นโยบาย/ผลงานของรัฐบาลสมัยนายกฯทักษิณ ชินวัตร 2544- 2548 ค้นคว้าเพื่อการศึกษาโดยนักวิชาการอิสระ
.
24 พฤศจิกายน 2011 เวลา 8:39 น.
นโยบายและผลงานของรัฐบาล พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปี 2544 – 2548
โดย นายสุวิทย์ สงคราม นักวิชาการอิสระและนักศึกษาปริญญาโท รปม. ศึกษาค้นคว้าเพื่อการศึกษา เมื่อปี ,2552
ภายใต้กรอบกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่เกิดขึ้นหลังการปฏิรูปการเมืองให้สอดรับกับกระแสโลกาภิวัฒน์ ซึ่งมุ่งเน้นการลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจให้ประชาชน ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน บริหารบ้านเมืองด้วยความโปร่งใส มีระบบตรวจสอบและถ่วงดุล รวมทั้งคำนึงถึงคุณภาพชีวิต และสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากขึ้น เป็นเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยให้สังคมไทยได้มีโอกาสสร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ให้เป็นการเมืองเชิงสร้างสรรค์
1.การจัดตั้งพรรค ปี 2541 พรรคไทยรักไทย หัวใจคือประชาชน นำแนวทางใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่เพื่อไทยทุกคน
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ซึ่งจดทะเบียนและประกาศตัวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2541 ด้วยแนวทางคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน และชูนโยบายเป็นธงนำหลักในการเลือกตั้งตามแนวทางที่เรียกกันว่า ประชานิยม คือ สร้างรายได้ ลดรายจ่าย และสร้างโอกาส เพื่อมุ่งไปสู่ชัยชนะ ต่อการทำสงครามกับความยากจน สงครามยาเสพติด และสงครามปราบคอรัปชั่น และในการเลือกตั้งวันที่ 6 มกราคม 2544 พรรคไทยรักไทยได้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองไทยที่ชนะการเลือกตั้งได้ส.ส.มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามประกาศพระบรมราชโองการลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2544 จากนั้นพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้มีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2544
2.บริหารราชการแผ่นดินภายหลังภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ แปรวิกฤตเป็นโอกาส
การเข้าบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เข้าบริหารหลังภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากปี 2540 รัฐบาลได้ประกาศนโยบายเร่งด่วนและสำคัญยิ่ง คือการเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตของระบบเศรษฐกิจ การบริหารสังคมและการเมือง โดยจะต้องดำเนินการไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้ทันการณ์ โดยปัญหามี 2 ส่วน คือ 1.หยุดการหดตัวของเศรษฐกิจที่กำลังก่อปัญหาทางสังคมให้กับประเทศ 2.การแก้ไขและปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคม ไปสู่ความมีเสถียรภาพ และความมั่นคงอันยั่งยืนของประเทศ
3.นายกรัฐมนตรีที่ใช้สื่อวิทยุกระจายเสียง และสทท.11 เล่าเรื่องทุกวันเสาร์ “นายกทักษิณ คุยกับประชาชน”
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ใช้กลยุทธการประชาสัมพันธ์เป็นตัวนำในการสร้างกระแสสังคม จนนำไปสู่การเกิดกระแสความศรัทธาต่อตัวผู้นำรัฐบาล และเกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างรวดเร็ว โดยจัดรายการวิทยุฯ “นายกฯ ทักษิณ คุยกับประชาชน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) ช่วงเวลา 08.00 น. – 09.00 น. ในทุกวันเสาร์ และออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท.11) กรมประชาสัมพันธ์ ไปพร้อมกัน นอกนั้นยังมีการเผยแพร่ขยายผลผ่านสื่อภาครัฐ ทางเว็ปไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ สถานีวิทยุกระจายเสียงภาครัฐอื่น สถานีวิทยุชุมชน หอกระจายข่าวในระดับหมู่บ้าน ซึ่งพบว่า เป็นรายการที่มีประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจมาก เรื่องราวที่นายกรัฐมนตรีนำมากล่าวในรายการ จึงสามารถสื่อสารไปยังประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
4.นโยบายสาธารณะ ปี 2544 – 2548 มี 16 นโยบาย ที่สื่อสารกับประชาชน
