกบวชด้วยมีภาระและวาระกรรมต่างๆ
แต่ก็สามารถปฏิบัติดี-ชอบ จะมากน้อย หรือนอกเหนือจากที่ศีลกำหนด ปรกกอบกจแต่สิ่งดีๆ ก็น่าเคารพได้ ทุกสิ่งที่สุดแท้ความดีก็อยู่ที่ตัวคนนั้นเอง
คิดว่าศีลในพุทธศาสนา มีไว้เพื่อ?? ตั้งมาเพื่อ??
อาจจะยาวแต่หากจะกรุณาอ่านให้จบแล้วเข้ามาโพสต์พูดคุยกันก็จะยินดีมากๆเลยครับ
ผมเองถือพุทธ คน กทม. แต่บวชแลัวไปจำวัดที่ต่างจังหวัด บอกตรงๆว่าวัดใน กทม ทำใจบวชลำบาก
ผมก็พอมีใจใฝ่เรียนรู้ธรรมในพุทธศาสนามาเรือยๆเพื่อขัดเกาตัวเองและใช้เป็นที่พึ่งทางใจในเวลาที่เจอปัญหา
บวชอยู่ กทม 1 อาทิตย์ ก่อนไปอยู่วัดต่างจังหวัด ที่มีพระอาจารย์เจ้าอาวาสที่พอจะเคร่งในระดับหนึ่ง
จากการที่พี่ที่รู้จักคนหนึ่งบอกเล่าและได้ไปบวชมาเพราะเป็นวัดที่บ้านพี่เค้า วัดสงบครับ มีพระ 6 องค์
(มีอยู่ 2 มีผมและพระใหม่และอีกองค์ ต่อมานิมนต์มาอีก 2 เพื่อให้รับกฐินได้
เนื่อจากเจ้าอาวาสเคร่งในระดับหนึ่ง พระเลยย้ายไปอยู่วัดใกล้ๆละแวกนั้นแทน)
ผมอยู่ได้พรรษาด้วย ก็กะว่าสึกออกก็ไปเป็นทหารเพราะสมัครไว้ ในพรรษาก็มีเรียนวันละ 2 ชม.
พระบวชใหม่ๆถูกส่งมาเรียนที่วัดผมทุกองค์ แรกก็มีหลายอยู่แต่หลังๆนี่ก็มี แค่วัดที่ผมอยู่ 2 องค์นี่แระที่เรียน
เกริ่นยาวแระ ว่าด้วยอยากรู้มุมมองเพื่อนๆ ตอนผมบวชนะผมก็เอาจริงเลยแระครับ ทำทุกอย่างที่ควรทำสำหรับการบวช
ตอนนั้นไม่รู้จักวัดป่าอ่ะไม่งั้นคงบวชวัดป่า แต่ตอนบวชก็มีเรื่องเยอะเยอะและมีอะไรดีๆหลายๆอย่าง
แต่ผมอ่อนไหวตอนบวชถึงกับเสียน้ำตากับไปเรื่องหนึ่ง.... ผมถูกนิมนต์ไปเป็นพระอันดับวันที่ 2 ของการไปจำวันเลย
คือต้องนิมนตและไปนั่งทั้งๆที่ยังสวดอะไรไม่เป็นเลย ตอนนั้นมีพระอยู่ 3 ทำกิจได้ 2
อีกองค์หลวงตานี่แก่มากๆ 80 กว่า แถมหลงไม่ยอมสึกลุกหลานให้สึกกไม่ยอม
วันนั้นบวชเยอะมาก 3 รอบ เช้า-เพล-บ่าย ฉันข้าวรอบเดียว ลมจะใส่เอาแล้วนั่งนานมาก เรื่องมันคือหลังจากเสร็จเนี่ยแระครับ
ตอนนั้นจิตผมตั้งใจบวชมาก เสร็จกิจผมได้ซองงาน วั้นนั้นหลายซองมากเลย บวชรอบหนึ่งนี่หลายองค์นะครับ
แต่ถึงจะหลายซอง ก็มีพระบ้างองค์ซองได้ไม่ครบเท่าองค์อื่น(ผมทำไงหรอ ผมยื่นซองผมให้เลย ท่าทำหน้างงๆอ่ะ) บ่นจำนวนปัจจัยในซอง!!!
