ออกอาการ “เครื่องรวน” ให้เห็นกันแล้ว! กับรัฐนาวา “บิ๊กตู่ -พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ออกสตาร์ทมาเร็วแรง ราวรถถังติดเทอร์โบ ทำอะไรก็รวดเร็วทันใจถูกอกถูกใจแม่ยกกันไปหมด
แต่วันนี้กลับออกอาการเครื่องรวนไปทั้งแถบ นโยบายที่เคยชูเป็นผลงาน “ชิ้นโบว์แดง” ทำท่าจะออกน้ำออกทะเลไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้ อย่างการปฏิรูปโครงสร้างพลังงาน หรือสัมปทานปิโตรเลียมที่ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ แต่พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชาไปซะฉิบ เพราะทำไปทำมานายกฯกลับมาสะดุดเงาตนเองไปซะงั้น
บทจะยกเครื่องปฏิรูปภาษีก็ทำท่าจะออกน้ำออกทะเล ไม่รู้จะเสริมสร้างหรือ “บั่นทอน” ศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศกันแน่ เพราะเล่นจะปรับขึ้นทั้งภาษีแวต ปัดฝุ่นภาษีบ้านและที่ดิน ภาษีมรดกและภาษีการให้ที่แต่ละตัวนั้น ล้วนจ่อจะเรียกแขกให้งานเข้าจนทำเอาชาวบ้านร้านรวงสวดชยัญโตกันกระหึ่มเมือง!
บทจะลุกขึ้นมาเร่งเครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่กำลัง “ติดหล่ม” ก็ออกอาการเครื่องรวนขึ้นมาซะงั้น อย่างโครงการรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายที่รัฐบาลตั้งแท่นจะประเคนสัมปทานไปให้เอกชนรายเดิมคือกลุ่ม BMCL สวาปามนั้น นัยว่า “ดั้นเมฆ” ไปถึงขั้นคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ความเห็นชอบกันไปแล้ว เพิ่งจะถึงบางอ้อว่า แหกมติ ครม.ปี 2553 และแหกกฎหมาย พรบ.ร่วมทุนปี 2535 และปี 2556 จนต้องระร่ำระลักรื้อมติ ครม.ตนเองให้วุ่น
ล่าสุดก็ดอดไปปัดฝุ่นโครงการรถไฟความเร็วสูง “ไฮสปีดเทรน” ขึ้นมาดำเนินการ ทั้งที่ก่อนหน้าเพิ่งจะก่นด่ารัฐบาลชุดก่อนจนเสียศูนย์ และหันไปตีฆ้องชูรถไฟความเร็วปานกลาง ที่นัยว่าสอดคล้องกับประเทศไทย แต่ไหงทำไปทำมา กลับไปขุดเอารถไฟ “ไฮสปีดเทรน” ขึ้นมาผลักดันกันสุดลิ่มไม่มีปีไม่มีขลุ่ยขึ้นมาซะงั้น แถมยังตั้งแท่นจะประเคนให้กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่โดยไม่ต้องประมูลเสียอีก
ช่างไม่ไว้หน้าองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบความโปร่งใส เครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น หรือองค์กรอิสระทั้งหลายว่าจะตอบข้อกังขาของผู้คนในสังคมกันว่าอย่างไร?
