วันนี้ผมมีโอกาสได้กลับบ้านช่วงปิเดเทอมหลังจากไปเรียนปี 1 อยู่นาน ความจริงผมมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่อง สัตว์ประหลาด (Tropical Malady, 2004) ตั้งแต่สมัยมัธยมฯ แต่ผมก็จำเรื่องราวต่างๆไม่ค่อยได้ รวมทั้งยังไม่ได้วิเคราะห์ใดๆในตัวเนื้อเรื่อง ครั้งนี้ผมจึงกลับมาตีความภาพยนตร์ ผมได้ดูเรื่องนี้อีกครั้งที่ขอนแก่นไม่นานก่อนที่จะกลับบ้าน ขอยอมรับเลยว่าดูครั้งแรกไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้ตั้งใจดู มาดูอีกครั้งกับแม่ก็ที่บ้าน ก่อนหน้านี้ผมได้มีโอกาสไปอ่านหลายๆบทความที่พูดถึงหนังเรื่องนี้ ได้คำเล่าลือถึงว่าเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้กรรมการที่คานส์ถึงกับต้องเกาหัว ยิ่งดึงดูดความสนใจของผมในการที่จะตีความหนังเรื่องนี้เข้าไปอีก
เรื่องราวก็เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนวัยหนุ่มสาว เพียงแต่หนังนี้นำเสนอในรูปแบบของรักร่วมเพศ ระหว่าง เก่ง นายทหารที่บังเอิญมาพบกับ โต้ง เด็กบ้านนอกผู้มีอาชีพเป็นพนักงานโรงงานทำนำ้แข็งในเมือง หนังได้แบ่งเป็นสองช่วง คือช่วงในเมือง และในป่า (เหมือนกับสุดเสน่หา) เรื่องราวมีหลากหลายประเด็นแทรกสอดอยู่ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร จิตวิญญาณอันดิบเถื่อนของคน (สัตว์ป่า) ดังนั้นผมขอเล่าเป็นฉากๆ ละกันน่ะครับ
ตอนที่ 1 (ในเมือง)
เริ่มด้วย qoute ของทอน นาคาจิมา ที่บอกทำนองว่า เราต้องควบคุมสัตว์ร้ายที่มีอยู่ในใจเราให้ได้
เริ่มด้วยกลุ่มทหารพบศพชายปริศนากลางป่า (ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าคือโต้ง) แต่ทั้งกลุ่มกลับถ่ายรูปกันอย่างเฮฮาและไม่ตกอกตกใจกับสิ่งที่เห็น ราวกับเป็นแค่ซากของ “สัตว์ป่า” ที่พบเห็นอยู่ทั่วไป ซึ่งเดี๋ยวผมจะเอาไปเชื่อมโยงข้อมูลจากตอนหลังอีกที
ชาวบ้านก็ดูไม่แปลกประหลาดใจ (ในวงกินข้าว ชาวบ้านเล่าเรื่องผีอย่างสนุกสนาน ไม่น่ากลัว) กับศพที่ทหารเอามาฝากไว้ เหมือนกับเป็นเรื่องปกติที่เคยชิน
ฉากที่ป้าหั่นหอมกับฉากที่คุณลุงมาที่เขียงเช่นกันตอนกลางคืน มันชวนให้นึกถึง โต้งที่ชอบใส่ชุดทหาร เหมือนกับเก่ง ว่าน่าจะมีนัยอะไรบางอย่าง เหมือนเป็นปูทางให้กับเรื่องราวต่างๆที่จะเกิดขึ้นต่อหน้าผู้ชมหลังจากนี้
โต้งจ้องหญิงสาวบนรถประจำทาง หญิงสาวตอบกลับด้วยท่าทีเขินอาย ดูมีใจให้กัน และแล้วหญิงสาวก็หญิงโทรศัพท์มาคุย และดูกระหนุงกระหนิงเหมือนว่าคนในโทรศัพท์ก็ดูเป็นคนรู้ใจกัน สื่อถึงว่าการสื่อสารไม่ว่าจะด้วย โทรศัพท์ การพูด การเขียน หรือวิทยุ ล้วนแต่ผ่านการกลั่นกรองจากจิตใจในด้านที่มีสัมปชัญญะ น้อยครั้งที่เราจะแสดงสัญชาตญาณดิบเถื่อน(สัตว์ร้าย) ออกมาในคนอื่นได้รับรู้ เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ดูจะมีคนรักอยู่แล้วแต่ก็ดูจะมีใจให้ชายอื่น เหมือนกับว่าตนเองไม่สามารถความคุมสัตว์ร้ายในตัวได้
