เกริ่นเล็ก ๆ ก่อนเข้าเรื่องก็คือ เราอายุ 39 ปี มีลูกชายแล้ว 1 คน เคยตรวจมะเร็งปากมดลูกมานานแล้วก็ขาดช่วงไปไม่ได้ตรวจนานเช่นกัน เราเคยคิดว่าเราคงมีลูกแค่คนเดียวเท่านั้นก็คงเพียงพอแล้ว แต่แล้ววันหนึ่งเราได้อ่านเจอหลักโหราศาสตร์จีนจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งซึ่งพูดถึง "หลักซาฮะ" เผอิญว่ามีอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งตรงกับครอบครัวเรา คือ "กุน+เถาะ+มะแม" ซึ่งครอบครัวเรามีกุนและเถาะแล้ว จะขาดก็แต่มะแม ซึ่งตามความเชื่อคือถ้ามีครบหลักซาฮะ จะทำให้ตั้งแต่รุ่นลูกเราดีไปอีก 3 รุ่น (ซึ่งเป็นความเชื่อบุคคล เราก็คิดว่าก็ดีเหมือนกัน แต่จะจริงหรือไม่อันนี้เราก็ไม่รู้ แค่ว่าประจวบเหมาะว่าปีนี้มะแม บวกกับว่าแต่ละครอบครัวการที่จะครบหลักซาฮะก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ทำให้คิดว่าจะมีลูกอีกคนในปีนี้ และสิ่งที่คิดจะเตรียมความพร้อมก็ผุดขึ้นมาเป็นสเต็ปเหมือนกับเมื่อครั้งท้องลูกคนแรก รวมไปถึงการตรวจภายในและอัลตร้าซาวด์ช่องท้อง)
จากนั้นเราเริ่มต้นการตั้งเป้าลดน้ำหนักประมาณ 2-4 โล โดยงดแป้ง ขนมจุกจิก น้ำอัดลม รวมไปถึงเริ่มอบไอน้ำ เสริมธาตุเหล็กและโฟเลต จากนั้นก็เช็ควันว่างเพื่อจะไปตรวจภายในและอัลตร้าซาวด์
9 กุมภาพันธ์ 2558
หลังจากที่ส่งลูกชายไปโรงเรียนเราเข้าโรงพยาบาลเพื่อตรวจภายในและอัลตร้าซาวด์ตามที่ได้ทำนัดไว้กับหมอ ในวันนั้นหมอบอกว่าผลตรวจภายใน รอ 1 สัปดาห์ ถ้าผลปกติจะเป็น SMS แจ้ง แต่ถ้ามีผิดปกติจะเป็นพยาบาลโทรแจ้ง ส่วนอัลตร้าซาวด์นั้นทุกอวัยวะสืบพันธุ์ของเราปกติ มดลูกได้รูปสวย รังไข่ดี ไข่เยอะและสมบูรณ์ หมอบอกว่าหากต้องการจะมีบุตร ก็อยากให้รีบมีเพราะอายุมากแล้ว และให้เสริมโฟเลตล่วงหน้าไปได้เลย
16 กุมภาพันธ์ 2558
เหมือนฟ้าฝ่ากลางใจอย่างแรงทั้งที่ใกล้วันตรุษจีน เราได้รับโทรศัพท์จากทางโรงพยาบาลว่าผลการตรวจภายในมีเซลล์ที่ผิดปกติอยู่ คุณพยาบาลให้เราทำนัดคุณหมอเพื่อเข้ารับฟังผลการตรวจ หลังจากวางสายแล้วนั้น เราเริ่มหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งเจอทั้งเคสเบาและเคสหนักแตกต่างกันไป สภาวะอารมณ์ไม่ต้องพูดถึงเลย ..... เหนื่อยรับปีใหม่จีนเลยทีเดียว!