นโยบายที่รัฐบาลนายกฯ ทักษิณ ช่วงปี 2544 – 2548 นำไปพูดผ่านรายการวิทยุฯ รายการโทรทัศน์ และถูกนำไปขยายผลผ่านสื่อต่าง ๆ มี 16 นโยบาย นโยบายข้อที่ 1 คือ นโยบายเร่งด่วน
1.พักชำระหนี้ให้กับเกษตรกรรายย่อยเป็นเวลา 3 ปี
2.จัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งละ 1 ล้านบาท พร้อมทั้งจะจัดให้มีโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์
3.จัดตั้งธนาคารประชาชน
4.จัดตั้งธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
5.จัดตั้งบรรษัทกลางในการบริหารสินทรัพย์
6.พัฒนารัฐวิสาหกิจให้เป็นองค์กรหลักในการกอบกู้เศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับประเทศ
7.สร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยเสียค่าใช้จ่าย 30 บาทต่อครั้ง
8.เร่งจัดตั้งสถานบำบัดผู้ติดยาเสพติด ควบคู่ไปกับการปราบปรามและป้องกัน
9.ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามคอรัปชั่น
นอกจากนโยบายเร่งด่วนแล้ว รัฐบาลชุด พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้แถลงนโยบายในด้านนโยบายเศรษฐกิจ นโยบายสร้างรายได้ นโยบายการพาณิชย์และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นโยบายด้านการคมนาคม นโยบายการพัฒนาแรงงาน นโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นโยบายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นโยบายการพลังงาน นโยบายเสริมสร้างสังคมเข้มแข็ง นโยบายการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม นโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ นโยบายด้านต่างประเทศ นโยบายความปลอดภัยของประชาชน นโยบายบริหารราชการแผ่นดิน และนโยบายพัฒนาภูมิภาคและกรุงเทพมหานคร ซึ่งรายละเอียดของนโยบาย มีการจัดพิมพ์เป็นเอกสารเผยแพร่ และนำลงไว้ในเว็ปไซต์ทำเนียบรัฐบาลไทย
http://www.thaigov.go.th เพื่อให้ประชาชนและสื่อมวลชนค้นคว้าได้ตลอดเวลา
5.เริ่มดำเนินกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ถึงผลงานและความสำเร็จช่วงปี 2545
หลังจากเข้าบริหารประเทศไปได้ระยะหนึ่ง รัฐบาล พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีการดำเนินการประชาสัมพันธ์ถึงผลการดำเนินงาน โดยจัดพิมพ์เป็นแผ่นพับในเรื่องประชาชนได้อะไรจากการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร มีรายละเอียดดังนี้
6.ประชาชนได้อะไรจากการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
การบริหารประเทศของรัฐบาลภายใต้การนำของ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงปีแรกรัฐบาลได้วางกรอบแนวทางเศรษฐกิจทั้งฐานชาวบ้าน ฐานระดับกลาง ฐานระดับบน รวมทั้งงานด้านของสังคม การปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งประชาชนได้สัมผัสอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว
ในปีที่สองของการบริหารประเทศ รัฐบาลได้บริหารงานเพื่อประเทศมีเสถียรภาพและคุณภาพในทุกด้านโดยเน้น “การบริหารบ้านเมือง” คือ การดำเนินที่เน้นประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ทั้งเป็นหลักมิใช่บริหารบ้านเมืองที่มุ่งหวังผลเพียงระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นการบริหารบ้านเมือง รัฐบาลจึงได้รับบริหารตามกรอบนโยบายที่ให้สัญญาประชาคมไว้ และทำมากกว่าที่กำหนดไว้ตามนโยบายซึ่งพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากการทำงานดังกล่าวหลาย ๆ ด้าน
7.ประชาชนเป็นศูนย์กลาง
แนวทางการบริหารประเทศของรัฐบาลที่ถือประชาชนเป็นศูนย์กลาง รัฐบาลได้บริหารประเทศด้วยการสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจภายในและภายนอกประเทศด้วยการสร้างความแข็งแกร่งของฐานเศรษฐกิจระดับชาวบ้าน หรือ “รากหญ้า” ให้เขมแข็ง โดยอาศัยเม็ดเงินที่ใช้จ่ายภายในประเทศแก้ปัญหาความยากจนด้วยการให้โอกาสและลดภาระแก่ประชาชน และสร้างผู้ประกอบการใหม่ พร้อมๆไปกับการส่งเสริมการส่งออกและแก้ปัญหาทุกมิติไปพร้อมกัน แนวทางนี้เป็นประโยชน์ที่ยอมรับจากผู้นำและนักเศรษฐศาสตร์ของต่างประเทศว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องและเหมาะสม
