ชีวิตภายในพระแม่มารีย์ - ตัดสินประหารพระผู้ไถ่

กระทู้สนทนา
ชีวิตภายในพระแม่มารีย์ ได้รับการเผยแสดงจากพระแม่มารีย์เกี่ยวกับเรื่องราว ชีวิต ความคิด คำอธิฐาน รายละเอียดต่างๆ ขณะที่พระแม่ยังใช้ชีวิตอยู่บนโลก ซึ่งไม่มีปรากฏในพระคัมภีร์ โดยผ่านทางบรรดานักบุญและผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่าน อาทิเช่น นักบุญ Elizabeth of Schoenau , นักบุญ Bridget of Sweden (ผู้ประพันธ์บทภาวนา 15 บท) , บุญราศี คุณแม่ Mary of Agreda  และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซิสเตอร์ Anna Catherine Emmerich ผู้ได้รับพระพรพิเศษจากพระเป็นเจ้าในการหยั่งรู้ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยการเผยให้พวกเขาได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เพื่อมนุษยชาติจะได้รับรู้และเข้าใจในความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ของพระผู้ไถ่ และพระมารดาได้อย่างลึกซึ้ง และชัดเจนมากยิ่งขึ้น

                        *  *  *  *   *  *  *  *  *  *    *  *  *  *  *  *  *   *  *  *  *  *  *  *  *
บทที่ 30


มหาทรมาน - ตัดสินประหารพระผู้ไถ่


หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น คายาฟาส ก็ส่งพระเยซูเจ้าไปหาปิลาต แม้ยอห์นได้บอกพระแม่ไว้แล้วว่า พระนางจะเสียใจจนแทบหัวใจสลายที่จะได้เห็นลูกของตนถูกทุบตี จนบวมเป่งแทบจำไม่ได้ พระแม่มารีย์เอาเสื้อคลุมยาว และผ้าคลุมหน้ามาห่มพลางพูดอย่างหนักแน่นว่า : "ให้เราตาม พระบุตรของฉันไปบ้านปิลาตกันเถอะ ตาของฉันต้องได้เห็นพระองค์อีก"

ในถนนซึ่งผู้คนแออัด พระนางต้องได้เผชิญกับคำด่าแช่งหยาบคายของพวกมนุษย์ใจอำมหิต พูดด่าถึงโทษและชะตากรรมของพระผู้ไถ่ กระนั้นก็ดี พระนางก็ยังคงสวดภาวนาให้พวกเขาทุกคน


ครั้นแล้วก็มาถึงถนนเลี้ยวหักมุม พระแม่ก็เห็นขบวนนักโทษ พระนางได้เห็นพระเยซูเจ้า ขณะที่พระองค์แทบก้าวขาไม่ออก ถูกมัดและล่ามโซ่ ตามตัวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียวและเปื้อนเปรอะด้วยน้ำลาย และยังถูกลากดึงไปข้างหน้าเรื่อยๆ โดยโซ่ที่พวกทหารกระชากอย่างไร้ความปราณี ตลอดเวลาพระองค์ทรงเงียบ สุภาพและอ่อนโยน ยอมรับคำด่าแช่งของทหารและประชาชนที่มามุงดู ในนาทีหนึ่งแม่พระตกใจมากจนร้องว่า "นี่ คือลูกของฉันหรือ? โอ้ เยซู...  เยซู....ของฉัน"

ครั้นแล้วพระนางกราบลงกับพื้นดินนมัสการพระเจ้าด้วยความร้อนรน เพื่อชดเชยการสบประมาทต่างๆ ต่อพระเจ้า และเมื่อพระองค์ทรงดำเนินผ่านมาใกล้พระนาง ทั้งพระมารดาและพระบุตร ต่างก็แลกเปลี่ยนความรักต่อกันและกัน พร้อมทั้งความเห็นอกเห็นใจ ด้วยกระแสจิตและสายตา
โดยเดินตามพระเยซูอย่างกล้าหาญ พระแม่มารีย์ก็มาถึงจวนของปิลาต และจากมุมหนึ่งของศาล พระนางก็ได้เห็นการดำเนินคดีแบบโรมันเป็นครั้งแรก พระนางมองเห็นพวกศัตรูโจมตีด้วยความเกลียดชังอย่างป่าเถื่อน ทั้งยังตั้งข้อหาพระองค์อย่างไม่ปราณี เพื่อจะให้พระองค์ถึงตาย พระนางสะเทือนใจอย่างยิ่ง จนต้องยกชายเสื้อขึ้นปิดหน้าและร้องไห้จนน้ำตาเป็นโลหิต บัดนี้พระนางอธิฐานขอ หากเป็นไปได้พระนางอยากติดตามพระองค์ไปจนวาระสุดท้าย และนอกนั้นพระนางยังภาวนาให้ปิลาตมองเห็นความจริงและความไร้มลทินของพระเยซูเจ้าอย่างแจ่มชัด และพระเจ้าก็ทรงอนุมัติให้ตามคำขอของพระนาง