19 กุมภาพันธ์ 2558
วันนี้วันตรุษจีน เพื่อความสบายใจ เราปิดร้าน สามีเราหยุดงาน เรากับสามีไปพบหมอตามที่นัด คุณพยาบาลคงเห็นว่าสีหน้าเราไม่ค่อยจะดีนัก ก็ชวนคุยจนถึงเวลาที่คุณหมอมาและได้เข้าพบ คุณหมอเป็นคุณหมอเฉพาะทางด้านนี้ คุณหมอได้อธิบายเกี่ยวกับความผิดปกติของเซลล์ด้วยคำพูดที่ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนมาก ตั้งแต่ระดับผิดปกติของเซลล์น้อยไปถึงมากรวมถึงการรักษาด้วย (ก็เหมือนกับที่เราได้อ่านผ่านตากันมาบ้างแล้วในอินเตอร์เน็ต)
คุณหมอสรุปว่าของเราเบื้องต้นที่ตรวจพบจากแป๊บสเมียร์ คือ HSIL CIN III คือสีหน้าเราไม่ค่อยจะดีขึ้นมาอีก เราก็รู้ตัว ทั้ง ๆ ที่เราเองก็พยายามข่มใจแล้ว (คือมันเป็นระดับที่มากเกินกว่าที่เราคาดการณ์ไว้มาก) จากนั้นเราถามถึงขั้นตอนต่อไปที่จะทำคืออะไร คุณหมอได้เช็ควันที่เรามีประจำเดือนล่าสุด และนัดว่าหลังประจำเดือนเดือนนี้ให้เราโทรเข้ามานัดคุณหมอเพื่อทำ LEEP คือการชิ้นเนื้อด้วยห่วงไฟฟ้า เราได้ถามถึงว่าขั้นรุนแรงสุดที่เราจะเป็นได้คือระดับไหนและต้องรักษายังงัย คุณหมอได้อธิบายอย่างละเอียดคือเป็นมะเร็งปากมดลูก ถ้าถึงขั้นนั้นก็จะต้องตัดมดลูกและเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้นทั้งหมด
3 มีนาคม 2558
เราโทรแจ้งคุณพยาบาลเรื่องขอนัดทำ LEEP แต่พอดีวันที่เราขอนัดเป็นวันหยุดของคุณหมอ คุณพยาบาลไม่สามารถทำนัดให้ได้ บอกให้เรารอก่อนพอดีคุณหมอมีเคสด่วนเข้ามา แล้วจะรีบติดต่อกลับ พอคุณหมอได้รับข้อความที่ฝากไว้ คุณหมอก็โทรกลับมาคุยด้วยตัวเองว่าไม่ขัดข้องที่จะมาทำ LEEP ให้เราตามที่เรานัดไว้ และแจ้งเรื่องการเตรียมตัวก่อนจะไปทำ LEEP, X-Ray ปอด และ ตรวจคลื่นหัวใจ เรานัดหมอทำ LEEP วันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมานี้เองค่ะ (จากการคุยโทรศัพท์กับคุณหมอวันนั้น คุณหมอเองบอกว่าเท่าที่ดูจากเซลล์ที่ตรวจพบบวกกับอาการต่าง ๆ นั้นยังไม่น่าจะถึง CIS ก็ขอให้เราสบายใจ วางใจ และอย่าเพิ่งคิดมาก เพราะว่าหากถึงระดับที่เข้าสู่มะเร็งแม้ว่าจะไม่ลุกลาม แต่ก็เห็นความผิดปกติบางอย่างจากการอัลตร้าซาวด์ซึ่งคุณหมอบอกว่าไม่มีความผิดปกติใด ๆ หรือแม้กระทั่งอาการปวดท้องปวดหลังซึ่งเราเองก็ไม่มีเช่นกัน)