กองทุนหมู่บ้าน หนึ่งล้านบาทต่อกองทุน มีการขึ้นทะเบียน เพื่อจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน 74,215 กองทุน คิดเป็นร้อยละ 98.13 ของหมู่บ้านและชุมชน ได้รับการอนุมัติและโอนเงิน ซึ่งมีการปล่อยกู้ให้สมาชิกเพื่อนำสร้างงานสร้างรายได้ลดรายจ่ายและลดบรรเทาเหตุฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วน จำนวน 5,931,564 ราย รวมเป็นเงิน 78,613,24 ล้านบาท
จากการที่พี่น้องประชาชนเป็นหนี้นอกระบบต้องกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10-20 ต่อเดือนมาเป็นเวลานาน รัฐบาลได้มอบให้ธนาคารออมสิน ดำเนินการจัดตั้งธนาคารประชาชนเพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว
8.ธนาคารอิสลาม เริ่มดำเนินการแล้ว
เป็นครั้งแรกที่ประชาชนสามารถจัดตั้งธนาคารอิสลามได้เป็นผลสำเร็จ สำหรับพี่น้องชาวมุสลิม เพื่อระดมเงินฝาก เงินลงทุนจากชาวไทยมุสลิมในต่างประเทศ เป็นการส่งเสริมให้มีการปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามหลักศาสนาในธุรกรรมด้านการเงิน โดยมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท
9.การพักชำระหนี้
การลดภาระของประชาชนซึ่งเป็นขบวนการหนึ่งของการขจัดความยากจน และลดช่องว่างของคนในสังคม รัฐบาลจึงได้ดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐาน ด้วยการพักชำระหนี้ให้แก่พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องเกษตรกร
การช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่มีฐานะยากจน และประสบปัญหาด้านหนี้สินให้ได้รับการพักชำระหนี้และลดภาระหนี้เป็นเวลา 3 ปี นับตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน 2544 ถึง วันที่ 31 มีนาคม 2547 เพื่อให้เกษตรกรรายย่อย จำนวน 2,309,788 ราย (หนี้เงินกู้รวมทั้งสิ้น 94,056 ล้านบาท) ได้มีโอกาสพักฟื้นฟูตนเองในการประกอบอาชีพ ณ วันที่ 30 กันยายน 2544 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 2,309,966 ราย มีต้นเงินกู้คงเป็นหนี้รวม 94,328 ล้านบาท
ในระยะเวลาเพียง 2 ปีผ่านมาจะเห็นได้ว่าประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่กู้เงินทั้งจากธนาคารประชาชน กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง มีการชำระหนี้คืนพร้อมดอกเบี้ยในสัดส่วนที่สูงมากเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า ประชาชนผู้มีรายได้น้อย มีศักยภาพในการชำระหนี้ และรักษาสัญญาเป็นอย่างดี รัฐบาลจึงมุ่งเปิดโอกาส และสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยได้มีเงินทุนในการประกอบอาชีพ เพื่อให้สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง
รัฐบาลได้ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพให้กับประชาชนภายใต้โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค และได้ดำเนินการครบทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544 จากผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า มากกว่าร้อยละ 90 ของประชาชนพึงพอใจต่อนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค (ช่วงเวลาแรกมีประชาชนเข้าไปรักษากันมาก เพราะไม่เคยเข้าไปรับบริการด้านสุขภาพ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูง ทั้งประชาชนและผู้ให้บริการจึงต้องอดทน ซึ่งในระยะต่อไปการขอใช้บริการคงจะลดลง)
ขณะเดียวกันรัฐบาลได้จัดทำโครงการคู่ขนานไปด้วย คือ การส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้ประชาชน หันมาเอาใจใส่สุขภาพ รู้จักออกกำลังกาย รู้จักรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ รู้จักใช้ยาที่เหมาะสม การทำงานเชิงรุกเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสำคัญในการสร้างสุขภาพ โดยเน้นยุทธศาสตร์การรวมพลังสร้างสุขภาพที่เน้นการปรับเปลี่ยนบทบาทให้โรงพยาบาลทำงานเชิงรุก ให้ความรู้แก่ประชาชน ให้ตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างสุขภาพและให้ชุมชนรวมตัวกันเป็นชมรมสร้างสุขภาพ ซึ่งคาดว่า จะมีอย่างน้อย 7,500 ชมรม เมื่อสิ้นปี 2545
นโยบาย/ผลงานของรัฐบาลสมัยนายกฯทักษิณ ชินวัตร 2544- 2548 ค้นคว้าเพื่อการศึกษาโดยนักวิชาการอิสระ
.
