"พระต้องเลี้ยงตนเอง ห้ามเลี้ยงผู้อื่น และห้ามรับเงิน" สมัยนี้ยังใช้ได้หรือไม่



ขอตอบเลยน่ะครับ
ต้องปรับไปตามยุคสมัยครับ จริงอยู่ที่พระห้ามรับเงิน พระต้องเลี้ยงตนเอง ห้ามเลี้ยงผู้อื่น แต่ที่พระต้องรับเงินก็เพราะ สมัยนี้ข้าวของที่พระต้องใช้บางอย่าง ญาติโยมไม่ได้นำมาถวาย พระจำเป็นต้องใช้จ่าย รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลวัด เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ เป็นต้น ดังนั้นพุทธศาสนิกชนก็เข้าใจในจุดนี้ พระที่รับเกินจำเป็น หรือ โลภ หลงในทรัพย์ต่างหากที่ควรถูกตำหนิ จะผิดหรือไม่ผิดอยู่ที่เจตนาครับ

ในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุท่านสะสมอาหารบิณฑบาตรไว้ ไม่ยอมไปรับบาตรที่ไหน หรือ นานๆออกไปครั้งนึง ก็เพื่อเอาเวลาทั้งหมดมาทำความเพียรเพื่อบรรลุธรรม เพื่อนภิกษุจึงนำเรื่องทูลพระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบและสอบถามสาเหตุของเธอ เมื่อพุทธองค์ทรงทราบก็ทรงเปล่งสาธุการให้ภิกษุผู้นั้น ด้วยเพราะมีเจตนาที่ดีและบริสุทธิ์นั่นเอง

ส่วนที่พระต้องไม่ได้เลี้ยงแค่ตัวเองนั้น ก็เพราะในวัดมิได้มีแต่ท่านที่พึ่งอาหารบิณฑบาตร แต่มีบุคคลและสัตว์อื่นที่ต้องพึ่งบิณฑบาตรเหล่านั้น เช่น เด็กวัด คนคอยรับส่ง หมา แมว ไก่ ฯลฯ ที่ท่านไม่ได้เลี้ยง แต่มีคนนำมาทิ้งไว้ หรือมาอยู่อาศัยเอง เหล่านี้ล้วนต้องพึ่งอาหารจากพระท่าน หากพระท่านคิดแค่เลี้ยงตนเองเท่านั้น แบบนี้ก็เห็นจะไม่ควร ผมคิดว่าทุกอย่างล้วนยืดหยุ่นได้ตามความจำเป็นแต่ต้องถูกต้องตามครรลองคลองธรรม พุทธศาสนิกชนผู้มีปัญญาทั้งหลายเค้าเห็นแล้ว ย่อมเข้าใจสิ่งเหล่านั้นดี และพวกเขาไม่ได้เสื่อมศรัทธาแต่อย่างใด แต่จะยิ่งช่วยทำนุบำรุงศาสนานี้ให้อยู่สืบไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบแนวคิด "ต้องปรับไปตามยุคสมัย" นะครับ สำหรับเรื่องพระวินัย

เพราะขนาดไม่ได้คิดจะปรับอะไร ความหย่อนยานก็คืบคลานเข้ามาไม่เคยหยุดอยู่แล้ว และที่สำคัญที่สุดก็คือ มันหมายถึงต้องมีการปรับแก้พระวินัยกันเอาเองแบบมหายานเลยนะครับ ซึ่งนั่นเป็นการเขวี่ยงแก่นแท้ของเถรวาททิ้งครับ

ปล่อยให้เป็นแบบเดิมผมว่าดีแล้วล่ะครับ พระที่ทำได้ตามสิกขาบทก็ยังมีอยู่ไม่เคยหายไปไหน พระรูปไหนทำไม่ได้ก็ก๊อกๆแก๊กๆไปแบบเดิม โยมก็แยกย้ายกันไปตามความศรัทธา... ผมว่านี่แย่น้อยที่สุดละครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่