เก่งกับโต้งดูเป็นความสัมพันธ์ที่แต่ละคนมีชีวิตที่คนละทิศละทาง เก่งดูเป็นนายทหารที่ดูเจนโลก รู้จักกับคนหลายคนไม่ว่าจะเป็นคนที่เจอในห้องนำ้ในโรงหนัง ผู้นำเต้นแอโรบิก นายทหารอีกคนที่มาพัวพันกับเก่งบนรถ หรือแม้แต่เรา (จำได้หรือไม่ว่าเก่งจ้องเรา ราวกับคุ้นเคยสนิทสนนกันมาก่อน บอกเป็นนัยว่าเราทุกคนต่างก็เป็นสัตว์ประหลาดกันทั้งนั้น) ในขณะที่โต้งดูเป็นคนอ่อนต่อโลก เขียนหนังสือไม่ถนัด ขับรถไม่เป็น ติดเกมเหมือนเด็ก เหมือนกับฉากที่เขานั่งรถคนละคน เก่งนักรถบรรทุกทหาร แต่โต้งนั่งบนรถประจำทาง และดูจะชอบและสนใจในผู้หญิง
สิ่งที่เก่งจะทำกับโต้งต่อจากนี้จึงเหมือนเป็นการบีบเค้น เปลี่ยนแปลงตัวตนของโต้ง ราวกับให้โต้งแสดงสันดานดิบของตนออกมา สังเกตว่าพฤติกรรมของเก่งจะดูเป็นการบุกรุกเข้ามาในชีวิตของเก่ง เช่น ให้เทปวงแคลช สอนขับรถ พาหมาไปหาหมอ เขียนหนังสือให้ ทำให้โต้งรู้สึกว่าเป็นที่พึ่งพิง เขียนบอกรักผ่านกระดาษ จับเข้าโต้ง (เหมือนในเรื่องสุดเสน่หา) หรือหอมที่มือโต้ง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นการเปลี่ยนชีวิตของโต้งไปเป็นในแบบที่เก่งชอบและเก่งเป็น
ในขณะเดียวกันโต้งก็มองว่าพฤติกรรมที่ออกมาจากจิตวิญญาณสัตว์ป่าของเก่ง เป็นเรื่องเล่นๆ สนุก น่าขัน คงเพราะยังเป็นตัวตนเดิม เช่น เก่งจับเข่าในโรงหนัง แต่โต้งกลับคิดว่าเก่งจะเล่น เก่งบอกว่าลายมือเราต่อกันเหมือนเรือสุพรรณหงษ์แต่โต้งกลับล้อไปว่าเหมือนเรื่อพาย
ผู้กำกับคงต้องการให้ความรักระหว่างโต้งกับเก่ง เป็นความรักในอุดมคติ เหมือนในหนังในละคร ราวกับเป็นตัวอย่างของความรักในสังคมสมัยนี้ โดยผ่านการสื่อสารที่ดูเกินความจริง เช่น ทหารคุยวิทยุกับสาวที่ดูเหมือนเป็นเสียงพริตตี้เสียมากกว่า โต้งร้องเพลงที่เพราะเกินจริงในร้านอาหาร หรือเก่งบอกว่าอยากดีดกีต้าให้โต้งฟัง “เหมือนในหนัง”
โต้งเริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง เริ่มควบคุมสัตว์ป่าในตัวไม่ได้อย่างที่เคยเป็น เช่นเอากระดาษใส่กระเป๋ากางเกงของเก่ง ไม่อายป้า หรือนั่งรถมอไซค์กับเก่ง (ราวกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) หรือป้ามองว่าโต้งเป็นทหาร
ป้าพาสองคนไปในส่วนลึกถ้ำลึกลับ ป้าเล่าว่ามีคนเข้าไปแล้วเทียนดับ หรือโดนแก๊สพิษตายอยู่ในถ้ำ โต้งอยากไป (เหมือนตัวเองเริ่มเป็นสัตว์) แต่เก่งไม่อยากไป (เหมือนชาติที่แล้วเคยเข้าป่า แล้วพบความจริงอันโหดร้าย อันจะได้กล่าวต่อไป)
เก่งนั่งบนรถขนทหารข้างๆมี นายทหารมาติดพัน คนรอบข้างกลับเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ ทั้งที่รู้ว่าเก่งชอบโต้งอยู่ เหมือนกับฉากแรกที่เห็น คนศพในป่า บอกเป็นนัยว่าในสังคมสมัยใหม่นี้ เรามองว่าเรื่องการแสดงความดิบเถื่อนออกมาเป็นชินชาไปเสียแล้ว แนวคิดเช่นนี้จะนำพาแต่ความวุ่นวายมาสู่สังคม (ฝุ่นที่เกิดจากรถยนต์)