ระหว่างที่พระมหาไถ่ถูกลากลู่ถูกังทั้งไปและกลับจาก วังของกษัตริย์เฮโรด พระแม่ได้สวดภาวนาขอให้เทวดาของพระเจ้าช่วยพยุงพระองค์ไว้มิให้ล้มลงกับพื้นและถูกเหยียบกระทืบจากคลื่นมหาชนเหล่านี้


เมื่อพระองค์ถูกนำตัวไปขึ้นศาลปิลาตอีกครั้ง พวกผู้หญิงได้ยินเสียงเล่าลือกันว่า ผู้ว่าชาวโรมันคนนี้กำลังพยายามหาทางจะปล่อยพระองค์ ใจของพระแม่เต้นแรง ด้วยความหวังและหวาดกลัว  ราวกับว่ามันกำลังจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ อย่างโหดร้าย ความปรารถนาตามธรรมชาติ ซึ่งต้องการความปลอดภัยของลูก และการยินยอมถ่อมตนตามน้ำพระทัยพระเจ้า กำลังขัดสู้กันอยู่


แต่ไม่ช้าปิลาตผู้ใจอ่อน ต้องยอมแพ้ต่อการโห่ร้องของประชาชนให้ปล่อยบานาบัส และลงโทษพระเยซูเจ้าให้ถูกเฆี่ยน


เหมือนกับลูกแกะไร้มลทิน พระองค์ถูกถอดเสื้อ และมัดติดกับต้นเสา ชั่วนาทีหนึ่ง พระองค์ทรงหันพระพักต์มองไปยังพระมารดา ซึ่งกำลังยืนอยู่กับกลุ่มสตรีใจศรัทธา ไม่ไกลจากสถานที่เฆี่ยนนัก ราวกับจะกระซิบแก่พระนางว่า "โอ้ คุณแม่ที่รัก จงหันหน้าไปจากลูกเถิด" ถึงตอนนี้ พระมารดาก็เป็นลม ล้มลงในอ้อมแขนของเพื่อนๆกลุ่มสตรีเหล่านั้น


กระนั้นก็ดี ตลอดเวลา 45 นาที พระนางได้เห็นในทิพยทัศน์ (vision)  การเฆี่ยนตีที่สุดหฤโหดนั่น โดยทาสชาวอียิปต์ 3 คู่ ผู้ด่าแช่ง ใช้เชือกแข็งที่มีปลายเป็นหนามแหลม และโซ่ซึ่งมีตะขอเหล็กแหลม

    
พระแม่ที่ร่วมใจในความทุกข์ด้วย รู้สึกถึงทุกรอยการเฆี่ยนตีอย่างรุนแรงในร่างกายของพระนาง เท่าๆกับที่มันกระทบพระวรกายของพระเยซูเจ้า หลายครั้ง มีเสียงครวญครางดังออกมาจากปากของพระแม่ พร้อมกับพระบุตร พระนางก็ยกถวายความเจ็บปวดทรมานเหล่านี้ เพื่อลบล้างบาปแห่งประสาทสัมผัสของคนบาปทั้งหลาย


หลังการเฆี่ยนตีอันอำมหิตนั้น เมื่อทรงถูกสวมมงกุฏหนามแล้ว พระองค์ทรงเช็ดพระโลหิตจากพระพักต์ของพระองค์ เพื่อจะได้มองเห็นพระมารดาผู้ตรอมทุกข์ได้ชัดเจนขึ้น ขณะที่พระองค์ดำเนินผ่านไป พระนางยกมือทั้งสองไปที่พระบุตรในความเจ็บปวดแทบขาดใจและมองตามพระองค์ เห็นรอยเท้าที่เปื้อนพระโลหิตหลั่งรินเป็นทาง...