24 พฤศจิกายน 2011 เวลา 8:39 น.
นโยบายและผลงานของรัฐบาล พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปี 2544 – 2548
โดย นายสุวิทย์ สงคราม นักวิชาการอิสระและนักศึกษาปริญญาโท รปม. ศึกษาค้นคว้าเพื่อการศึกษา เมื่อปี ,2552
ภายใต้กรอบกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่เกิดขึ้นหลังการปฏิรูปการเมืองให้สอดรับกับกระแสโลกาภิวัฒน์ ซึ่งมุ่งเน้นการลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจให้ประชาชน ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน บริหารบ้านเมืองด้วยความโปร่งใส มีระบบตรวจสอบและถ่วงดุล รวมทั้งคำนึงถึงคุณภาพชีวิต และสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากขึ้น เป็นเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยให้สังคมไทยได้มีโอกาสสร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ให้เป็นการเมืองเชิงสร้างสรรค์
1.การจัดตั้งพรรค ปี 2541 พรรคไทยรักไทย หัวใจคือประชาชน นำแนวทางใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่เพื่อไทยทุกคน
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ซึ่งจดทะเบียนและประกาศตัวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2541 ด้วยแนวทางคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน และชูนโยบายเป็นธงนำหลักในการเลือกตั้งตามแนวทางที่เรียกกันว่า ประชานิยม คือ สร้างรายได้ ลดรายจ่าย และสร้างโอกาส เพื่อมุ่งไปสู่ชัยชนะ ต่อการทำสงครามกับความยากจน สงครามยาเสพติด และสงครามปราบคอรัปชั่น และในการเลือกตั้งวันที่ 6 มกราคม 2544 พรรคไทยรักไทยได้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองไทยที่ชนะการเลือกตั้งได้ส.ส.มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามประกาศพระบรมราชโองการลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2544 จากนั้นพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้มีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2544
2.บริหารราชการแผ่นดินภายหลังภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ แปรวิกฤตเป็นโอกาส
การเข้าบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เข้าบริหารหลังภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากปี 2540 รัฐบาลได้ประกาศนโยบายเร่งด่วนและสำคัญยิ่ง คือการเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตของระบบเศรษฐกิจ การบริหารสังคมและการเมือง โดยจะต้องดำเนินการไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้ทันการณ์ โดยปัญหามี 2 ส่วน คือ 1.หยุดการหดตัวของเศรษฐกิจที่กำลังก่อปัญหาทางสังคมให้กับประเทศ 2.การแก้ไขและปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคม ไปสู่ความมีเสถียรภาพ และความมั่นคงอันยั่งยืนของประเทศ
3.นายกรัฐมนตรีที่ใช้สื่อวิทยุกระจายเสียง และสทท.11 เล่าเรื่องทุกวันเสาร์ “นายกทักษิณ คุยกับประชาชน”
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ใช้กลยุทธการประชาสัมพันธ์เป็นตัวนำในการสร้างกระแสสังคม จนนำไปสู่การเกิดกระแสความศรัทธาต่อตัวผู้นำรัฐบาล และเกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างรวดเร็ว โดยจัดรายการวิทยุฯ “นายกฯ ทักษิณ คุยกับประชาชน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) ช่วงเวลา 08.00 น. – 09.00 น. ในทุกวันเสาร์ และออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท.11) กรมประชาสัมพันธ์ ไปพร้อมกัน นอกนั้นยังมีการเผยแพร่ขยายผลผ่านสื่อภาครัฐ ทางเว็ปไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ สถานีวิทยุกระจายเสียงภาครัฐอื่น สถานีวิทยุชุมชน หอกระจายข่าวในระดับหมู่บ้าน ซึ่งพบว่า เป็นรายการที่มีประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจมาก เรื่องราวที่นายกรัฐมนตรีนำมากล่าวในรายการ จึงสามารถสื่อสารไปยังประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
4.นโยบายสาธารณะ ปี 2544 – 2548 มี 16 นโยบาย ที่สื่อสารกับประชาชน