ขากลับเก่งมาส่งโต้ง โดยโต้งเป็นคนขับ (แสดงถึงว่าตอนนี้โต้งควบคุมตัวเองไมไ่ด้แล้ว มีลักษณะเหมือนกับโต้ง เป็นแบบที่โตงเป็น) โต้งแวะฉี่ข้างทาง (ป้ายข้างๆเป็นสัญลักษณ์ของการสื่อสาร) เก่งหอมมือโต้ง (แสดงสัตว์ร้ายในตัว) โต้งตอบกลับด้วยกริยาที่ดิบเถื่อนกว่า คือเลียมือเก่งราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงสัตว์ป่า และหายไปในความมืด
รุ่งเช้าโต้งตื่น มองไปที่ป่าและหายตัวไป เก่งมาหาที่บ้านนั่งดูรูปโต้ง รูปแรกเป็นโต้งไปทะเลวัยใส รูปต่อมารูปโต้งใส่ชุดทหาร (เหมือนเก่ง)
จากฉากแรก ศพของชายคนนั้นอาจจะเป็นเศษซากของความสัมพันธ์อันฉาบฉวย เต็มไปด้วยเล่ห์กล ปลิ้นปล่อนระหว่างโต้งกับเก่ง ที่ทุกคนก็เห็นว่าเป็นเรื่องชาชินสำหรับสังคมสมัยใหม่
ตอนแรกจึงเป็นเหมือนการวิพากย์วิจารณ์ความรักที่เต็มไปด้วยความอยากอันเกิดแต่ความดิบเถื่อนในจิตใจของคนเรา ขาดความใกล้ชิด ความเข้าใจระหว่างกัน หรือแม้แต่พยายามเปลี่ยนอีกคนให้กลายเป็นอีกคนตามที่เราขาดหวังไว้ ความสัมพันธ์ดังกล่าวจึงเป็นอะไรที่ฉับไว รวดเร็ว แต่ก็เปราะบาง และผ่านไปเร็วเช่นกัน
ตอนที่ 2 (ในป่า)
เริ่มด้วยการเล่านิทานชาวบ้าน เกี่ยวกับผีเสือ (สัตว์ประหลาด) สามารถปลอมแปลงตัวเองไปหลอกชาวบ้าน ที่ถูกฆ่าโดยนายพรานและวิญญาณของผู้ที่ถูกฆ่าก็จะไปสิ่งในตัวคนฆ่า คล้ายกับเก่งที่หลอกคนอื่นไปทั่ว รวมทั้งโต้ง
นายทหารเข้าป่าเพื่อตามหาผีเสือที่คอยฆ่าสัตว์เลี้ยงของชาวบ้าน เขาดูคุ้นชินกับรอยเท้าหรือเลือด เหล่านั้น “ราวกับว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเสือผีมาก่อน” แต่นายทหารกับเก่งต่างกันตรงที่นายหารกลับดูหวาดกลัว ไม่กล้าเผชิญหน้า เหมือนตอนที่เก่งจะเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำลึกลับ)
การสื่อสารต่างๆ ที่เคยมีแบบในสังคมเมืองจบสิ้นลง บทสนทนาในช่วงหลังแถบไม่มี วิทยุใช้การไม่ได้ ปล่อยให้แสงของธรรมชาติช่วยนำทาง
เมื่อนายทหารเข้ามาในป่า จึงเหมือนเข้ามาในจิตใจตัวเองเพื่อค้นหาความจริงในก้นบึ้งที่มีแต่สัตว์ร้ายเท่านั้นที่เข้ามาได้และจะได้รับความจริงออกไป หากยังดื้อรั้นต่อต้าน ไม่ใช้ความเป็นสัตว์ (ยังพยายามใช้วิทยุ กินอาหารแบบคน) ก็จะไม่ได้รับรู้ความจริง
ผีเสือพยายามเข้าไปในฝันของนายทหาร เพราฝันเป็นสิ่งเดียวในตัวนายทหาร ที่แสดงสัญชาตญาณออกมา เราไม่สามารถควบคุมจิตใจตัวเองได้ในฝัน
นายทหารเดินหลงในป่า (เดินแล้วก็ยังพบกองอุจจาระของตัวเอง) เพราะยังไม่ยอมแสดงความสัตว์ออกมา
ผีเสือสนใจในวิทยุสื่อสารเพราะมันต่างจากเขาในแง่ที่มันเป็นของๆ คน แต่เขาเป็นสัตว์ประหลาด (กึ่งคนกึ่งสัตว์) ผีเสือสามารถพูดกับวิทยุได้ “ราวกับว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นคนมาก่อน”