ครั้นแล้วพระแม่มารีย์และ นักบุญมารีย์ มักดาเลนา คุกเข่าลงตรงหน้าเสาทรมานนักโทษ และด้วยเศษผ้าพวกเขาก็เช็ดเอาทุกหยดพระโลหิตศักดิ์สิทธิ์ของพระมหาไถ่    พระแม่มารีย์สวมกระโปรงยาว เกือบสีฟ้าทั้งหมด และมีเสื้อยาวสีขาว และผ้าคลุมศีรษะ ใบหน้าของพระนางออกจะซีด และมีริ้วรอยย่น จมูกแหลมคม และยาว ดวงตามีจุดเป็นสีแดงเนื่องจากร้องไห้เป็นโลหิต กระนั้นก็ดีพระนางยังควบคุมอารมณ์และความรู้สึกได้ดี จึงดูท่านสงบ และยังคงงดงาม   ทุกสิ่งเกี่ยวกับพระแม่ช่างดูบริสุทธิ์ ไร้มลทินและสมเกียรติ จนความศักดิ์สิทธิ์ของพระนางปรากฏแก่สายตาของทุกคนที่พบเห็น แม้อยู่ภายใต้ความกดดันและเจ็บปวดร้านราน แต่อากัปกริยาภายนอกก็ยังคงสงบเสงี่ยม สุภาพและใจดี ขณะที่พระนางหันไปมองรอบๆ การมองและสายตาของพระนางดูช่างสูงศักดิ์จริงๆ เสื้อผ้าของพระแม่ไม่มีจุดด่างพร้อย บ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ ซื่อๆ และศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีแม้สักนาทีเดียวที่พระนางจะไม่ได้สวดภาวนาเพื่อศัตรูและผู้ทรมานพระบุตรของพระนาง


หลังจากการสวมมงกุฏหนาม พระเยซูเจ้าถูกลากไปยังห้องพิพากษา พระแม่มองเห็นในทิพยทัศน์ (vision)  เมื่อปิลาตได้พบพระองค์อีกครั้ง เขาถึงกับครางออกมาว่า "เหตุใด ใจมนุษย์จึงอำมหิตได้ถึงเพียงนี้ ไม่.. นี่ไม่ใช่ความต้องการของเรา เมื่อเราสั่งโบยเขา เราไม่ได้ต้องการให้เขาต้องถูกลงทัณฑ์ถึงเพียงนี้" ปิลาตรู้สึกผิดจนต้องเบือนหน้าหนีไปจากพระเยซูเจ้า และเขาก็ตั้งใจจะช่วยพระองค์จากศัตรูเหล่านั้นให้ได้ เขาถามพระองค์ว่า "จงบอกข้า..ท่านทำสิ่งใด คนของท่าน มอบท่านให้แก่ข้า.  จงบอกข้ามา...ท่านเป็นกษัตริย์หรือ?  อาณาจักรของท่านคืออะไร?" เมื่อเห็นพระองค์ไม่ทรงตอบ ปิลาตจึงกล่าวว่า "ท่านไม่รู้หรือว่า ข้ามีอำนาจจะปล่อยท่านก็ได้ จะลงอาญาท่านก็ได้..."  พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้ความสว่างฉายลงในจิตใจของปิลาต จึงทรงตรัสตอบว่า "ท่านไม่มีอำนาจเหนือเราเลย ถ้าท่านไม่ได้รับอำนาจนั้นจากเบื้องบน แต่ผู้ที่มอบเราแก่ท่านก็มีบาปมากกว่า"  เวลานี้จิตใจปิลาตยิ่งรู้สึกสับสนและรู้แน่ชัดแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ จึงคิดว่าหากชาวยิวได้เห็นรอยบาดแผลทั่วพระวรกายเช่นนี้ คงจะยอมให้เขาปล่อยพระองค์แต่โดยดี เขาจึงพาพระองค์ออกมาต่อหน้าประชาชน และประกาศว่า  "นี่แหล่ะ คนนั้น" พระแม่มารีย์คุกเข่าลงนมัสการพระองค์ ส่วนพวกศัตรูก็ร้องตะโกนว่า "เอามันไปตรึงกางเขน เอามันไปตรึงกางเขน" ปิลาตรู้สึกผิดหวังกับคำตอบของชาวยิว พลางกล่าวว่า "จะให้เราประหารกษัตริย์ของพวกท่านหรือ?  เราไม่พบความผิดใดในชายผู้นี้ที่ต้องโทษถึงตาย" แต่ชาวยิวกลับตะโกนร้องเสียงดัง "เราไม่มีกษัตริย์อื่นนอกจากซีซาร์...." ปิลาตจนปัญญาจึงล้างมือพลางประกาศว่า "ข้าไม่ขอเกี่ยวข้องกับโลหิตของชายผู้นี้" และปิลาตสั่งทหารให้จัดการตามความต้องการของชาวยิว

