ชานมไข่มุก
รู้ไปโม้ด โดย น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com
จากข่าวสดรายวัน
http://www.matichon.co.th/online/2015/03/14253682731425368290l.jpg
ไก่จุก: อยากทราบว่าชานมไข่มุกที่ว่าเพื่อสุขภาพ จริงตามนั้นไหม?
ตอบไก่จุก
เกี่ยวกับชานมไข่มุก น้าชาติมีคำตอบที่ได้มาจากข้อมูลจากศูนย์วิทยบริการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ว่า ในการประชุมวิชาการโภชนาการ แห่งชาติ ครั้งที่ 6 ผศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ หัวหน้าภาควิชาโภชนาวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะเลขาธิการสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย รายงานว่า ต้นกำเนิดของชานมไข่มุกมาจากประเทศไต้หวัน ชื่อภาษาจีนว่า "จูเจินหน่ายฉา" แปลตามตัวว่า ชานมไข่มุก กรรมวิธีที่ทำเริ่มจากนำแป้งมันสำปะหลังมาทำให้ชื้น แล้วร่อนผ่านตะแกรงจนกลายเป็นเม็ดสาคูสีดำขึ้นมา ก่อนเอาไปต้มสุก จากนั้นทำชานมเย็นแล้วใส่เม็ดสาคูลงไป เกิดเป็นเครื่องดื่มชานมไข่มุก
ส่วนคนไทยเริ่มรู้จักชานมไข่มุก หรือชาไข่มุก อย่างแพร่หลายเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว ต่อมาชานมไข่มุกเริ่ม นำมาใส่ในเครื่องดื่มชนิดอื่นแทนชา เช่น นม โกโก้ กาแฟ หรือใส่เยลลี่เพิ่มเติมลงไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเครื่องดื่มประเภทชาไข่มุกได้รับความนิยมในยุโรปรวมทั้งเยอรมนี องค์การด้านสุขภาพและนักวิจัยเยอรมันได้ออกคำเตือน เพราะอาจมีกรณีสำลักเม็ดไข่มุก ทั้งยังระบุว่าตรวจพบสารก่อมะเร็งปนเปื้อน โดยผลงาน วิจัยจากมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลอาร์คอน (University Hospital Aachen) เตือนถึง การบริโภคเครื่องดื่มประเภทชาไข่มุก ว่า นอกจากเสี่ยงก่อให้เกิดอันตรายจากการสำลักเม็ดไข่มุกแล้ว จากการสุ่มตรวจ ยังพบว่าเม็ดไข่มุกเคี้ยวหนึบมีสารเคมีประเภท โพลีคลอริเนต ไบฟีนิล (Polychlorinated Biphenyls หรือ PCBs) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งเจือปนอยู่ด้วย
ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลพิษวิทยาระบุว่า สารเคมีประเภทโพลีคลอริเนต ไบฟีนิล เป็นสารที่ละลายน้ำได้น้อย แต่ละลายในไขมันได้ดี และสลายตัวได้ยากในสิ่งมีชีวิต เมื่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์จะถูกขับออกได้บ้างทางอุจจาระและปัสสาวะ ที่เหลือจะสะสมในร่างกายทีละน้อย จนเริ่มแสดงอาการของพิษ เริ่มตั้งแต่คลื่นไส้ เหนื่อย เบื่ออาหาร เกิดตุ่มฝีที่ผิวหนัง เล็บคล้ำ ฯลฯ ไปจนถึงอาการขั้นร้ายแรง คือทำให้เกิดความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ ระบบภูมิ คุ้มกัน และอาจทำให้เป็นมะเร็ง
นอกจากนั้น ยังน่าเป็นห่วงว่า สีสวยๆ ของเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นชาเย็น นมเย็น ชาเขียว ฯลฯ ก็อาจมีความเสี่ยงเรื่องการเจือปนสีผสมอาหาร ซึ่งถ้ามีสีผสมอาหารมาก การดื่มมากก็ไม่ปลอดภัยเพราะเป็นสีสังเคราะห์ แต่ขณะนี้ยังไม่พบปัญหาดังกล่าว และส่วนมากเครื่องดื่มจากชามักผสมสมุนไพรที่เป็นสีจากธรรมชาติ
ส่วนด้านอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องการเจือปนของสารเคมี คือความหวานที่อาจส่งผลให้ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้อย่าง ต่อเนื่อง เสี่ยงมีภาวะน้ำหนักเกินและเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
จึงแนะนำว่าให้ลดปริมาณการบริโภคให้น้อยลง ดื่มนานๆ ครั้ง ไม่ต้องซื้อกินทุกวัน หรือวันละหลายๆ แก้ว เพราะ ชาไข่มุกมีรสหวานมาก รวมถึงการดูดผ่านหลอดขนาดใหญ่ หรือหลอดจัมโบ้ อาจทำอันตรายได้เช่นกัน เมื่อดูดเข้าไป แล้วกลืนลงทันที อาจจะเกิดปัญหาเม็ดไข่มุกติดค้างในระบบทางเดินหายใจได้
คนขายชานมไข่มุก เอาไงดีครับ ผมว่ากระทบกับยอดขายแน่ๆ
ส่วนคอ ชานมไข่มุกอย่างผมคงค่อยๆลดการกินไปเรื่อยๆ คงไม่หักดิบ หรืออย่างมากก็เหลือแค่ ชานม ไม่ใส่ไข่มุก
ข่าว----"ชานมไข่มุก" กินเยอะๆ เป็นอะไรไหม?----สะท้านวงการ ชานมไข่มุก
รู้ไปโม้ด โดย น้าชาติ ประชาชื่น nachart@yahoo.com
จากข่าวสดรายวัน
http://www.matichon.co.th/online/2015/03/14253682731425368290l.jpg
ไก่จุก: อยากทราบว่าชานมไข่มุกที่ว่าเพื่อสุขภาพ จริงตามนั้นไหม?