กับเรื่องที่จั่วหัวไว้ เรื่องของ “วิชั่นคน ทอท.” ก็เรื่องที่ฝ่ายบริหารบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ที่ลุกขึ้นมาสั่งล้มโมเดลลงทุน “แอร์พอร์ตซิตี้” สนามบินดอนเมืองที่จะใช้พื้นที่ คลังสินค้า 3-4 ผุด Community Mall เพื่อหารายได้เสริมสร้าง Value Added ให้กับ ทอท.เป็นแอร์พอร์ตซิตี้ โดยจะหันไปปัดฝุ่นโครงการลงทุนศูนย์ซ่อมเครื่องบินมาดำเนินการแทน
โดยนายประสงค์ พูนธเนศ ประธานบอร์ด ทอท.ระบุว่าบอร์ด ทอท.ชุดปัจจุบันจะไม่สานต่อโครงการ “แอร์พอร์ตซิตี้” ตามแผนพัฒนาที่ นายเมฆินทร์ เพ็ชรพลาย อดีตผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.วางไลน์ไว้ เพราะนโยบายของบอร์ดชุดนี้มองว่าแผนการเพิ่มรายได้นอกเหนือจากธุรกิจการบิน (Non-Aero) ในพื้นที่นี้ ไม่จำเป็น ต้องพัฒนาโครงการใหญ่ในลักษณะนี้ ยังมีแนวทางอื่นๆ ในการเพิ่มรายได้ ส่วนนี้ได้
โดยเฉพาะการพัฒนาให้เกิดโครงการศูนย์ซ่อมเครื่องบิน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษา โดยตั้งเป้าผลักดันให้เป็นศูนย์กลางซ่อมเครื่องบินในระดับอาเซียน ซึ่ง ทอท.จะพัฒนาเป็นโรงเก็บเครื่องบิน (แฮงก้า) เพื่อใช้เป็นศูนย์ซ่อมเครื่องบินในแบบ Line Maintenance หรือบริการตรวจทางเทคนิคและซ่อมบำรุงอากาศยาน โดยจะร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ อาทิ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
พร้อมคุยโอ่การผลักดันให้เกิดศูนย์ซ่อมในสนามบินดอนเมือง ยังถือเป็นแผนสำคัญของการเพิ่มรายได้ ในส่วนนอกเหนือธุรกิจการบินในสนามบินดอนเมืองให้ขยับจาก 40% มาอยู่ที่ 50% ด้วย และยังเป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับการรองรับสายการบิน ที่เป็นลูกค้าหลักของสนามบินมากกว่า โครงการแอร์พอร์ตซิตี้เสียอีก
เห็น “วิชั่น” ของผู้บริหาร ทอท.ยุคนี้แล้ว ก็ได้แต่ปลงในอนาคตขององค์กรนี้จริงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดสนามบินดอนเมืองที่รัฐลงทุนไปเป็นแสนล้าน มีศักยภาพและขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้ 30-40 ล้านคน อยู่ดีๆ วันดีคืนดีคน ทอท.ก็กลับ “ปิดตาย” สนามบินแห่งนี้ ย้ายฐานการบินไปสุวรรณภูมิ แต่พอลมการเมืองปรับเปลี่ยนให้ปัดฝุ่นสนามบินดอนเมืองกลับมาใช้ ก็สนองตอบได้ทันควันโดยไม่ตะขิดตะขวงใจใดๆ ทั้งสิ้น
ศักยภาพของของคลังสินค้าที่มีพื้นที่ไม่ถึง 20 ไร่ ซึ่งวันนี้มีรถไฟฟ้า 2 สาย คือ รถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-ดอนเอง-รังสิต และรถไฟฟ้าสายสีเขียว พหลโยธิน-ลำลูกกา ซึ่งจะพาผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวเรือนแสนมาใช้บริการอยู่เบื้องหน้า ไม่รวมกับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวอีกปีละ 20-30 ล้านคนที่ใช้บริการสนามบินดอนเมืองอยู่แล้วนั้น
หากคนมีวิสัยทัศน์แล้วเป็นต้องดีดนิ้ว “ดังเป๊าะ” ว่านี่คืออะไร? ขนาดบริษัทเอกชนที่แค่เจียดพื้นที่ไม่กี่พันกี่หมื่นตารางเมตรในสนามบินสุวรรณภูมิจัดตั้งเคาท์เตอร์ปลอดภาษีขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวแต่ละปียังสร้างดอกผลกำรี้กำไรให้ “เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี” ปีละนับหมื่นๆ ล้านบาท หาก ทอท.จัดตั้งเมืองสนามบิน หรือ “แอร์พอร์ตซิตี้” จะสร้างรายได้ที่เป็นเศรษฐกิจคู่ขนาน หรือ Dual Economy ให้แก่ ทอท.มากโขแค่ไหนนั้น
...ไม่ต้องใช้หัวสมองอันน้อยนิดคิดแทนก็ยังมองออก
แต่แทนที่จะอาศัยจุดแข็งที่มีอยู่ดังกล่าวสรรสร้างกิจกรรมที่จะใช้ประโยชน์จากฐานผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวเรือนแสนคนเหล่านี้ เพื่อสร้าง Value Added ให้แก่องค์กร แต่คน ทอท.กลับคิดจะเอาพื้นที่นี้ไปทำแค่ศูนย์ซ่อม ทำที่จอดเครื่องบินที่รอการตรวจเช็คซึ่งต้องจอดแช่กันเป็นสัปดาห์หรือเป็นแรมเดือนแทนซะงั้น
มันช่างไม่ต่างอะไรไปกับการเปิดอู่ซ่อมรถใต้สถานีรถไฟฟ้ายังไงยังงั้น!!!