นั้นแระเรื่องเล็กๆหรือป่าว มันทำผมน้ำตาไหลหรือร้องไห้น้ันแระ และผมก็เกิดคำถามว่า....
<< ทำไมเราถึงต้องบวชเป็นพระ??? >> << เราบวชเพื่ออะไร >>
แต่คำตอบนั้นผมพอจะหาได้บ้างแล้ว เพราะจุดประสงค์ที่หลายๆองค์บวชพระนี่มีไม่เหมือนกัน มันรู้สึกจุกนิดๆพอหาเหตุผลได้
เรากลับกันมาปัจจุบันดีกว่า ณ เวลา ช่วงเช้านี้ ผมก็เจอหลวงพี่เล่นเฟส ก็ช่วงนี้ก็มีกรณีพระๆที่ท่านๆทราบกันอยู่เนี่ยแระครับ
หลวงพี่ก็โพสต์ว่า พระนั้นมีศีล มากกว่าฆราวาส แม้ศีลพระจะขาดไปบ้าง แต่ศีลก็ยังเยอะกว่าอยู่ดี
ประมาณว่าศีลที่มีของหลวงพี่ท่านทำให้เท่าเหนือกว่า ผมเลยเกิดคำถามขึ้นมาของผมว่า...
<< ศีลนั้นคืออะไร มีไว้เพื่ออะไร ตั้งมาเพื่ออะไร >>
มาดูกัน ศีลนั้นมี 227 ข้อ ได้แก่
ปาราชิก มี 4 ..... สังฆาทิเสส มี 13 ข้อ ..... อนิยตกัณฑ์ มี 2 ข้อ ..... นิสสัคคิยปาจิตตีย์ มี 30 ข้อ ..... ปาจิตตีย์ มี 92 ข้อ
ปาฏิเทสนียะ มี 4 ข้อ ..... เสขิยะ สารูป มี 26 ข้อ ..... โภชนปฏิสังยุตต์ มี 30 ข้อ ..... ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี 16 ข้อ
ปกิณสถะ มี 3 ข้อ ..... และ อธิกรณสมถะ มี 7 ข้อ
อันนี้ก็แยกย่อยๆตามหลักของพุทธธรรม ผมเลยตั้งคำตอบในใจผมด้วยปัญญาที่พอจะมีอยู่เพียงธุลี
ว่า.... ศีลนั้นเป็นเหมือนกฏข้อปฏิบัติของพระ พระหรือคนที่บวชเป็นพระที่ยังเข้าไม่ถึงหลักธรรม ธรรมที่มีจุดหมายว่าด้วยการดับซึ่งความทุกข์
ผมเคยเจอประโยคหนึ่งที่พระท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ศีลน่ะเป็นเรื่องของพระเด็กๆ แรกเดิมที่ที่ได้อ่านก็ไม่เข้าใจทำไมถึงกล่าวเช่นนี้
แต่ตอนนี้พอเข้าใจได้พออยู่บ้าน หากจะขอย้อนไปและนึกภาพสมมุติจินตนาการตามเมื่อสมัยพระพุทธเจ้าออกบวช....