ตอบไก่จุก
เกี่ยวกับชานมไข่มุก น้าชาติมีคำตอบที่ได้มาจากข้อมูลจากศูนย์วิทยบริการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ว่า ในการประชุมวิชาการโภชนาการ แห่งชาติ ครั้งที่ 6 ผศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ หัวหน้าภาควิชาโภชนาวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะเลขาธิการสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย รายงานว่า ต้นกำเนิดของชานมไข่มุกมาจากประเทศไต้หวัน ชื่อภาษาจีนว่า "จูเจินหน่ายฉา" แปลตามตัวว่า ชานมไข่มุก กรรมวิธีที่ทำเริ่มจากนำแป้งมันสำปะหลังมาทำให้ชื้น แล้วร่อนผ่านตะแกรงจนกลายเป็นเม็ดสาคูสีดำขึ้นมา ก่อนเอาไปต้มสุก จากนั้นทำชานมเย็นแล้วใส่เม็ดสาคูลงไป เกิดเป็นเครื่องดื่มชานมไข่มุก
ส่วนคนไทยเริ่มรู้จักชานมไข่มุก หรือชาไข่มุก อย่างแพร่หลายเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว ต่อมาชานมไข่มุกเริ่ม นำมาใส่ในเครื่องดื่มชนิดอื่นแทนชา เช่น นม โกโก้ กาแฟ หรือใส่เยลลี่เพิ่มเติมลงไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเครื่องดื่มประเภทชาไข่มุกได้รับความนิยมในยุโรปรวมทั้งเยอรมนี องค์การด้านสุขภาพและนักวิจัยเยอรมันได้ออกคำเตือน เพราะอาจมีกรณีสำลักเม็ดไข่มุก ทั้งยังระบุว่าตรวจพบสารก่อมะเร็งปนเปื้อน โดยผลงาน วิจัยจากมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลอาร์คอน (University Hospital Aachen) เตือนถึง การบริโภคเครื่องดื่มประเภทชาไข่มุก ว่า นอกจากเสี่ยงก่อให้เกิดอันตรายจากการสำลักเม็ดไข่มุกแล้ว จากการสุ่มตรวจ ยังพบว่าเม็ดไข่มุกเคี้ยวหนึบมีสารเคมีประเภท โพลีคลอริเนต ไบฟีนิล (Polychlorinated Biphenyls หรือ PCBs) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งเจือปนอยู่ด้วย
ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลพิษวิทยาระบุว่า สารเคมีประเภทโพลีคลอริเนต ไบฟีนิล เป็นสารที่ละลายน้ำได้น้อย แต่ละลายในไขมันได้ดี และสลายตัวได้ยากในสิ่งมีชีวิต เมื่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์จะถูกขับออกได้บ้างทางอุจจาระและปัสสาวะ ที่เหลือจะสะสมในร่างกายทีละน้อย จนเริ่มแสดงอาการของพิษ เริ่มตั้งแต่คลื่นไส้ เหนื่อย เบื่ออาหาร เกิดตุ่มฝีที่ผิวหนัง เล็บคล้ำ ฯลฯ ไปจนถึงอาการขั้นร้ายแรง คือทำให้เกิดความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ ระบบภูมิ คุ้มกัน และอาจทำให้เป็นมะเร็ง
นอกจากนั้น ยังน่าเป็นห่วงว่า สีสวยๆ ของเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นชาเย็น นมเย็น ชาเขียว ฯลฯ ก็อาจมีความเสี่ยงเรื่องการเจือปนสีผสมอาหาร ซึ่งถ้ามีสีผสมอาหารมาก การดื่มมากก็ไม่ปลอดภัยเพราะเป็นสีสังเคราะห์ แต่ขณะนี้ยังไม่พบปัญหาดังกล่าว และส่วนมากเครื่องดื่มจากชามักผสมสมุนไพรที่เป็นสีจากธรรมชาติ
ส่วนด้านอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องการเจือปนของสารเคมี คือความหวานที่อาจส่งผลให้ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้อย่าง ต่อเนื่อง เสี่ยงมีภาวะน้ำหนักเกินและเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
จึงแนะนำว่าให้ลดปริมาณการบริโภคให้น้อยลง ดื่มนานๆ ครั้ง ไม่ต้องซื้อกินทุกวัน หรือวันละหลายๆ แก้ว เพราะ ชาไข่มุกมีรสหวานมาก รวมถึงการดูดผ่านหลอดขนาดใหญ่ หรือหลอดจัมโบ้ อาจทำอันตรายได้เช่นกัน เมื่อดูดเข้าไป แล้วกลืนลงทันที อาจจะเกิดปัญหาเม็ดไข่มุกติดค้างในระบบทางเดินหายใจได้
คนขายชานมไข่มุก เอาไงดีครับ ผมว่ากระทบกับยอดขายแน่ๆ
ส่วนคอ ชานมไข่มุกอย่างผมคงค่อยๆลดการกินไปเรื่อยๆ คงไม่หักดิบ หรืออย่างมากก็เหลือแค่ ชานม ไม่ใส่ไข่มุก