แม้ดวงใจของพระนางจะเจ็บปวดรวดร้าว ดั่งถูกกระบี่เสียดแทงดวงใจเป็นชิ้นๆ เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น แต่กระนั้นพระนางก็สวดภาวนาเพื่อให้สามารถทนอยู่ได้จนถึงวาระสุดท้ายของพระบุตร


ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงแบกกางเขนอยู่นั้น พระแม่มารีย์วอนขอยอห์นให้ช่วยทางพาพระนางไปดักรอพระเยซูเจ้าก่อนที่พระองค์จะเสด็จผ่าน ยอห์นจึงได้พาพระมารดาไปยืนรอที่ทางเข้าบ้านใหญ่หลังหนึ่ง เมื่อขบวนแห่อันน่าเศร้าใจมาถึง พระแม่คุกเข่าลง และเมื่อสวดอย่างร้อนรนแล้ว ก็หันไปหายอห์นและพูดว่า "ฉันจะยืนรอที่นี่ โอ้ ฉันจะทนได้อย่างไรกัน"
ยอห์นตอบว่า "ถ้าแม่ยืนอยู่นี่ แม่จะเสียใจถึงมันอย่างขมขื่นตลอดไป"


ที่สุด ขณะจับตาดูพระองค์ เห็นพระองค์กำลังทรุดตัวลงใต้กางเขน และพระเศียรเอียงตกลงไปบนบ่าในสภาพเข้าตรีฑูต


ด้วยดวงตาที่เปียกชุ่มด้วยโลหิต และจมลึกลงในเบ้าตา พระองค์เหลือบมองดูพระมารดาด้วยสายตาที่เป็นห่วง ครั้นแล้วพระองค์ก็หมดแรง ล้มลงใต้กางเขนนั้น  ในความเจ็บปวดรวดร้าวใจนั้น พระนางลืมพวกทหารและผู้คุม พระนางไม่เห็นอะไรนอกจากพระบุตรที่กำลังปวดร้าว และหมดแรง จากประตูบ้านพระนางวิ่งฝ่าฝูงชนไปหาพระองค์ ทรุดตัวลงคุกเข่าลงข้างพระองค์ กอดพระองค์ไว้แน่นอย่างสุดรัก


มีความอลเวงเกิดขึ้นครู่หนึ่ง พวกนายร้อยสั่งทหารให้รักษาความสงบ ซึ่งระหว่างนั้นยอห์นและสตรีใจศรัทธาก็ดึงตัวพระแม่มารีย์กลับไป
เพชรฆาตคนหนึ่งด่าพระนางว่า "ถ้าแกเลี้ยงดูเขาดีกว่านี้ วันนี้เขาคงไม่ต้องอยู่ที่นี่หรอก"
แต่ก็มีทหารโรมันหลายคน ติดใจภาพนี้มาก พระแม่เป็นลมล้มลงกระแทกก้อนหินใกล้ๆทางเข้า และศิษย์สองคนช่วยกันอุ้มพระนางเข้าไปในบ้าน โดยการเพิ่มความร้อนรนในการสวดเป็นเท่าทวี พระนางก็ได้รับการดลใจจากพระเป็นเจ้าว่า อีกไม่ช้า จะมีคนมาช่วยพระบุตรแบกกางเขน

เมื่อขบวนแห่ผ่านไปแล้ว มารีย์ มักดาเลนา และยอห์น กับเพื่อนๆ ที่เดินตามทางอันเศร้าโศกนี้ไปยังเขากัลวาลีโอ

พระแม่ ตรัสกับนักบุญ บริดเยต์ แห่งสวีเดน


"ในการเฆี่ยนยกแรก แม่รู้สึกราวกับตายไปแล้ว และเมื่อประสาทฟื้นตัวตื่นขึ้น แม่ก็เป็นร่างกายของพระองค์ที่แตกยับไปทั่ว(บาดแผลจากรอยเฆี่ยน) จนเราอาจมองเห็นซี่โครงของพระองค์ได้

ขณะที่พระบุตรกำลังไปยังที่ทรมาน บางคนก็ตีพระองค์จากข้างหลัง บ้างก็ตีพระพักต์พระองค์ พระองค์ถูกเฆี่ยนอย่างรุนแรงและป่าเถื่อน แม้ว่าแม่ไม่ได้เห็นผู้ที่กำลังเฆี่ยนพระองค์ แม่ก็สามารถได้ยินเสียงแซ่หวดที่กระหน่ำลงอย่างไม่นับ"

บทต่อไป บทที่ 31 - การตรึงกางเขน : http://ppantip.com/topic/33365829
ย้อนหลัง บทที่ 30 - คืนที่ถูกจับกุม :http://ppantip.com/topic/33345476
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ :  https://www.facebook.com/help.souls
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่