มีคนออกแสวงหาความหลุดพ้น หรือ ค้นหาจิตวิญญานนั้นนี้ อย่าง โยคี พรามณ์ ฤาษี เยอะแยะ ส่วนพระพุทธเจ้าเห็นความทุกข์ต่างๆ
และ ความเกิดแก่เจ็บตาย ที่ยังไงมนุษย์เราก็หนีไม่พ้น (( ไม่ได้ศึกษามา แต่ครูสอนมาเรียนมาตั้งแต่สมัยยังเด็ก)
ก็ได้ออกบวชเพื่อจะหลุดพ้นจากทุกข์ พระพุทธเจ้าก็ทำหลายๆอย่าง ทำไปก็คิดไป ก็มีคนเลื่อมใส ในการกระทำก็มาฝากตัว
จนกระทั่ง พระพุทธเจ้าสำเร็จตรัสรู้ คนก้ยิ่งมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าก็จับบวช ยิ่งมายิ่งมากแล้วไหนจะไปโปรดตามเมืองนั้นเมืองนี้ด้วย
คนทุกข์มีเยอะ อยากพ้นจากทุกข์ก็มาเป็นศิษย์ออกบวชตามพระพุทธเจ้า แต่แต่ละคนปัญญาไม่เท่ากันไม่ใช่ทุกคน
ก็เหมือนกับตอนนี้นั้นแระ คิดเห็นรู้ และปฏิบัติ ได้ไม่เท่ากัน แต่ผู้ที่ปฏิบัตได้ช้าและเข้าถึงทางดับทุกข์ได้ยากหน่อย
ผู้ที่เข้าถึงได้ยากและไม่เข้าใจธรรมที่พระพุทธเจ้าได้บอกนั้นว่าหนทางของการดับทุกข์คืออะไร
ก็ยังคงกระทำสิ่งที่อันได้แก่การติดอยู่กับทุกข์ ไม่ได้มีดวงตาเห็นธรรม อันที่ว่าสิ่งใดคือจะนำความทุกข์มาให้
พระพุทธเจ้าเลยตั้งข้อกำหนด หรือกฏ หรือเรียกว่า "ศีล" (หรือจะมีคำจำกัดความนิยามในแบบอื่นๆ)
หากจะยกตัวอย่างและเป็นข้อหนักๆ อันนำให้แม้บวชก็ควรจะสึกเสียเพราะหมดจากความเหตุที่ทำการบวช ก็ได้แก่
- ห้ามเสพเมถุน มีเพศสัมพันธ์ มีความสุข มีแล้วก็อยากมีอีก ละได้ตัดได้ควรตัด บางคนก็มีมากไปจนผิดลูกผิดเมียคนอื่น
- ทรัพสินเงินทองของมีค่าก็เช่นกัน ลักขโมย ซึ่งยังคงด้วยกิเลส ยึดติดไม่ปล่อยวาง มีแต่ความโลภ ซึ่งจะนำความทุกข์และเดือดร้องคนอื่นๆ
- การฆ่า การหมายเอาชีวิต
- การอวด อุตตริมนุสสธัมม์ ข้อนี้นั้นมองแต่พูดได้หลายแง่ มีหรือไม่มีนั้น ผู้ที่ออกบวช คือผู้ที่อ่อนน้อม ไม่พูดจากโอ้อวดหรือข่ม
ไม่ใช่เป้าหมายของผู้ที่ออกบวชแม้มีหรือไม่มี อันหากซึ่งจะนำมาให้เกิดปัญหา ทำให้คนหลังมัวเมางมงาย สร้างกิเลสและนำพาความทุกข์ให้คนอื่น
4 ข้อ 4 อย่างที่ถูกตั้งไว้ว่าเป็น ปาราชิก เป็นอะไรที่ร้ายแรงในการปฏิบัตให้หลุดพ้น รวมถึงเป็นภัยต่อสังคมสมัยพระพุทธเจ้า และยังถึงเดี๋ยวนี้
ศีลที่ว่าด้วยอื่นๆ....
ในที่สว่าด้วย สังฆาทิเสส ข้อโทษที่ผิดรองลงมา ก็จะปะปน
การกระทำที่ทำแล้วส่องให้เห็นถึงเรื่องที่ ยังละซึ่งกิเลส โทสะ โมหะ โลภะ อยู่
1.ปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ 2.จับต้องสตรีเพศ 3.พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี
4.การกล่าวถึงคุณในการบำเรอตนด้วยกาม หรือถอยคำพาดพิงเมถุน
5.ทำตัวเป็นสื่อรัก บอกความต้องการของอีกฝ่ายให้กับหญิงหรือชาย แม้สามีกับภรรยา หรือแม้แต่หญิงขายบริการ
6.สร้างกุฏิด้วยการขอ 7.สร้างวิหารใหญ่ โดยพระสงฆ์มิได้กำหนดที่ รุกรานคนอื่น
8.แกล้งใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล 9.แกล้งสมมุติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
10.ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน 11.เป็นพวกของผู้ที่ทำสงฆ์ให้แตกกัน 12.เป็นผู้ว่ายากสอนยาก และต้องโดนเตือนถึง 3 ครั้ง
13. ทำตัวเป็นเหมือนคนรับใช้ ประจบคฤหัสถ์
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ เรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งของใช้สอย ที่ให้มีไม่เกินความจำเป็นก็เพื่อไม่ให้ยึดติดและอยู่อย่างสมถะ
และศีลที่เหลืออีกหลายๆข้อที่ไม่ได้กล่าว และมีบางข้อที่เกี่ยวและพูดถึงพระภิกษุณี ศีลข้อที่เหลือท้ังหลายนั้น....
