ผมคิดแบบคนโง่ๆ ทางเศรษฐกิจเลยนะครับ ขึ้นแค่ 3% เอง สมมติของราคา 100 บาท จากเดิมคิด VAT 107 บาท ก็จะกลายเป็น 110 บาท
.
จริงอยู่ ของชิ้นเล็กชิ้นน้อย เครื่องอุปโภคบริโภค ยังไงก็ต้องขึ้นราคา แต่อย่าลืมว่า สินค้าจำพวกนั้น กระทรวงพาณิชย์ประกาศให้เป็นสินค้าควบคุมนะครับ
.
ตามนี้เลย http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2557/E/018/26.PDF
.
ดังนั้นถึงผู้ประกอบการจะปรับขึ้นราคา มันก็ยังมีเพดานของมันอยู่ แล้วถ้าเกิดมองว่าเพดานมันกดมากไป ยังไงขั้นตอนก็คือผู้ประกอบการต้องไปเจรจากับรัฐก่อน ไม่สามารถขึ้นเอาเองได้ตามใจชอบ ท้ายที่สุดก็จะมีการต่อรองกันอยู่ดี ราคาของก็ไม่น่าจะแพงขึ้นแบบก้าวกระโดด
.
แล้วสินค้าไหนที่จะมีผลกระทบจริงๆ ผมคิดว่าน่าจะเป็นพวกสินค้าราคาแพงๆ ทั้งหลายมากกว่า เช่น การไปชมภาพยนตร์ ไปกินอาหารร้านหรูๆ ไปดูคอนเสิร์ต สินค้าไอทีจำพวกสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ ค่าโรงแรม ฯลฯ คืออะไรที่รัฐไม่ควบคุมนั่นแหละ ก็ถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยกันไป ตรงนี้ใครอยากซื้อก็ต้องรับได้ที่ราคาจะเพิ่มขึ้น
.
มันไม่เหมือนภาษีบ้านและที่ดิน ที่กำลังจะเก็บตอนนี้นะครับ อย่าลืมว่าสำหรับคนรายได้น้อย ( หรือแม้แต่คนชั้นกลาง มนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย ) มักจะยอมกินอิ่มน้อยหน่อย บางคนก็ยอมอดบ้างบางมื้อ ขอให้ได้มีเงินผ่อนบ้านบ้าง หรือจ่ายค่าเช่าห้องบ้าง เพราะอย่างน้อยที่สุด “ถึงอดมื้อกินมื้อ ก็ยังมีที่ให้ซุกหัวนอน” แต่ถ้าเก็บภาษีตรงนี้ ราคาบ้านจะเพิ่มขึ้นไหม? หรือเจ้าของห้องเช่าจะขึ้นค่าเช่าหรือเปล่า?
.
ที่น่าห่วงเลย..คือพวกตึกแถวในเมือง ที่ขายข้าวแกง อาหารตามสั่ง ตัดผม เสริมสวย คิดราคาถูกๆ ต่อไปถ้าเก็บภาษีตรงนี้ แน่นอนว่าโดนอัตราอาคารพาณิชย์นะครับ ( 0.5-2% ) ดังนั้นท้ายที่สุด ร้านพวกนี้ก็จะต้องปรับราคาขึ้นอยู่ดี ( คงได้เห็นราคาผัดกระเพราใน กทม. หรือเมืองท่องเที่ยวทั้งหลาย จานละ 100 บาท ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในห้าง ก็คราวนี้แหละครับ )
.
.
สงสัยว่าการขึ้น VAT เป็น 10% มันจะส่งผลเสียยิ่งกว่าเก็บภาษีบ้านและที่ดินแบบถ้วนหน้า จริงๆ หรอครับ?