นายทหารแพ้ให้กับผีเสือถึงแม้ว่าผีเสือจะดูอิดโรย และนายทหารจะเพิ่งกินข้าวและตื่นได้ไม่นาน แต่ก็ไม่มีพละกำลังจะสู้กับผีเสือ เพราะเขายังเป็นคนในถิ่นของสัตว์ป่า
นายทหารไม่ยิงผีเสือทั้งที่มีโอกาส เพราะเขายังไม่กล้าที่จะควบคุมสัตว์ร้าย เขาจ้องที่มือของตัวเอง (เหมือนป้าอรจ้องมือตัวเอง ในสุดเสน่หา) แต่ในครั้งนี้เขากลับสงสัยว่าทำไมเขาจึงไม่ฆ่าผีเสือ
ผีเสือทิ้งสิ่งของต่างๆ ในสภาพที่ใช้งานไม่ได้เป็นการบอกกลายๆว่า ให้เลิกใช้สิ่งของเหล่านี้ แล้วแสดงสัตว์ร้ายในตัวออกมา
นายทหารพบซากวัวที่ถูกฆ่าโดยผีเสือ ซากของสัตว์จึงเป็นเหมือนสิ่งที่หลงเหลือจากการแสดงสัตว์ร้ายในตัวตนออกมานายทหารกลับขเ้าไปในป่าอีกครั้ง แต่ในฐานะของสัตว์ป่า เขาเริ่มที่จะพูดคุยกับลิงได้ มาเตือนว่าผีเสือเป็นเหมือนเพื่อนและศัตรู (แท้จริงแล้วสัตว์ร้ายก็เป็นสิ่งกลางๆ ถ้าหากเราควบคุมมันอย่างเหมาะสมได้ก็จะดี) บอกให้นายทหารเลือกที่จะฆ่าเสือ เพื่อที่จะรับเอาวิญญาณมันเข้ามา (ฆ่าเสือจึงเป็นเมหือนการที่เราควบคุมสัตว์ร้ายในตัวได้) หรือเลือกที่จะให้มันฆ่าเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของมัน (ถูกเสือฆ่าก็จึงเหมือนเราปล่อยให้สัตว์ร้ายในตัวเราเป็นอิสระ)
นายทหารใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์ป่า ฆ่าปลากิน และเขาเลือกที่จะฆ่าเสือ แต่ผลจากการฆ่าผีเสือเขาบังเอิญไปทำร้ายอีกชีวิต คือ วัว วิญญาณ ของมันหายเข้าไปในป่า ราวกับเป็นการบอกว่าบัดนี้ นายทหารได้กลายเป็นสัตว์ร้ายแล้ว แสงของหิ่งห้อยที่เคยมีก็หายไป ราวกับเป็นการย้ำเตือนว่านายทหารได้มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของป่า (ในใจเรา)
ผู้กำกับได้เฉลยเรื่องราวว่า ความจริงแล้วเสียงปืนที่ดังขึ้น เสียงอะไรบาอย่างคลานบนพื้น เสียงกระทบไม้ที่ดังขึ้นในตอนแรกก็คือเสียงของนายทหารเอง ราวทั้งคำพูดของนายทหารเองที่เมื่อเผชิญหน้ากับเสือในฐานะสัตว์ร้ายที่ว่า เขาจ้องเสือเห็นตัวเอง คงไม่มีอะไรที่น่าหวาดกลัวไปกว่าการได้รับรู้ว่าชั่วร้ายที่สุดโต่งราวกับสัตว์ป่า
ตอนท้ายของหนังมีเสียงของเลื่อยตัดไม้ ราวกับเป็นการบอกว่า การทำลายป่าก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่แสดงถึงความโลภ อยากได้อยากมีของมนุษย์
ภาพยนตร์เรื่องนี้คือการนำเรื่องราวพื้นฐานของจิตใจมนุษย์ที่หากพูดไปแล้วก็ปนเปกันระกว่างส่วนดีและส่วนเลววนเวียนปนเปกับอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เราทุกคนต่างก็ไม่ใช่ทั้งคนที่มีสติ รับรู้ ควบคุมสัตว์ร้ายให้เชื่องได้ตลอดเวลา เราจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ระหว่างคนและสัตว์ป่า เราไม่ต่างอะไรกับสัตว์ประหลาดที่เมื่อความมืดมนในจิตใจได้มาถึงเสียงเสือคำรามก็จะดังกึกก้องทั่งพื้นป่า “วนาลี”
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ
https://www.facebook.com/survival.king
