เรื่องการดูเทคนิคราคาหุ้นที่จริงไม่ใช่เรื่องยากเลย หากเรามีหลักยึดก่อนว่า ควรมองเรื่องใด เป็นหลัก ก่อนหลังตามลำดับ จะได้ไม่สับสน
1. ให้ดู Trend ของราคาหุ้นเป็นหลัก สิ่งแรกสุด ก่อนจะดูเรื่องอื่นๆ เช่นภาพแนวโน้มราคาหุ้นใรระยะสั้น ระยะกลางจะเป็นอย่างไร ให้ดูว่า ราคาหุ้นในระยะ 1-2 เดือนที่ผ่านมา ราคาทำรูปแบบใด ( ขาขึ้น ขาลง หรือ sideway ) หรือดูเส้นค่าเฉลี่ย SMA20 ว่าปลายเส้นชี้ไปในทิศทางใด ก็หมายถึงแนวโน้มราคาระยะสั้น กำลังไปในทิศทางนั้น
2. เมื่อเรารู้แนวโน้มของราคาระยะสั้นว่าอยู่ในแนวโน้มใด ก็ให้เทรดด้วยกลยุทธ์ของแนวโน้มนั้น เช่นราคาหุ้นกำลังเป็นขาขึ้น เราก็รอซื้อตอนราคาปรับตัวลง หรือพักตัว หรือ ช่วง Pullback เมื่อพักตัวตัวจบราคาก็จะวิ่งไปตามแนวโน้มขาขึ้นต่อไป
เราสามารถสังเกตช่วงที่ราคากำลังพักตัว โดยดูค่าโมเมนตัมจาก RSI MACD CCI STO ต่างๆได้ โดยค่าจะลดลงกว่าวันก่อนหน้าลงมาเรื่อยๆ และเมื่อพักตัวเสร็จค่าโมเมนตัมก็จะกลับมาเพิ่มขึ้นกว่าวันก่อนหน้า ซึ่งจะเป็นเป็นขาขึ้นรอบใหม่ หากแนวโน้มขาขึ้นที่ผ่านมายังไม่จบ
3. อีกเรื่องที่สำคัญคือ จุดกลับตัวที่สำคัญในแต่ละรอบ หรือจุด Pivot Point นั้น มักจะเกิดบริเวณที่เป็น Overbought / Oversold ของแต่ละช่วง แต่ละรอบ ซึ่งเรื่องนี้จะคาบเกี่ยวกับเรื่อง รูปแบบการกลับตัว ( Reversal Patterns ) และเรื่อง รูปแบบการพักตัวในแนวโน้ม (Continuation Patterns ) ด้วย เพราะหากราคาพักตัวเสร็จแล้วไม่วิ่งไปในแนวโน้มเดิม ก็จะเปลี่ยนแนวโน้มกลายเป็นกลับทิศไปแทน ซึ่งแต่ละรูปแบบ และการตรวจสอบ จะต้องหาสิ่งยืนยันมาพิสูจน์ต่อไปครับ
หลักการทางเทคนิค ทุกชนิดจะอิงใน 3 เรื่องนี้เท่านั้น ไม่มีนอกเหนือจากนี้ เพียงแต่วิธีการตรวจสอบในแต่ละเรื่องของ 3 เรื่องข้างต้น จะมีเทคนิคมากมายหลายสิบหลายร้อยวิธี ขึ้นกับว่าจะใช้แนวคิดหรือตัวแปรอะไรมาทดสอบเพื่อให้ได้คำตอบที่น่าเชื่อถือมากกว่ากันเท่านั้น หากเราเข้าใจทั้งหมด นั่นคือเราเข้าใจ Price Action แล้ว เข้าใจการเคลื่อนไหว ของราคา และรู้วิธีการตรวจสอบ อย่างเป็นระบบว่า จะตรวจสอบเรื่องอะไร ด้วยเครื่องมือใดเพื่อให้ได้คำตอบ สิ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือหัวใจของผู้ที่ต้องการศึกษาเรื่อง Technical Analysis จำเป็นต้องศึกษาครับ