ที่สำคัญแนวคิดที่บอร์ด ทอท.ชูเป็น “โมเดล” ในการสร้างรายได้คู่ขนานให้กับองค์กร ทอท.ด้วยการปัดฝุ่นแนวคิดในการจัดตั้งศูนย์ซ่อมเครื่องบินที่ไม่เพียงจะต้องใช้พื้นที่ในการทดสอบระบบ ทดสอบเครื่องยนต์ ครางเสียงกระหึ่มเมือง ที่ไม่รู้จะกระเตงผ่าน EIA ไปได้อย่างไรนั้น
หากคน ทอท.มีวิสัยทัศน์จริงก็คงต้องรู้ด้วยสามัญสำนึกว่า ทอท.สามารถจะโยกเอากิจกรรมดังกล่าวไปตั้งอยู่ ณ สนามบินแห่งใดๆ ของ ทอท.ที่มีพื้นที่อำนวยได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะสนามบินหาดใหญ่ สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย หรือสนามบินอู่ตะเภา ไม่ใช่นำมายัดเยียดอยู่ในพื้นที่ที่จำกัดมีพื้นที่อยู่เพียงน้อยนิดไม่ถึง 10 ไร่ใจกลางเมือง ซึ่งไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงเช่นนี้
ก็ไม่รู้วิชั่นอย่างนี้ รมต.คมนาคม พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง และนายกฯ “บิ๊กตู่- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เก็บไว้ทำซากอะไร?
หรือว่าเป็น “วิชั่นที่สอดคล้องกับท่านผู้นำรัฐบาลที่กำลังเมาหมัด สะดุดเงาตัวเองอยู่!!!
วิชั่นคน ทอท.
แต่วันนี้กลับออกอาการเครื่องรวนไปทั้งแถบ นโยบายที่เคยชูเป็นผลงาน “ชิ้นโบว์แดง” ทำท่าจะออกน้ำออกทะเลไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้ อย่างการปฏิรูปโครงสร้างพลังงาน หรือสัมปทานปิโตรเลียมที่ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ แต่พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชาไปซะฉิบ เพราะทำไปทำมานายกฯกลับมาสะดุดเงาตนเองไปซะงั้น
บทจะยกเครื่องปฏิรูปภาษีก็ทำท่าจะออกน้ำออกทะเล ไม่รู้จะเสริมสร้างหรือ “บั่นทอน” ศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศกันแน่ เพราะเล่นจะปรับขึ้นทั้งภาษีแวต ปัดฝุ่นภาษีบ้านและที่ดิน ภาษีมรดกและภาษีการให้ที่แต่ละตัวนั้น ล้วนจ่อจะเรียกแขกให้งานเข้าจนทำเอาชาวบ้านร้านรวงสวดชยัญโตกันกระหึ่มเมือง!