Tempy Movies Review รีวิวหนัง: สัตว์ประหลาด (Tropical Malady, 2004)
วันนี้ผมมีโอกาสได้กลับบ้านช่วงปิเดเทอมหลังจากไปเรียนปี 1 อยู่นาน ความจริงผมมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่อง สัตว์ประหลาด (Tropical Malady, 2004) ตั้งแต่สมัยมัธยมฯ แต่ผมก็จำเรื่องราวต่างๆไม่ค่อยได้ รวมทั้งยังไม่ได้วิเคราะห์ใดๆในตัวเนื้อเรื่อง ครั้งนี้ผมจึงกลับมาตีความภาพยนตร์ ผมได้ดูเรื่องนี้อีกครั้งที่ขอนแก่นไม่นานก่อนที่จะกลับบ้าน ขอยอมรับเลยว่าดูครั้งแรกไม่รู้เรื่องเพราะไม่ได้ตั้งใจดู มาดูอีกครั้งกับแม่ก็ที่บ้าน ก่อนหน้านี้ผมได้มีโอกาสไปอ่านหลายๆบทความที่พูดถึงหนังเรื่องนี้ ได้คำเล่าลือถึงว่าเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้กรรมการที่คานส์ถึงกับต้องเกาหัว ยิ่งดึงดูดความสนใจของผมในการที่จะตีความหนังเรื่องนี้เข้าไปอีก
เรื่องราวก็เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนวัยหนุ่มสาว เพียงแต่หนังนี้นำเสนอในรูปแบบของรักร่วมเพศ ระหว่าง เก่ง นายทหารที่บังเอิญมาพบกับ โต้ง เด็กบ้านนอกผู้มีอาชีพเป็นพนักงานโรงงานทำนำ้แข็งในเมือง หนังได้แบ่งเป็นสองช่วง คือช่วงในเมือง และในป่า (เหมือนกับสุดเสน่หา) เรื่องราวมีหลากหลายประเด็นแทรกสอดอยู่ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร จิตวิญญาณอันดิบเถื่อนของคน (สัตว์ป่า) ดังนั้นผมขอเล่าเป็นฉากๆ ละกันน่ะครับ
ตอนที่ 1 (ในเมือง)
เริ่มด้วย qoute ของทอน นาคาจิมา ที่บอกทำนองว่า เราต้องควบคุมสัตว์ร้ายที่มีอยู่ในใจเราให้ได้
เริ่มด้วยกลุ่มทหารพบศพชายปริศนากลางป่า (ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าคือโต้ง) แต่ทั้งกลุ่มกลับถ่ายรูปกันอย่างเฮฮาและไม่ตกอกตกใจกับสิ่งที่เห็น ราวกับเป็นแค่ซากของ “สัตว์ป่า” ที่พบเห็นอยู่ทั่วไป ซึ่งเดี๋ยวผมจะเอาไปเชื่อมโยงข้อมูลจากตอนหลังอีกที
ชาวบ้านก็ดูไม่แปลกประหลาดใจ (ในวงกินข้าว ชาวบ้านเล่าเรื่องผีอย่างสนุกสนาน ไม่น่ากลัว) กับศพที่ทหารเอามาฝากไว้ เหมือนกับเป็นเรื่องปกติที่เคยชิน
ฉากที่ป้าหั่นหอมกับฉากที่คุณลุงมาที่เขียงเช่นกันตอนกลางคืน มันชวนให้นึกถึง โต้งที่ชอบใส่ชุดทหาร เหมือนกับเก่ง ว่าน่าจะมีนัยอะไรบางอย่าง เหมือนเป็นปูทางให้กับเรื่องราวต่างๆที่จะเกิดขึ้นต่อหน้าผู้ชมหลังจากนี้
โต้งจ้องหญิงสาวบนรถประจำทาง หญิงสาวตอบกลับด้วยท่าทีเขินอาย ดูมีใจให้กัน และแล้วหญิงสาวก็หญิงโทรศัพท์มาคุย และดูกระหนุงกระหนิงเหมือนว่าคนในโทรศัพท์ก็ดูเป็นคนรู้ใจกัน สื่อถึงว่าการสื่อสารไม่ว่าจะด้วย โทรศัพท์ การพูด การเขียน หรือวิทยุ ล้วนแต่ผ่านการกลั่นกรองจากจิตใจในด้านที่มีสัมปชัญญะ น้อยครั้งที่เราจะแสดงสัญชาตญาณดิบเถื่อน(สัตว์ร้าย) ออกมาในคนอื่นได้รับรู้ เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ดูจะมีคนรักอยู่แล้วแต่ก็ดูจะมีใจให้ชายอื่น เหมือนกับว่าตนเองไม่สามารถความคุมสัตว์ร้ายในตัวได้
