4 กุญแจในการสร้างอาณาจักรของ Jack Ma แห่ง Alibaba และ Jeff Bezos แห่ง Amazon ที่คุณก็ลองเอาไปใช้ได้

ถ้าพูดถึง 2 สุดยอด CEO และผู้ก่อตั้งบริษัท e-Commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ คงหนีไม่พ้น Jack Ma แห่ง Alibaba และ Jeff Bezos แห่ง Amazon



อะไรกัน ที่ทำให้เขาทั้งคู่สร้างบริษัทที่มีมูลค่าหลายล้านล้านบาทได้? จากที่ผมได้อ่านหนังสือและดูวิดีโอต่างๆของทั้งคู่ ผมขอสรุป 4 จุดเด่นของ Jack และ Jeff ที่ผมคิดว่าทำพวกเขาสร้างบริษัทจาก startup เล็กให้กลายมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ได้ในจุดนี้ และน่าจะยังคงเดินต่อไปในอนาคตครับ

1. มีวิสัยทัศน์ และความกล้าที่จะเดินตามวิสัยทัศน์นั้น

หลังจาก Jack Ma ได้สัมผัสสิ่งที่เรียกว่า "อินเตอร์เน็ต" ครั้งแรกในปี 1995 ที่อเมริกา เขาได้ใช้อินเตอร์เน็ตเสิร์ชคำว่า"Beer" แต่สิ่งที่เค้าคิดต่อมาหลังจากนั้น ไม่ใช่คิดว่า มีเบียร์อะไรน่าลองดื่มบ้าง? แต่เป็น "ทำไมไม่เห็นมีเบียร์ของประเทศจีนเลย! จะทำยังไงดีให้ฝรั่งรู้จักเบียร์จากเมืองจีนบ้าง?" หลังจากนั้นเขากับเพื่อนก็เลยรีบสร้างหน้าเว็บง่ายๆเกี่ยวกับประเทศจีนขึ้นมาทันที  ผ่านไปแค่สองชั่วโมงหลังเปิดเว็บ เขาก็ได้รับ e-mail 5 ฉบับจากผู้ที่สนใจทำธุรกิจเกี่ยวกับบริษัทในประเทศจีน และทำให้เขาเห็นถึงโอกาสที่มาพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่าอินเตอร์เน็ต

ส่วน Jeff Bezos นั้นทำงานในบริษัทเทคโนโลยีที่ชื่อว่า D.E.Shaw และรู้จักอินเตอร์เน็ตและศักยภาพของมันอยู่แล้ว แต่แทนที่เค้าจะทำงานเลื่อนขั้นต่อไปเหมือนคนอื่นๆ เขากลับตัดสินใจทิ้งโบนัสและออกจากงานแทบจะทันที  เขาเห็นว่าเจ้าอินเตอร์เน็ตนั้น กำลังค่อยๆแทรกซึมเข้าถึงประชากรณ์ทุกคนบนโลกอย่างรวดเร็ว และเวลานี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตแล้ว  ถ้าอยากรู้ Jeff นั้นวิสัยทัศน์กลว้างขนาดไหน ลองดูวิดีโอ TED Talk ของ Jeff Bezos ได้พูดเกี่ยวกับศักยภาพของอินเตอร์เน็ตไว้ตั้งแต่ปี 2003 ได้ที่นี่ครับ (มี subtitle) https://www.ted.com/talks/jeff_bezos_on_the_next_web_innovation

ความกล้าที่จะเสี่ยงอย่างมีเหตุผลนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของทั้งคู่ครับ อย่างไรก็ตาม แค่ความกล้าเสี่ยงอย่างเดียวนั้นไม่พอแน่นอนครับ

อ่านต่อเรื่องเทคนิคที่ Jeff Bezos ใช้ ในการตัดสินใจออกจากงานเก่ามาสร้าง Amazon เอง ได้ที่นี่ครับ "เทคนิคตัดสินใจเรื่องยากๆให้กลายเป็นเรื่องหมูๆของ Jeff Bezos" http://wp.me/p5wUp7-3p