Technical Analysis เป็นส่วนหนึ่งในการลงทุน เท่านั้น ยังมีเรื่องการบริหารเงินลงทุน หรือ Money Mangement และ จิตวิทยาการลงทุน ( Mass Psychology ) ที่มีความสำคัญมากกว่าเสียอีก ที่เราควรมีความรู้เพื่อช่วยให้การใช้เทคนิเคิลได้ผลดียิ่งขึ้น ซึ่งการพยายามพัฒนาและฝึกฝนจะช่วยให้เราได้มีประสบการณ์ในการลงทุน (เก็งกำไร ) มากขึ้น และแก้ไขข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในอดีตให้ลดลง และหาจังหวะในการสร้างผลตอบแทนให้เพิ่มขึ้นในอนาคต
ส่วนระบบเทรดที่เราใช้กันนั้น เป็นเพียงตัวช่วยเพิ่มความสะดวกในการเทรด โดยระบบเทรดช่วยสรุปบอกสัญญาณซื้อและสัญญาณขายของราคาหุ้น ซึ่งขึ้นกับ สูตรที่สร้างขึ้นมาใช้ ( จะแม่นหรือไม่แม่น ก็ต้องขึ้นกับความรู้ผู้เขียนสูตรนั้นด้วย ) แต่ทุกระบบเทรด มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีในแนวโน้มราคาหนึ่ง แต่จะให้ผลตอบแทนที่แย่ในอีกแนวโน้มราคาหนึ่ง ยิ่งใช้ Time Frame สั้น ยิ่งเกิด Error ได้มากกว่า Time Frame ที่ยาว ดังนั้นการที่จะเลือกใช้ระบบเทรดใด เราควรศึกษาให้เข้าใจในระบบเทรดนั้นก่อนว่า มีที่มาอย่างไร ควรใช้ในแนวโน้มใด และระมัดระวังหรือไม่ควรใช้ในแนวโน้มใด ไม่ใช่ดันทุรังใช้ไปทั้งๆที่เรารู้ว่า แนวโน้มราคานั้นไม่เหมาะสมกับการใช้ระบบเทรดนั้น ( หลายคนอาจคิดแย้งตรงนี้ ก็แล้วแต่ความเห็นของแต่ละคนครับ คิดต่างกันได้ครับ ) ..........ขอให้โชคดี และสนุกกับ Technical Analysis ครับ
การศึกษา Technical Analysis สำหรับมือใหม่
1. ให้ดู Trend ของราคาหุ้นเป็นหลัก สิ่งแรกสุด ก่อนจะดูเรื่องอื่นๆ เช่นภาพแนวโน้มราคาหุ้นใรระยะสั้น ระยะกลางจะเป็นอย่างไร ให้ดูว่า ราคาหุ้นในระยะ 1-2 เดือนที่ผ่านมา ราคาทำรูปแบบใด ( ขาขึ้น ขาลง หรือ sideway ) หรือดูเส้นค่าเฉลี่ย SMA20 ว่าปลายเส้นชี้ไปในทิศทางใด ก็หมายถึงแนวโน้มราคาระยะสั้น กำลังไปในทิศทางนั้น
2. เมื่อเรารู้แนวโน้มของราคาระยะสั้นว่าอยู่ในแนวโน้มใด ก็ให้เทรดด้วยกลยุทธ์ของแนวโน้มนั้น เช่นราคาหุ้นกำลังเป็นขาขึ้น เราก็รอซื้อตอนราคาปรับตัวลง หรือพักตัว หรือ ช่วง Pullback เมื่อพักตัวตัวจบราคาก็จะวิ่งไปตามแนวโน้มขาขึ้นต่อไป
เราสามารถสังเกตช่วงที่ราคากำลังพักตัว โดยดูค่าโมเมนตัมจาก RSI MACD CCI STO ต่างๆได้ โดยค่าจะลดลงกว่าวันก่อนหน้าลงมาเรื่อยๆ และเมื่อพักตัวเสร็จค่าโมเมนตัมก็จะกลับมาเพิ่มขึ้นกว่าวันก่อนหน้า ซึ่งจะเป็นเป็นขาขึ้นรอบใหม่ หากแนวโน้มขาขึ้นที่ผ่านมายังไม่จบ