เก่งกับโต้งดูเป็นความสัมพันธ์ที่แต่ละคนมีชีวิตที่คนละทิศละทาง เก่งดูเป็นนายทหารที่ดูเจนโลก รู้จักกับคนหลายคนไม่ว่าจะเป็นคนที่เจอในห้องนำ้ในโรงหนัง ผู้นำเต้นแอโรบิก นายทหารอีกคนที่มาพัวพันกับเก่งบนรถ หรือแม้แต่เรา (จำได้หรือไม่ว่าเก่งจ้องเรา ราวกับคุ้นเคยสนิทสนนกันมาก่อน บอกเป็นนัยว่าเราทุกคนต่างก็เป็นสัตว์ประหลาดกันทั้งนั้น) ในขณะที่โต้งดูเป็นคนอ่อนต่อโลก เขียนหนังสือไม่ถนัด ขับรถไม่เป็น ติดเกมเหมือนเด็ก เหมือนกับฉากที่เขานั่งรถคนละคน เก่งนักรถบรรทุกทหาร แต่โต้งนั่งบนรถประจำทาง และดูจะชอบและสนใจในผู้หญิง
สิ่งที่เก่งจะทำกับโต้งต่อจากนี้จึงเหมือนเป็นการบีบเค้น เปลี่ยนแปลงตัวตนของโต้ง ราวกับให้โต้งแสดงสันดานดิบของตนออกมา สังเกตว่าพฤติกรรมของเก่งจะดูเป็นการบุกรุกเข้ามาในชีวิตของเก่ง เช่น ให้เทปวงแคลช สอนขับรถ พาหมาไปหาหมอ เขียนหนังสือให้ ทำให้โต้งรู้สึกว่าเป็นที่พึ่งพิง เขียนบอกรักผ่านกระดาษ จับเข้าโต้ง (เหมือนในเรื่องสุดเสน่หา) หรือหอมที่มือโต้ง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นการเปลี่ยนชีวิตของโต้งไปเป็นในแบบที่เก่งชอบและเก่งเป็น
ในขณะเดียวกันโต้งก็มองว่าพฤติกรรมที่ออกมาจากจิตวิญญาณสัตว์ป่าของเก่ง เป็นเรื่องเล่นๆ สนุก น่าขัน คงเพราะยังเป็นตัวตนเดิม เช่น เก่งจับเข่าในโรงหนัง แต่โต้งกลับคิดว่าเก่งจะเล่น เก่งบอกว่าลายมือเราต่อกันเหมือนเรือสุพรรณหงษ์แต่โต้งกลับล้อไปว่าเหมือนเรื่อพาย
ผู้กำกับคงต้องการให้ความรักระหว่างโต้งกับเก่ง เป็นความรักในอุดมคติ เหมือนในหนังในละคร ราวกับเป็นตัวอย่างของความรักในสังคมสมัยนี้ โดยผ่านการสื่อสารที่ดูเกินความจริง เช่น ทหารคุยวิทยุกับสาวที่ดูเหมือนเป็นเสียงพริตตี้เสียมากกว่า โต้งร้องเพลงที่เพราะเกินจริงในร้านอาหาร หรือเก่งบอกว่าอยากดีดกีต้าให้โต้งฟัง “เหมือนในหนัง”
โต้งเริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง เริ่มควบคุมสัตว์ป่าในตัวไม่ได้อย่างที่เคยเป็น เช่นเอากระดาษใส่กระเป๋ากางเกงของเก่ง ไม่อายป้า หรือนั่งรถมอไซค์กับเก่ง (ราวกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) หรือป้ามองว่าโต้งเป็นทหาร
ป้าพาสองคนไปในส่วนลึกถ้ำลึกลับ ป้าเล่าว่ามีคนเข้าไปแล้วเทียนดับ หรือโดนแก๊สพิษตายอยู่ในถ้ำ โต้งอยากไป (เหมือนตัวเองเริ่มเป็นสัตว์) แต่เก่งไม่อยากไป (เหมือนชาติที่แล้วเคยเข้าป่า แล้วพบความจริงอันโหดร้าย อันจะได้กล่าวต่อไป)
เก่งนั่งบนรถขนทหารข้างๆมี นายทหารมาติดพัน คนรอบข้างกลับเห็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ ทั้งที่รู้ว่าเก่งชอบโต้งอยู่ เหมือนกับฉากแรกที่เห็น คนศพในป่า บอกเป็นนัยว่าในสังคมสมัยใหม่นี้ เรามองว่าเรื่องการแสดงความดิบเถื่อนออกมาเป็นชินชาไปเสียแล้ว แนวคิดเช่นนี้จะนำพาแต่ความวุ่นวายมาสู่สังคม (ฝุ่นที่เกิดจากรถยนต์)