2. ยึดมั่นต่ออุดมคติของตัวเอง

การยึดมั่นต่ออุดมคติ อย่างไม่เปลี่ยนแปลงในระยะยาว แม้จะเจออุปสรรค์ต่างๆ ทำให้ผู้บริหารสามารถขับเคลื่อนทุกคนในองค์กรให้มุ่งตรงสู่เป้าหมายต่างๆ ที่ตั้งไว้

Jeff Bezos นั้น เรียกได้ว่า"คลั่ง" กับลูกค้า มากๆ  เขารู้ดีว่าในโลกของธุรกิจออนไลน์ ผู้บริโภคจะเป็นคนตัดสินว่าบริษัทไหนจะอยู่ และบริษัทไหนจะไป  เพราะฉะนั้นเขาจะไม่ลดระดับความพึงพอใจของลูกค้าแม้เพียงนิดเดียว เพื่อแลกกับรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นอย่างเด็ดขาด

เวลาประชุม Jeff จะเว้นเก้าอี้ว่างไว้หนึ่งตัว ซึ่งใช้เป็นตัวแทนที่นั่งของลูกค้า เพราะฉะนั้นก่อนจะตัดสินใจอะไร ต้องคำนึงถึงลูกค้าที่นั่งเงียบๆอยู่ด้วยครับ  ในฐานะลูกค้า ผมที่เป็นลูกค้าก็เคยใช้บริการคืนหนังสือใน Audible  ซึ่งหลังใช้แล้วทำให้ผมรู้สึกถึงความเอาใจใส่และความ"กล้า"ที่จะให้บริการมากๆครับ

ส่วน Jack นั้นก็ให้ความสนใจกับลูกค้าไม่แพ้กัน  เขาเองก็เคยบอกว่า "Customer first, Employee second, Shareholder third"  อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมคิดว่า แจ๊คนั้นไม่เคยลืมอุดิมคติของตัวเอง ที่ว่า บริษัท Alibaba จะไม่แข่งขันแค่ในประเทศจีน หรือทวีปเอเซีย แต่จะต้องแข่งขันอยู่ในเวทีโลก ซึ่งทำให้เขาไม่ลืมที่จะเตือนสติลูกทีมของเขาถึงอุดมคติดังกล่าว หลังจากที่บริษัทของเขาได้รับชัยชนะจากสงครามแย่งชิงตลาดกับ eBay ในประเทศจีน

3. ไม่สะทกสะท้านต่อคำวิจารณ์

การที่มีอุดมคติที่ชัดเจน ทำให้ผู้บรการทั้งคู่สามารถมองการณ์ไกล และปิดหูต่อคำทำนายแง่ลบของสื่อมวลชนและผู้เชียวชาญต่างๆ ว่าบริษัทของเขาทั้งสองคงจะไปไม่รอด โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติดอทคอม ปี 2001

Jeff Bezos เองก็ได้แสดงให้เห็นหลายครั้งว่า วิสัยทัศน์ และค่านิยมของการให้ลูกค้ามาก่อนเสมอของเค้านั้น สุดท้ายแล้ว ทำให้เขาสามารถเอาชนะคู่แข่งหลายๆราย และในหลายๆอุตสาหกรรม  และจนถึงวันนี้ บริษัทของเขาก็ยังเพิ่งเริ่มจะทำกำไรนิดเดียว (ก่อนหน้านี้ขาดทุนแทบจะทุกปี) แต่ก็ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนจนบริษัทเขาได้การตีมูลค่าถึง 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5 ล้านล้านบาท

Alibaba เอง ก็ไม่มีรายได้ตั้งแต่ก่อตั้งเป็นเวลาถึง 3 ปี ซึ่งในตอนนั้น แจ๊คก็ถูกนักข่าววิจารณ์ว่าที่ไม่มีรายได้แบบนี้ ประกอบกับวิกฤติดอทคอม อยู่ได้อีกไม่นานแน่ๆ  แต่สุดท้ายกลยุทธ์ของเขาที่เน้นการโตก่อน ก็ได้ผล  ถึงตอนนี้แจ๊คเองก็บอกว่า "If our model was seen as good, we won't b here." หรือประมาณว่า ถ้าไอเดียเราดูดีตั้งแต่แรก คงมีคนอื่นทำแทนไปแล้ว