นโยบายที่รัฐบาลนายกฯ ทักษิณ ช่วงปี 2544 – 2548 นำไปพูดผ่านรายการวิทยุฯ รายการโทรทัศน์ และถูกนำไปขยายผลผ่านสื่อต่าง ๆ มี 16 นโยบาย นโยบายข้อที่ 1 คือ นโยบายเร่งด่วน
1.พักชำระหนี้ให้กับเกษตรกรรายย่อยเป็นเวลา 3 ปี
2.จัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งละ 1 ล้านบาท พร้อมทั้งจะจัดให้มีโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์
3.จัดตั้งธนาคารประชาชน
4.จัดตั้งธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
5.จัดตั้งบรรษัทกลางในการบริหารสินทรัพย์
6.พัฒนารัฐวิสาหกิจให้เป็นองค์กรหลักในการกอบกู้เศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับประเทศ
7.สร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยเสียค่าใช้จ่าย 30 บาทต่อครั้ง
8.เร่งจัดตั้งสถานบำบัดผู้ติดยาเสพติด ควบคู่ไปกับการปราบปรามและป้องกัน
9.ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามคอรัปชั่น
นอกจากนโยบายเร่งด่วนแล้ว รัฐบาลชุด พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้แถลงนโยบายในด้านนโยบายเศรษฐกิจ นโยบายสร้างรายได้ นโยบายการพาณิชย์และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นโยบายด้านการคมนาคม นโยบายการพัฒนาแรงงาน นโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นโยบายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นโยบายการพลังงาน นโยบายเสริมสร้างสังคมเข้มแข็ง นโยบายการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม นโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ นโยบายด้านต่างประเทศ นโยบายความปลอดภัยของประชาชน นโยบายบริหารราชการแผ่นดิน และนโยบายพัฒนาภูมิภาคและกรุงเทพมหานคร ซึ่งรายละเอียดของนโยบาย มีการจัดพิมพ์เป็นเอกสารเผยแพร่ และนำลงไว้ในเว็ปไซต์ทำเนียบรัฐบาลไทย http://www.thaigov.go.th เพื่อให้ประชาชนและสื่อมวลชนค้นคว้าได้ตลอดเวลา
5.เริ่มดำเนินกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ถึงผลงานและความสำเร็จช่วงปี 2545
หลังจากเข้าบริหารประเทศไปได้ระยะหนึ่ง รัฐบาล พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีการดำเนินการประชาสัมพันธ์ถึงผลการดำเนินงาน โดยจัดพิมพ์เป็นแผ่นพับในเรื่องประชาชนได้อะไรจากการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร มีรายละเอียดดังนี้
6.ประชาชนได้อะไรจากการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร
การบริหารประเทศของรัฐบาลภายใต้การนำของ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ในช่วงปีแรกรัฐบาลได้วางกรอบแนวทางเศรษฐกิจทั้งฐานชาวบ้าน ฐานระดับกลาง ฐานระดับบน รวมทั้งงานด้านของสังคม การปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งประชาชนได้สัมผัสอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว
ในปีที่สองของการบริหารประเทศ รัฐบาลได้บริหารงานเพื่อประเทศมีเสถียรภาพและคุณภาพในทุกด้านโดยเน้น “การบริหารบ้านเมือง” คือ การดำเนินที่เน้นประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ทั้งเป็นหลักมิใช่บริหารบ้านเมืองที่มุ่งหวังผลเพียงระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นการบริหารบ้านเมือง รัฐบาลจึงได้รับบริหารตามกรอบนโยบายที่ให้สัญญาประชาคมไว้ และทำมากกว่าที่กำหนดไว้ตามนโยบายซึ่งพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากการทำงานดังกล่าวหลาย ๆ ด้าน
7.ประชาชนเป็นศูนย์กลาง
แนวทางการบริหารประเทศของรัฐบาลที่ถือประชาชนเป็นศูนย์กลาง รัฐบาลได้บริหารประเทศด้วยการสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจภายในและภายนอกประเทศด้วยการสร้างความแข็งแกร่งของฐานเศรษฐกิจระดับชาวบ้าน หรือ “รากหญ้า” ให้เขมแข็ง โดยอาศัยเม็ดเงินที่ใช้จ่ายภายในประเทศแก้ปัญหาความยากจนด้วยการให้โอกาสและลดภาระแก่ประชาชน และสร้างผู้ประกอบการใหม่ พร้อมๆไปกับการส่งเสริมการส่งออกและแก้ปัญหาทุกมิติไปพร้อมกัน แนวทางนี้เป็นประโยชน์ที่ยอมรับจากผู้นำและนักเศรษฐศาสตร์ของต่างประเทศว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องและเหมาะสม