ขากลับเก่งมาส่งโต้ง โดยโต้งเป็นคนขับ (แสดงถึงว่าตอนนี้โต้งควบคุมตัวเองไมไ่ด้แล้ว มีลักษณะเหมือนกับโต้ง เป็นแบบที่โตงเป็น) โต้งแวะฉี่ข้างทาง (ป้ายข้างๆเป็นสัญลักษณ์ของการสื่อสาร) เก่งหอมมือโต้ง (แสดงสัตว์ร้ายในตัว) โต้งตอบกลับด้วยกริยาที่ดิบเถื่อนกว่า คือเลียมือเก่งราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงสัตว์ป่า และหายไปในความมืด
รุ่งเช้าโต้งตื่น มองไปที่ป่าและหายตัวไป เก่งมาหาที่บ้านนั่งดูรูปโต้ง รูปแรกเป็นโต้งไปทะเลวัยใส รูปต่อมารูปโต้งใส่ชุดทหาร (เหมือนเก่ง)
จากฉากแรก ศพของชายคนนั้นอาจจะเป็นเศษซากของความสัมพันธ์อันฉาบฉวย เต็มไปด้วยเล่ห์กล ปลิ้นปล่อนระหว่างโต้งกับเก่ง ที่ทุกคนก็เห็นว่าเป็นเรื่องชาชินสำหรับสังคมสมัยใหม่
ตอนแรกจึงเป็นเหมือนการวิพากย์วิจารณ์ความรักที่เต็มไปด้วยความอยากอันเกิดแต่ความดิบเถื่อนในจิตใจของคนเรา ขาดความใกล้ชิด ความเข้าใจระหว่างกัน หรือแม้แต่พยายามเปลี่ยนอีกคนให้กลายเป็นอีกคนตามที่เราขาดหวังไว้ ความสัมพันธ์ดังกล่าวจึงเป็นอะไรที่ฉับไว รวดเร็ว แต่ก็เปราะบาง และผ่านไปเร็วเช่นกัน
ตอนที่ 2 (ในป่า)
เริ่มด้วยการเล่านิทานชาวบ้าน เกี่ยวกับผีเสือ (สัตว์ประหลาด) สามารถปลอมแปลงตัวเองไปหลอกชาวบ้าน ที่ถูกฆ่าโดยนายพรานและวิญญาณของผู้ที่ถูกฆ่าก็จะไปสิ่งในตัวคนฆ่า คล้ายกับเก่งที่หลอกคนอื่นไปทั่ว รวมทั้งโต้ง
นายทหารเข้าป่าเพื่อตามหาผีเสือที่คอยฆ่าสัตว์เลี้ยงของชาวบ้าน เขาดูคุ้นชินกับรอยเท้าหรือเลือด เหล่านั้น “ราวกับว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเสือผีมาก่อน” แต่นายทหารกับเก่งต่างกันตรงที่นายหารกลับดูหวาดกลัว ไม่กล้าเผชิญหน้า เหมือนตอนที่เก่งจะเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำลึกลับ)
การสื่อสารต่างๆ ที่เคยมีแบบในสังคมเมืองจบสิ้นลง บทสนทนาในช่วงหลังแถบไม่มี วิทยุใช้การไม่ได้ ปล่อยให้แสงของธรรมชาติช่วยนำทาง
เมื่อนายทหารเข้ามาในป่า จึงเหมือนเข้ามาในจิตใจตัวเองเพื่อค้นหาความจริงในก้นบึ้งที่มีแต่สัตว์ร้ายเท่านั้นที่เข้ามาได้และจะได้รับความจริงออกไป หากยังดื้อรั้นต่อต้าน ไม่ใช้ความเป็นสัตว์ (ยังพยายามใช้วิทยุ กินอาหารแบบคน) ก็จะไม่ได้รับรู้ความจริง
ผีเสือพยายามเข้าไปในฝันของนายทหาร เพราฝันเป็นสิ่งเดียวในตัวนายทหาร ที่แสดงสัญชาตญาณออกมา เราไม่สามารถควบคุมจิตใจตัวเองได้ในฝัน
นายทหารเดินหลงในป่า (เดินแล้วก็ยังพบกองอุจจาระของตัวเอง) เพราะยังไม่ยอมแสดงความสัตว์ออกมา
ผีเสือสนใจในวิทยุสื่อสารเพราะมันต่างจากเขาในแง่ที่มันเป็นของๆ คน แต่เขาเป็นสัตว์ประหลาด (กึ่งคนกึ่งสัตว์) ผีเสือสามารถพูดกับวิทยุได้ “ราวกับว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นคนมาก่อน”
