นโยบาย/ผลงานของรัฐบาลสมัยนายกฯทักษิณ ชินวัตร 2544- 2548 ค้นคว้าเพื่อการศึกษาโดยนักวิชาการอิสระ

นโยบาย/ผลงานของรัฐบาลสมัยนายกฯทักษิณ ชินวัตร 2544- 2548 ค้นคว้าเพื่อการศึกษาโดยนักวิชาการอิสระ
.
24 พฤศจิกายน 2011 เวลา 8:39 น.

นโยบายและผลงานของรัฐบาล พันตำรวจโท ทักษิณ  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี  ปี 2544 – 2548

โดย นายสุวิทย์ สงคราม นักวิชาการอิสระและนักศึกษาปริญญาโท รปม. ศึกษาค้นคว้าเพื่อการศึกษา เมื่อปี ,2552

              ภายใต้กรอบกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540  ที่เกิดขึ้นหลังการปฏิรูปการเมืองให้สอดรับกับกระแสโลกาภิวัฒน์  ซึ่งมุ่งเน้นการลดอำนาจรัฐ  เพิ่มอำนาจให้ประชาชน  ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชน  บริหารบ้านเมืองด้วยความโปร่งใส  มีระบบตรวจสอบและถ่วงดุล  รวมทั้งคำนึงถึงคุณภาพชีวิต และสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากขึ้น  เป็นเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยให้สังคมไทยได้มีโอกาสสร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ให้เป็นการเมืองเชิงสร้างสรรค์

1.การจัดตั้งพรรค ปี 2541 พรรคไทยรักไทย  หัวใจคือประชาชน  นำแนวทางใหม่  คิดใหม่ ทำใหม่เพื่อไทยทุกคน

                พันตำรวจโท ทักษิณ  ชินวัตร   เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย  ซึ่งจดทะเบียนและประกาศตัวอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2541  ด้วยแนวทางคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน และชูนโยบายเป็นธงนำหลักในการเลือกตั้งตามแนวทางที่เรียกกันว่า ประชานิยม คือ สร้างรายได้ ลดรายจ่าย และสร้างโอกาส  เพื่อมุ่งไปสู่ชัยชนะ ต่อการทำสงครามกับความยากจน  สงครามยาเสพติด และสงครามปราบคอรัปชั่น และในการเลือกตั้งวันที่ 6 มกราคม 2544 พรรคไทยรักไทยได้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองไทยที่ชนะการเลือกตั้งได้ส.ส.มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร

                พันตำรวจโท ทักษิณ  ชินวัตร    เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย  ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามประกาศพระบรมราชโองการลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2544 จากนั้นพันตำรวจโท ทักษิณ  ชินวัตร    นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ได้มีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2544

2.บริหารราชการแผ่นดินภายหลังภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ แปรวิกฤตเป็นโอกาส

                การเข้าบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลพันตำรวจโท ทักษิณ  ชินวัตร   นายกรัฐมนตรี ได้เข้าบริหารหลังภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากปี 2540 รัฐบาลได้ประกาศนโยบายเร่งด่วนและสำคัญยิ่ง  คือการเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ  ปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตของระบบเศรษฐกิจ การบริหารสังคมและการเมือง  โดยจะต้องดำเนินการไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้ทันการณ์ โดยปัญหามี 2 ส่วน คือ 1.หยุดการหดตัวของเศรษฐกิจที่กำลังก่อปัญหาทางสังคมให้กับประเทศ 2.การแก้ไขและปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่ให้กับระบบเศรษฐกิจและสังคม  ไปสู่ความมีเสถียรภาพ และความมั่นคงอันยั่งยืนของประเทศ

3.นายกรัฐมนตรีที่ใช้สื่อวิทยุกระจายเสียง และสทท.11 เล่าเรื่องทุกวันเสาร์   “นายกทักษิณ คุยกับประชาชน”

                พันตำรวจโท ทักษิณ  ชินวัตร   นายกรัฐมนตรี ได้ใช้กลยุทธการประชาสัมพันธ์เป็นตัวนำในการสร้างกระแสสังคม  จนนำไปสู่การเกิดกระแสความศรัทธาต่อตัวผู้นำรัฐบาล  และเกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างรวดเร็ว  โดยจัดรายการวิทยุฯ “นายกฯ ทักษิณ คุยกับประชาชน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) ช่วงเวลา 08.00 น. – 09.00 น. ในทุกวันเสาร์ และออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท.11) กรมประชาสัมพันธ์ ไปพร้อมกัน นอกนั้นยังมีการเผยแพร่ขยายผลผ่านสื่อภาครัฐ  ทางเว็ปไซต์ สื่อสิ่งพิมพ์ สถานีวิทยุกระจายเสียงภาครัฐอื่น สถานีวิทยุชุมชน  หอกระจายข่าวในระดับหมู่บ้าน  ซึ่งพบว่า เป็นรายการที่มีประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจมาก  เรื่องราวที่นายกรัฐมนตรีนำมากล่าวในรายการ  จึงสามารถสื่อสารไปยังประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว

4.นโยบายสาธารณะ ปี 2544 – 2548 มี 16 นโยบาย ที่สื่อสารกับประชาชน

                นโยบายที่รัฐบาลนายกฯ ทักษิณ  ช่วงปี 2544 – 2548 นำไปพูดผ่านรายการวิทยุฯ รายการโทรทัศน์ และถูกนำไปขยายผลผ่านสื่อต่าง ๆ มี 16 นโยบาย   นโยบายข้อที่ 1 คือ นโยบายเร่งด่วน
1.พักชำระหนี้ให้กับเกษตรกรรายย่อยเป็นเวลา 3 ปี
2.จัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งละ 1 ล้านบาท พร้อมทั้งจะจัดให้มีโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์
3.จัดตั้งธนาคารประชาชน
4.จัดตั้งธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
5.จัดตั้งบรรษัทกลางในการบริหารสินทรัพย์
6.พัฒนารัฐวิสาหกิจให้เป็นองค์กรหลักในการกอบกู้เศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้กับประเทศ
7.สร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยเสียค่าใช้จ่าย 30 บาทต่อครั้ง
8.เร่งจัดตั้งสถานบำบัดผู้ติดยาเสพติด ควบคู่ไปกับการปราบปรามและป้องกัน
9.ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามคอรัปชั่น

นอกจากนโยบายเร่งด่วนแล้ว รัฐบาลชุด พันตำรวจโท ทักษิณ  ชินวัตร  ได้แถลงนโยบายในด้านนโยบายเศรษฐกิจ นโยบายสร้างรายได้  นโยบายการพาณิชย์และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ  นโยบายด้านการคมนาคม  นโยบายการพัฒนาแรงงาน  นโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  นโยบายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  นโยบายการพลังงาน  นโยบายเสริมสร้างสังคมเข้มแข็ง  นโยบายการศึกษา  ศาสนา และวัฒนธรรม  นโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ  นโยบายด้านต่างประเทศ  นโยบายความปลอดภัยของประชาชน  นโยบายบริหารราชการแผ่นดิน  และนโยบายพัฒนาภูมิภาคและกรุงเทพมหานคร ซึ่งรายละเอียดของนโยบาย  มีการจัดพิมพ์เป็นเอกสารเผยแพร่ และนำลงไว้ในเว็ปไซต์ทำเนียบรัฐบาลไทย http://www.thaigov.go.th เพื่อให้ประชาชนและสื่อมวลชนค้นคว้าได้ตลอดเวลา

5.เริ่มดำเนินกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์ถึงผลงานและความสำเร็จช่วงปี 2545

                หลังจากเข้าบริหารประเทศไปได้ระยะหนึ่ง รัฐบาล พันตำรวจโท ทักษิณ  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี ได้มีการดำเนินการประชาสัมพันธ์ถึงผลการดำเนินงาน  โดยจัดพิมพ์เป็นแผ่นพับในเรื่องประชาชนได้อะไรจากการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลพันตำรวจโท ทักษิณ  ชินวัตร   มีรายละเอียดดังนี้

6.ประชาชนได้อะไรจากการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ  ชินวัตร  

                การบริหารประเทศของรัฐบาลภายใต้การนำของ พันตำรวจโท ทักษิณ  ชินวัตร  ในช่วงปีแรกรัฐบาลได้วางกรอบแนวทางเศรษฐกิจทั้งฐานชาวบ้าน ฐานระดับกลาง ฐานระดับบน  รวมทั้งงานด้านของสังคม การปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งประชาชนได้สัมผัสอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว

                ในปีที่สองของการบริหารประเทศ รัฐบาลได้บริหารงานเพื่อประเทศมีเสถียรภาพและคุณภาพในทุกด้านโดยเน้น “การบริหารบ้านเมือง” คือ การดำเนินที่เน้นประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ทั้งเป็นหลักมิใช่บริหารบ้านเมืองที่มุ่งหวังผลเพียงระยะเวลาอันสั้น  ดังนั้นการบริหารบ้านเมือง รัฐบาลจึงได้รับบริหารตามกรอบนโยบายที่ให้สัญญาประชาคมไว้ และทำมากกว่าที่กำหนดไว้ตามนโยบายซึ่งพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากการทำงานดังกล่าวหลาย ๆ ด้าน

7.ประชาชนเป็นศูนย์กลาง

                แนวทางการบริหารประเทศของรัฐบาลที่ถือประชาชนเป็นศูนย์กลาง  รัฐบาลได้บริหารประเทศด้วยการสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจภายในและภายนอกประเทศด้วยการสร้างความแข็งแกร่งของฐานเศรษฐกิจระดับชาวบ้าน หรือ “รากหญ้า” ให้เขมแข็ง  โดยอาศัยเม็ดเงินที่ใช้จ่ายภายในประเทศแก้ปัญหาความยากจนด้วยการให้โอกาสและลดภาระแก่ประชาชน และสร้างผู้ประกอบการใหม่ พร้อมๆไปกับการส่งเสริมการส่งออกและแก้ปัญหาทุกมิติไปพร้อมกัน  แนวทางนี้เป็นประโยชน์ที่ยอมรับจากผู้นำและนักเศรษฐศาสตร์ของต่างประเทศว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องและเหมาะสม