กองทุนหมู่บ้าน หนึ่งล้านบาทต่อกองทุน มีการขึ้นทะเบียน เพื่อจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน 74,215 กองทุน คิดเป็นร้อยละ 98.13 ของหมู่บ้านและชุมชน ได้รับการอนุมัติและโอนเงิน ซึ่งมีการปล่อยกู้ให้สมาชิกเพื่อนำสร้างงานสร้างรายได้ลดรายจ่ายและลดบรรเทาเหตุฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วน จำนวน 5,931,564 ราย รวมเป็นเงิน 78,613,24 ล้านบาท
จากการที่พี่น้องประชาชนเป็นหนี้นอกระบบต้องกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10-20 ต่อเดือนมาเป็นเวลานาน รัฐบาลได้มอบให้ธนาคารออมสิน ดำเนินการจัดตั้งธนาคารประชาชนเพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว
8.ธนาคารอิสลาม เริ่มดำเนินการแล้ว
เป็นครั้งแรกที่ประชาชนสามารถจัดตั้งธนาคารอิสลามได้เป็นผลสำเร็จ สำหรับพี่น้องชาวมุสลิม เพื่อระดมเงินฝาก เงินลงทุนจากชาวไทยมุสลิมในต่างประเทศ เป็นการส่งเสริมให้มีการปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามหลักศาสนาในธุรกรรมด้านการเงิน โดยมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท
9.การพักชำระหนี้
การลดภาระของประชาชนซึ่งเป็นขบวนการหนึ่งของการขจัดความยากจน และลดช่องว่างของคนในสังคม รัฐบาลจึงได้ดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐาน ด้วยการพักชำระหนี้ให้แก่พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องเกษตรกร
การช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่มีฐานะยากจน และประสบปัญหาด้านหนี้สินให้ได้รับการพักชำระหนี้และลดภาระหนี้เป็นเวลา 3 ปี นับตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน 2544 ถึง วันที่ 31 มีนาคม 2547 เพื่อให้เกษตรกรรายย่อย จำนวน 2,309,788 ราย (หนี้เงินกู้รวมทั้งสิ้น 94,056 ล้านบาท) ได้มีโอกาสพักฟื้นฟูตนเองในการประกอบอาชีพ ณ วันที่ 30 กันยายน 2544 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 2,309,966 ราย มีต้นเงินกู้คงเป็นหนี้รวม 94,328 ล้านบาท
ในระยะเวลาเพียง 2 ปีผ่านมาจะเห็นได้ว่าประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่กู้เงินทั้งจากธนาคารประชาชน กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง มีการชำระหนี้คืนพร้อมดอกเบี้ยในสัดส่วนที่สูงมากเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า ประชาชนผู้มีรายได้น้อย มีศักยภาพในการชำระหนี้ และรักษาสัญญาเป็นอย่างดี รัฐบาลจึงมุ่งเปิดโอกาส และสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยได้มีเงินทุนในการประกอบอาชีพ เพื่อให้สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง
รัฐบาลได้ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพให้กับประชาชนภายใต้โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค และได้ดำเนินการครบทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544 จากผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า มากกว่าร้อยละ 90 ของประชาชนพึงพอใจต่อนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค (ช่วงเวลาแรกมีประชาชนเข้าไปรักษากันมาก เพราะไม่เคยเข้าไปรับบริการด้านสุขภาพ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูง ทั้งประชาชนและผู้ให้บริการจึงต้องอดทน ซึ่งในระยะต่อไปการขอใช้บริการคงจะลดลง)
ขณะเดียวกันรัฐบาลได้จัดทำโครงการคู่ขนานไปด้วย คือ การส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้ประชาชน หันมาเอาใจใส่สุขภาพ รู้จักออกกำลังกาย รู้จักรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ รู้จักใช้ยาที่เหมาะสม การทำงานเชิงรุกเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสำคัญในการสร้างสุขภาพ โดยเน้นยุทธศาสตร์การรวมพลังสร้างสุขภาพที่เน้นการปรับเปลี่ยนบทบาทให้โรงพยาบาลทำงานเชิงรุก ให้ความรู้แก่ประชาชน ให้ตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างสุขภาพและให้ชุมชนรวมตัวกันเป็นชมรมสร้างสุขภาพ ซึ่งคาดว่า จะมีอย่างน้อย 7,500 ชมรม เมื่อสิ้นปี 2545