บทจะลุกขึ้นมาเร่งเครื่องยนต์เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่กำลัง “ติดหล่ม” ก็ออกอาการเครื่องรวนขึ้นมาซะงั้น อย่างโครงการรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายที่รัฐบาลตั้งแท่นจะประเคนสัมปทานไปให้เอกชนรายเดิมคือกลุ่ม BMCL สวาปามนั้น นัยว่า “ดั้นเมฆ” ไปถึงขั้นคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ความเห็นชอบกันไปแล้ว เพิ่งจะถึงบางอ้อว่า แหกมติ ครม.ปี 2553 และแหกกฎหมาย พรบ.ร่วมทุนปี 2535 และปี 2556 จนต้องระร่ำระลักรื้อมติ ครม.ตนเองให้วุ่น
ล่าสุดก็ดอดไปปัดฝุ่นโครงการรถไฟความเร็วสูง “ไฮสปีดเทรน” ขึ้นมาดำเนินการ ทั้งที่ก่อนหน้าเพิ่งจะก่นด่ารัฐบาลชุดก่อนจนเสียศูนย์ และหันไปตีฆ้องชูรถไฟความเร็วปานกลาง ที่นัยว่าสอดคล้องกับประเทศไทย แต่ไหงทำไปทำมา กลับไปขุดเอารถไฟ “ไฮสปีดเทรน” ขึ้นมาผลักดันกันสุดลิ่มไม่มีปีไม่มีขลุ่ยขึ้นมาซะงั้น แถมยังตั้งแท่นจะประเคนให้กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่โดยไม่ต้องประมูลเสียอีก
ช่างไม่ไว้หน้าองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบความโปร่งใส เครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น หรือองค์กรอิสระทั้งหลายว่าจะตอบข้อกังขาของผู้คนในสังคมกันว่าอย่างไร?
กับเรื่องที่จั่วหัวไว้ เรื่องของ “วิชั่นคน ทอท.” ก็เรื่องที่ฝ่ายบริหารบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ที่ลุกขึ้นมาสั่งล้มโมเดลลงทุน “แอร์พอร์ตซิตี้” สนามบินดอนเมืองที่จะใช้พื้นที่ คลังสินค้า 3-4 ผุด Community Mall เพื่อหารายได้เสริมสร้าง Value Added ให้กับ ทอท.เป็นแอร์พอร์ตซิตี้ โดยจะหันไปปัดฝุ่นโครงการลงทุนศูนย์ซ่อมเครื่องบินมาดำเนินการแทน
โดยนายประสงค์ พูนธเนศ ประธานบอร์ด ทอท.ระบุว่าบอร์ด ทอท.ชุดปัจจุบันจะไม่สานต่อโครงการ “แอร์พอร์ตซิตี้” ตามแผนพัฒนาที่ นายเมฆินทร์ เพ็ชรพลาย อดีตผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.วางไลน์ไว้ เพราะนโยบายของบอร์ดชุดนี้มองว่าแผนการเพิ่มรายได้นอกเหนือจากธุรกิจการบิน (Non-Aero) ในพื้นที่นี้ ไม่จำเป็น ต้องพัฒนาโครงการใหญ่ในลักษณะนี้ ยังมีแนวทางอื่นๆ ในการเพิ่มรายได้ ส่วนนี้ได้
โดยเฉพาะการพัฒนาให้เกิดโครงการศูนย์ซ่อมเครื่องบิน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษา โดยตั้งเป้าผลักดันให้เป็นศูนย์กลางซ่อมเครื่องบินในระดับอาเซียน ซึ่ง ทอท.จะพัฒนาเป็นโรงเก็บเครื่องบิน (แฮงก้า) เพื่อใช้เป็นศูนย์ซ่อมเครื่องบินในแบบ Line Maintenance หรือบริการตรวจทางเทคนิคและซ่อมบำรุงอากาศยาน โดยจะร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ อาทิ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นต้น
พร้อมคุยโอ่การผลักดันให้เกิดศูนย์ซ่อมในสนามบินดอนเมือง ยังถือเป็นแผนสำคัญของการเพิ่มรายได้ ในส่วนนอกเหนือธุรกิจการบินในสนามบินดอนเมืองให้ขยับจาก 40% มาอยู่ที่ 50% ด้วย และยังเป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับการรองรับสายการบิน ที่เป็นลูกค้าหลักของสนามบินมากกว่า โครงการแอร์พอร์ตซิตี้เสียอีก