หากจะเป็นขอห้ามและข้อแนวปฏิบัติ ที่ผมมองก็คือเพื่อ มิให้ผู้ที่บวชนั้นเสื่อม เป็นกฏของการกระทำเพื่อให้ดูสำรวม
วางตัวยังไงใบบ้านในที่โอ่โถง บิฑบาตรยังไง แต่งตัวยังไง ฉันยังไง เมื่อทำได้ก็ได้ขึ้นว่างามสมเป็นผู้ทรงศีล ด้วยกิรินาที่สวยงาม
น่าเคารพกราบไหว้ และเป็นเรื่องที่คนออกบวชมาใหม่ๆควรปฏิบัติอย่างยิ่ง (ก็ขนาดนั่งสั่นหัว โคลงตัว มือคล้ำ ก็ผิดศีลนะ)
ผู้ที่บวชคือคนที่ครองสติในทุกๆเวลาที่ยังมีสติรู้ว่าทำอะไร
นั้นแสดงให้เห็นว่าศีล คือเรื่องของพระเด็กๆ ศีลบางข้อก็ผิดไปได้ ผิดแล้วผิดกันอีก
แต่ผิดไปไม่ได้เกิดผลอะไร ปลงอาบัติกันได้ ไม่มีผลอะไรกับความเป็นพระ
พระสงฆ์ออกบวชปฏิบัตและเพื่อเรียนรู้หลักธรรม เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ และยังเป็นผู้เผยแพร่และเผยแผ่คำสอน
มิใช่คำก็บุญสองคำก็ทำบุญ หลอกให้คนหลงติดบุญ แม้บุญที่แท้ทำเพื่อที่จะสละกิเลสตัวเอง หากแต่สละของแต่อยากได้บุญก็กลายเป็นกิเลสความอยากได้
แต่ตอนบวชเป็นพระนี่ แค่จะหนีให้พ้นกิเลสก็ยากไม่ต่างจากฆราวาส เพราะโยมๆทั้งหลายบางทีก็เอากิเลสถวายพระ
ถ้าศีลสามารถออกเพิ่มขึ้นอีกได้ในปัจจุบัน คงต้องมีสภาพระสงฆ์ลงมัติออกกฏข้อบังคับให้พระไม่หลุดออกนอกกรอบคงมีปีละหลาย 10 ข้อ
เพื่อให้พระครองตนไม่ให้ผิดจากการบวช แต่คงเป็นไปไม่ได้ ศีลมีไว้เพื่อจุดประสงค์อะไร
ธรรมมะ สัจธรรม คำสอนคงเดิม กิเลสมีแต่เพิ่มและก้าวหน้าซับซ้อน เข้าประชิดหามันพัฒนามากขึ้น
ศีลต่อให้มีมากมายเพื่อแต่ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของการออกบวช พระบางองค์ก็คงไม่ต่างจากฆราวาส แค่ศึกษาธรรม มีความรู้ทางธรรม
แต่ยังไม่หลุดจากกิเลส ต่างเพียงแค่ห่มผ้าเหลือง ฆราวาสหลายคนแม้ไม่ได้ออกบวชด้วยมีภาระและวาระกรรมต่างๆ
แต่ก็สามารถปฏิบัติดี-ชอบ จะมากน้อย หรือนอกเหนือจากที่ศีลกำหนด ปรกกอบกจแต่สิ่งดีๆ ก็น่าเคารพได้ ทุกสิ่งที่สุดแท้ความดีก็อยู่ที่ตัวคนนั้นเอง