นายทหารแพ้ให้กับผีเสือถึงแม้ว่าผีเสือจะดูอิดโรย และนายทหารจะเพิ่งกินข้าวและตื่นได้ไม่นาน แต่ก็ไม่มีพละกำลังจะสู้กับผีเสือ เพราะเขายังเป็นคนในถิ่นของสัตว์ป่า
นายทหารไม่ยิงผีเสือทั้งที่มีโอกาส เพราะเขายังไม่กล้าที่จะควบคุมสัตว์ร้าย เขาจ้องที่มือของตัวเอง (เหมือนป้าอรจ้องมือตัวเอง ในสุดเสน่หา) แต่ในครั้งนี้เขากลับสงสัยว่าทำไมเขาจึงไม่ฆ่าผีเสือ
ผีเสือทิ้งสิ่งของต่างๆ ในสภาพที่ใช้งานไม่ได้เป็นการบอกกลายๆว่า ให้เลิกใช้สิ่งของเหล่านี้ แล้วแสดงสัตว์ร้ายในตัวออกมา
นายทหารพบซากวัวที่ถูกฆ่าโดยผีเสือ ซากของสัตว์จึงเป็นเหมือนสิ่งที่หลงเหลือจากการแสดงสัตว์ร้ายในตัวตนออกมานายทหารกลับขเ้าไปในป่าอีกครั้ง แต่ในฐานะของสัตว์ป่า เขาเริ่มที่จะพูดคุยกับลิงได้ มาเตือนว่าผีเสือเป็นเหมือนเพื่อนและศัตรู (แท้จริงแล้วสัตว์ร้ายก็เป็นสิ่งกลางๆ ถ้าหากเราควบคุมมันอย่างเหมาะสมได้ก็จะดี) บอกให้นายทหารเลือกที่จะฆ่าเสือ เพื่อที่จะรับเอาวิญญาณมันเข้ามา (ฆ่าเสือจึงเป็นเมหือนการที่เราควบคุมสัตว์ร้ายในตัวได้) หรือเลือกที่จะให้มันฆ่าเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของมัน (ถูกเสือฆ่าก็จึงเหมือนเราปล่อยให้สัตว์ร้ายในตัวเราเป็นอิสระ)
นายทหารใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์ป่า ฆ่าปลากิน และเขาเลือกที่จะฆ่าเสือ แต่ผลจากการฆ่าผีเสือเขาบังเอิญไปทำร้ายอีกชีวิต คือ วัว วิญญาณ ของมันหายเข้าไปในป่า ราวกับเป็นการบอกว่าบัดนี้ นายทหารได้กลายเป็นสัตว์ร้ายแล้ว แสงของหิ่งห้อยที่เคยมีก็หายไป ราวกับเป็นการย้ำเตือนว่านายทหารได้มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของป่า (ในใจเรา)
ผู้กำกับได้เฉลยเรื่องราวว่า ความจริงแล้วเสียงปืนที่ดังขึ้น เสียงอะไรบาอย่างคลานบนพื้น เสียงกระทบไม้ที่ดังขึ้นในตอนแรกก็คือเสียงของนายทหารเอง ราวทั้งคำพูดของนายทหารเองที่เมื่อเผชิญหน้ากับเสือในฐานะสัตว์ร้ายที่ว่า เขาจ้องเสือเห็นตัวเอง คงไม่มีอะไรที่น่าหวาดกลัวไปกว่าการได้รับรู้ว่าชั่วร้ายที่สุดโต่งราวกับสัตว์ป่า
ตอนท้ายของหนังมีเสียงของเลื่อยตัดไม้ ราวกับเป็นการบอกว่า การทำลายป่าก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่แสดงถึงความโลภ อยากได้อยากมีของมนุษย์
ภาพยนตร์เรื่องนี้คือการนำเรื่องราวพื้นฐานของจิตใจมนุษย์ที่หากพูดไปแล้วก็ปนเปกันระกว่างส่วนดีและส่วนเลววนเวียนปนเปกับอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เราทุกคนต่างก็ไม่ใช่ทั้งคนที่มีสติ รับรู้ ควบคุมสัตว์ร้ายให้เชื่องได้ตลอดเวลา เราจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ระหว่างคนและสัตว์ป่า เราไม่ต่างอะไรกับสัตว์ประหลาดที่เมื่อความมืดมนในจิตใจได้มาถึงเสียงเสือคำรามก็จะดังกึกก้องทั่งพื้นป่า “วนาลี”
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ https://www.facebook.com/survival.king