                กองทุนหมู่บ้าน หนึ่งล้านบาทต่อกองทุน มีการขึ้นทะเบียน เพื่อจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง จำนวน 74,215 กองทุน  คิดเป็นร้อยละ 98.13 ของหมู่บ้านและชุมชน ได้รับการอนุมัติและโอนเงิน ซึ่งมีการปล่อยกู้ให้สมาชิกเพื่อนำสร้างงานสร้างรายได้ลดรายจ่ายและลดบรรเทาเหตุฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วน จำนวน 5,931,564 ราย รวมเป็นเงิน 78,613,24 ล้านบาท

                จากการที่พี่น้องประชาชนเป็นหนี้นอกระบบต้องกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10-20 ต่อเดือนมาเป็นเวลานาน รัฐบาลได้มอบให้ธนาคารออมสิน ดำเนินการจัดตั้งธนาคารประชาชนเพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว

8.ธนาคารอิสลาม เริ่มดำเนินการแล้ว

                เป็นครั้งแรกที่ประชาชนสามารถจัดตั้งธนาคารอิสลามได้เป็นผลสำเร็จ  สำหรับพี่น้องชาวมุสลิม เพื่อระดมเงินฝาก เงินลงทุนจากชาวไทยมุสลิมในต่างประเทศ เป็นการส่งเสริมให้มีการปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามหลักศาสนาในธุรกรรมด้านการเงิน  โดยมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท

9.การพักชำระหนี้

                การลดภาระของประชาชนซึ่งเป็นขบวนการหนึ่งของการขจัดความยากจน และลดช่องว่างของคนในสังคม  รัฐบาลจึงได้ดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐาน ด้วยการพักชำระหนี้ให้แก่พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องเกษตรกร

                การช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่มีฐานะยากจน และประสบปัญหาด้านหนี้สินให้ได้รับการพักชำระหนี้และลดภาระหนี้เป็นเวลา 3 ปี นับตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน 2544 ถึง วันที่ 31 มีนาคม 2547 เพื่อให้เกษตรกรรายย่อย จำนวน 2,309,788 ราย (หนี้เงินกู้รวมทั้งสิ้น 94,056 ล้านบาท) ได้มีโอกาสพักฟื้นฟูตนเองในการประกอบอาชีพ ณ วันที่ 30 กันยายน 2544 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดการใช้สิทธิเข้าร่วมโครงการ  มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 2,309,966 ราย  มีต้นเงินกู้คงเป็นหนี้รวม 94,328 ล้านบาท

                ในระยะเวลาเพียง 2 ปีผ่านมาจะเห็นได้ว่าประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่กู้เงินทั้งจากธนาคารประชาชน  กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง  มีการชำระหนี้คืนพร้อมดอกเบี้ยในสัดส่วนที่สูงมากเป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า ประชาชนผู้มีรายได้น้อย  มีศักยภาพในการชำระหนี้ และรักษาสัญญาเป็นอย่างดี  รัฐบาลจึงมุ่งเปิดโอกาส และสนับสนุนผู้มีรายได้น้อยได้มีเงินทุนในการประกอบอาชีพ เพื่อให้สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง

                รัฐบาลได้ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพให้กับประชาชนภายใต้โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค และได้ดำเนินการครบทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544 จากผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า มากกว่าร้อยละ 90 ของประชาชนพึงพอใจต่อนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค (ช่วงเวลาแรกมีประชาชนเข้าไปรักษากันมาก เพราะไม่เคยเข้าไปรับบริการด้านสุขภาพ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูง  ทั้งประชาชนและผู้ให้บริการจึงต้องอดทน ซึ่งในระยะต่อไปการขอใช้บริการคงจะลดลง)

                ขณะเดียวกันรัฐบาลได้จัดทำโครงการคู่ขนานไปด้วย คือ การส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้ประชาชน   หันมาเอาใจใส่สุขภาพ  รู้จักออกกำลังกาย รู้จักรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ รู้จักใช้ยาที่เหมาะสม  การทำงานเชิงรุกเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนเห็นความสำคัญในการสร้างสุขภาพ โดยเน้นยุทธศาสตร์การรวมพลังสร้างสุขภาพที่เน้นการปรับเปลี่ยนบทบาทให้โรงพยาบาลทำงานเชิงรุก ให้ความรู้แก่ประชาชน        ให้ตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างสุขภาพและให้ชุมชนรวมตัวกันเป็นชมรมสร้างสุขภาพ ซึ่งคาดว่า     จะมีอย่างน้อย 7,500 ชมรม เมื่อสิ้นปี 2545
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่