3. อีกเรื่องที่สำคัญคือ จุดกลับตัวที่สำคัญในแต่ละรอบ หรือจุด Pivot Point นั้น มักจะเกิดบริเวณที่เป็น Overbought / Oversold ของแต่ละช่วง แต่ละรอบ ซึ่งเรื่องนี้จะคาบเกี่ยวกับเรื่อง รูปแบบการกลับตัว ( Reversal Patterns ) และเรื่อง รูปแบบการพักตัวในแนวโน้ม (Continuation Patterns ) ด้วย เพราะหากราคาพักตัวเสร็จแล้วไม่วิ่งไปในแนวโน้มเดิม ก็จะเปลี่ยนแนวโน้มกลายเป็นกลับทิศไปแทน ซึ่งแต่ละรูปแบบ และการตรวจสอบ จะต้องหาสิ่งยืนยันมาพิสูจน์ต่อไปครับ
หลักการทางเทคนิค ทุกชนิดจะอิงใน 3 เรื่องนี้เท่านั้น ไม่มีนอกเหนือจากนี้ เพียงแต่วิธีการตรวจสอบในแต่ละเรื่องของ 3 เรื่องข้างต้น จะมีเทคนิคมากมายหลายสิบหลายร้อยวิธี ขึ้นกับว่าจะใช้แนวคิดหรือตัวแปรอะไรมาทดสอบเพื่อให้ได้คำตอบที่น่าเชื่อถือมากกว่ากันเท่านั้น หากเราเข้าใจทั้งหมด นั่นคือเราเข้าใจ Price Action แล้ว เข้าใจการเคลื่อนไหว ของราคา และรู้วิธีการตรวจสอบ อย่างเป็นระบบว่า จะตรวจสอบเรื่องอะไร ด้วยเครื่องมือใดเพื่อให้ได้คำตอบ สิ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือหัวใจของผู้ที่ต้องการศึกษาเรื่อง Technical Analysis จำเป็นต้องศึกษาครับ
Technical Analysis เป็นส่วนหนึ่งในการลงทุน เท่านั้น ยังมีเรื่องการบริหารเงินลงทุน หรือ Money Mangement และ จิตวิทยาการลงทุน ( Mass Psychology ) ที่มีความสำคัญมากกว่าเสียอีก ที่เราควรมีความรู้เพื่อช่วยให้การใช้เทคนิเคิลได้ผลดียิ่งขึ้น ซึ่งการพยายามพัฒนาและฝึกฝนจะช่วยให้เราได้มีประสบการณ์ในการลงทุน (เก็งกำไร ) มากขึ้น และแก้ไขข้อผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในอดีตให้ลดลง และหาจังหวะในการสร้างผลตอบแทนให้เพิ่มขึ้นในอนาคต
ส่วนระบบเทรดที่เราใช้กันนั้น เป็นเพียงตัวช่วยเพิ่มความสะดวกในการเทรด โดยระบบเทรดช่วยสรุปบอกสัญญาณซื้อและสัญญาณขายของราคาหุ้น ซึ่งขึ้นกับ สูตรที่สร้างขึ้นมาใช้ ( จะแม่นหรือไม่แม่น ก็ต้องขึ้นกับความรู้ผู้เขียนสูตรนั้นด้วย ) แต่ทุกระบบเทรด มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีในแนวโน้มราคาหนึ่ง แต่จะให้ผลตอบแทนที่แย่ในอีกแนวโน้มราคาหนึ่ง ยิ่งใช้ Time Frame สั้น ยิ่งเกิด Error ได้มากกว่า Time Frame ที่ยาว ดังนั้นการที่จะเลือกใช้ระบบเทรดใด เราควรศึกษาให้เข้าใจในระบบเทรดนั้นก่อนว่า มีที่มาอย่างไร ควรใช้ในแนวโน้มใด และระมัดระวังหรือไม่ควรใช้ในแนวโน้มใด ไม่ใช่ดันทุรังใช้ไปทั้งๆที่เรารู้ว่า แนวโน้มราคานั้นไม่เหมาะสมกับการใช้ระบบเทรดนั้น ( หลายคนอาจคิดแย้งตรงนี้ ก็แล้วแต่ความเห็นของแต่ละคนครับ คิดต่างกันได้ครับ ) ..........ขอให้โชคดี และสนุกกับ Technical Analysis ครับ