ถ้าผู้บริหารทั้งคู่เกิดเสียหลักไปเชื่อคำทำนายต่างๆ นานา และไม่ยึดอยู่กับอุดมคติของตัวเอง ในตอนนี้เราอาจเห็นแค่ Amazon by Walmart หรือ Alibaba by eBay แทนก็ได้

4. สามารถสร้างวัฒนธรรมของการทำงานหนัก เพื่ออุดมคติที่ใหญ่กว่าตัวเอง

CEO ทั้งสองคนให้ความสำคัญกับความทุ่มเทให้กับงาน และตั้งมาตรฐานให้กับตัวเองลูกทีมไว้สูงมากๆ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ เขาทั้งคู่สื่อสารได้อย่างชัดเจน ว่าเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นั้น ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเขาเองหรือลูกทีม แต่เพื่อลูกค้า เพื่อประเทศ และเพื่อโลก  เป้าหมายอันยิ่งใหญ่นี้ ทำให้พวกเขาและพนักงานทุกคนไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆอย่างง่ายดาย  เมื่อลูกทีมสามารถมองการไกล เป้าหมายของทุกคนในบริษัทก็ตรงกัน ไม่มีใครอยู่เพื่อทำงานกินเงินเดือนไปวันๆอย่างแน่นอน อย่างน้อยในช่วงแรกๆในการก่อตั้งบริษัท

หลายๆคนอาจจะเคยดูวิดีโอนี้ ซึ่งเป็นคลิปจากสารคดีที่ชื่อว่า Crocodile in the Yangtze ครับ เมื่อได้ดูแล้ว ผมคงไม่ต้องอธิบายเลยว่า Jack Ma นั้นเก่งมากๆในเรื่องของการปลุกใจลูกทีมให้เดินไปในทางเดียวกันครับ

[embed]https://www.youtube.com/watch?v=i4564CkhbM0[/embed]

ส่วน Jeff Bezos นั้นมีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีนักในเรื่องของการดุด่าลูกทีมบริหารเขา ถ้าเขาคิดว่าลูกทีมเขายังทำได้ไม่ดีพอ แต่ทว่าการว่าแต่ละครั้งนั้น เป็นเพราะเขาตั้งความหวังไว้สูงลิ่วในตัวลูกน้องทุกคน และต้องการคงคุณภาพการทำงานที่สูงลิ่วเอาไว้ครับ

มีอยู่ครั้งหนึ่งได้มีลูกน้องถามเขาว่า "เมื่อไหร่ Amazon จะให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance หรือความพอดีระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตบ้าง"

Jeff ตอบกลับไปว่า "The reason we r here is to get stuff done. That is our top priority. That is the DNA of Amazon. If you cannot excel and put everything in it, this might not be the place for you."
"เหตุผลที่พวกเราอยู่ที่บริษัทนี้เพราะเพราต้องทำงาน นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด มันอยู่ในDNAของเรา ถ้าคุณไม่สามารถทุ่มเทได้เต็มที่ บริษัทนี้อาจจะไม่ใช่ที่ของคุณ" (โหดจริงๆ)

นี่คือสี่จุดเด่นที่สำคัญที่สุดที่ผมคิดว่าทำให้ Jeff Bezos และ Jack Ma สร้างอาณาจักรของเขามาได้ถึงจุดนี้  ผมคิดว่าถึงเราจะไม่ใช่ CEO แบบเขาแต่เราก็สามารถนำกุญแจๆพวกนี้ไปลองใช้กับบริษัท แผนก หรือการใช้ชีวิตของเราเองได้ครับ  เพื่อนๆคิดว่ามีจุดไหนที่ผมมองได้มองข้ามไป คอมเม้นต์ไว้ได้เลยนะครับ

“Work Hard, have fun, make history” - Jeff Bezos
"If we want to change the world, we change ourselves" - Jack Ma


ติดตามกระทู้สาระดี ไม่มีดราม่า ==" ได้อีกที http://metapon.wordpress.com หรือเพจเฟสบุ๊ค http://www.facebook.com/metaponblog ขอบคุณครับ ^^

ขอบคุณรูปภาพ:  http://blog.oorjit.com/wp-content/uploads/2015/01/Jack-Bezos-Jack-Ma-Blog.png
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่