เห็น “วิชั่น” ของผู้บริหาร ทอท.ยุคนี้แล้ว ก็ได้แต่ปลงในอนาคตขององค์กรนี้จริงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดสนามบินดอนเมืองที่รัฐลงทุนไปเป็นแสนล้าน มีศักยภาพและขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารได้ 30-40 ล้านคน อยู่ดีๆ วันดีคืนดีคน ทอท.ก็กลับ “ปิดตาย” สนามบินแห่งนี้ ย้ายฐานการบินไปสุวรรณภูมิ แต่พอลมการเมืองปรับเปลี่ยนให้ปัดฝุ่นสนามบินดอนเมืองกลับมาใช้ ก็สนองตอบได้ทันควันโดยไม่ตะขิดตะขวงใจใดๆ ทั้งสิ้น
ศักยภาพของของคลังสินค้าที่มีพื้นที่ไม่ถึง 20 ไร่ ซึ่งวันนี้มีรถไฟฟ้า 2 สาย คือ รถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-ดอนเอง-รังสิต และรถไฟฟ้าสายสีเขียว พหลโยธิน-ลำลูกกา ซึ่งจะพาผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวเรือนแสนมาใช้บริการอยู่เบื้องหน้า ไม่รวมกับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวอีกปีละ 20-30 ล้านคนที่ใช้บริการสนามบินดอนเมืองอยู่แล้วนั้น
หากคนมีวิสัยทัศน์แล้วเป็นต้องดีดนิ้ว “ดังเป๊าะ” ว่านี่คืออะไร? ขนาดบริษัทเอกชนที่แค่เจียดพื้นที่ไม่กี่พันกี่หมื่นตารางเมตรในสนามบินสุวรรณภูมิจัดตั้งเคาท์เตอร์ปลอดภาษีขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวแต่ละปียังสร้างดอกผลกำรี้กำไรให้ “เจ้าพ่อดิวตี้ฟรี” ปีละนับหมื่นๆ ล้านบาท หาก ทอท.จัดตั้งเมืองสนามบิน หรือ “แอร์พอร์ตซิตี้” จะสร้างรายได้ที่เป็นเศรษฐกิจคู่ขนาน หรือ Dual Economy ให้แก่ ทอท.มากโขแค่ไหนนั้น
...ไม่ต้องใช้หัวสมองอันน้อยนิดคิดแทนก็ยังมองออก
แต่แทนที่จะอาศัยจุดแข็งที่มีอยู่ดังกล่าวสรรสร้างกิจกรรมที่จะใช้ประโยชน์จากฐานผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวเรือนแสนคนเหล่านี้ เพื่อสร้าง Value Added ให้แก่องค์กร แต่คน ทอท.กลับคิดจะเอาพื้นที่นี้ไปทำแค่ศูนย์ซ่อม ทำที่จอดเครื่องบินที่รอการตรวจเช็คซึ่งต้องจอดแช่กันเป็นสัปดาห์หรือเป็นแรมเดือนแทนซะงั้น
มันช่างไม่ต่างอะไรไปกับการเปิดอู่ซ่อมรถใต้สถานีรถไฟฟ้ายังไงยังงั้น!!!
ที่สำคัญแนวคิดที่บอร์ด ทอท.ชูเป็น “โมเดล” ในการสร้างรายได้คู่ขนานให้กับองค์กร ทอท.ด้วยการปัดฝุ่นแนวคิดในการจัดตั้งศูนย์ซ่อมเครื่องบินที่ไม่เพียงจะต้องใช้พื้นที่ในการทดสอบระบบ ทดสอบเครื่องยนต์ ครางเสียงกระหึ่มเมือง ที่ไม่รู้จะกระเตงผ่าน EIA ไปได้อย่างไรนั้น
หากคน ทอท.มีวิสัยทัศน์จริงก็คงต้องรู้ด้วยสามัญสำนึกว่า ทอท.สามารถจะโยกเอากิจกรรมดังกล่าวไปตั้งอยู่ ณ สนามบินแห่งใดๆ ของ ทอท.ที่มีพื้นที่อำนวยได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะสนามบินหาดใหญ่ สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย หรือสนามบินอู่ตะเภา ไม่ใช่นำมายัดเยียดอยู่ในพื้นที่ที่จำกัดมีพื้นที่อยู่เพียงน้อยนิดไม่ถึง 10 ไร่ใจกลางเมือง ซึ่งไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงเช่นนี้
ก็ไม่รู้วิชั่นอย่างนี้ รมต.คมนาคม พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง และนายกฯ “บิ๊กตู่- พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เก็บไว้ทำซากอะไร?
หรือว่าเป็น “วิชั่นที่สอดคล้องกับท่านผู้นำรัฐบาลที่กำลังเมาหมัด สะดุดเงาตัวเองอยู่!!!