แต่เชื่อหรือไม่เชื่อคะ .................. ตลอดเวลาตั้งแต่รอประจำเดือนมา จนประจำเดือนหมด จนนัดหมอได้ และอีกแค่ 4 วันแห่งการรอคอยที่จะทำ LEEP เหมือนกับเป็นเวลาที่แสนจะยาวนานเหลือเกิน ความจิตตก ความฟุ้งซ่าน ความห่วง และหลายสิ่งอย่างที่เราคิดไปเองอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องลูกคนแรกที่แค่ 8 ขวบกว่า ๆ ไหนจะเรื่องเรียน ความเป็นอยู่ เรื่องงาน อาการป่วยเล็ก ๆ ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูกเลย เก็บมาคิดได้ไม่เว้นแต่ละนาที และจากที่ประมวลความคิดและสรุปเองก็คือ "ที่จริงแล้วไม่ได้กลัวตายด้วยโรคมะเร็ง แค่รู้สึกห่วงว่าหากเราป่วยไปซักคนนึง ลูกและคนรอบข้างจะอยู่กันยังงัยในเมื่อศักยภาพของคนที่ป่วยมันทำอะไรได้น้อยกว่าคนที่แข็งแรงเป็นไหน ๆ" แต่แล้วสติก็ถูกเรียกกลับมาจากสามี ซึ่งเค้าบอกว่า "การที่เรารู้ตัวว่าป่วย เราก็ควรยิ่งต้องเข้มแข็ง ยิ่งต้องมีกำลังใจ ไม่ใช่ป่วยแล้วจิตตก นอกจากจะเป็นการฆ่าตัวเองโดยตรงแล้วก็ยังเป็นการฆ่าคนอื่นทางอ้อมด้วย ให้ลองกลับมาคิดย้อนกลับว่าหากว่าเราป่วยเป็นโรคนั้นจริง ๆ เราจะทำให้ทุกวัน ๆ มีความสุข ทำเหมือนปกติที่เคยผ่านมาจะดีกว่ามั๊ย สิ่งที่หมอวินิจฉัยก็ยังไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น (เราบอกเค้าว่าก็แค่อยากแพลนไว้ก่อน ซึ่งสามีบอกไม่ต้องแพลน ไม่มีอะไรร้ายแรงขนาดนั้น) หากถึงแม้ว่าจะร้ายแรง ก็ไม่ต้องทำอะไร ให้รู้จักปลง สอนลูกให้เข้าใจเรื่องโรคนี้ สอนลูกให้ช่วยเหลือตัวเองได้ เวลาและประสบการณ์จะช่วยให้ลูกเข้มแข็งและผ่านไปได้ ซึ่งเค้าเจอมาก่อน ไม่งั้นเค้าก็คงตายตามพ่อไปตั้งแต่ 10 ขวบแล้ว" หลังจากที่เปิดใจคุยกันอย่างยาวในคืนนั้น วันรุ่งขึ้นเรากลับมาเป็นคนเดิม ร่าเริงและทำวันนี้ให้ดีที่สุด ส่วนการไปทำ LEEP และ ผลจะเป็นยังงัยนั้น ..... เราทิ้งมันไว้ข้างหลังแล้วค่ะ)
8 มีนาคม 2558
เรานัดคุณหมอทำ LEEP เวลา 9 โมงเช้า เรางดน้ำ-อาหารตั้งแต่เที่ยงคืนเมื่อคืนแล้วค่ะ และไปถึงโรงพยาบาล 6 โมงเช้า ทั้งซักประวัติ ตรวจคลื่นหัวใจ และ X-Ray ปวด จากนั้นก็ขึ้นไปห้องพักผู้ป่วยในและเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อรอเวลาส่งตัวเข้าห้องผ่าตัด
เวลา 8.15 น. คุณพยาบาลประจำ ward มาเจาะเลือด เจาะสายน้ำเกลือ และอธิบายขั้นตอนคร่าว ๆ ในการทำ LEEP ให้ฟังอีกครั้ง
เวลา 8.30 น. ส่งตัวเราไปที่ห้องผ่าตัด (ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่เคยมาผ่าตัดคลอดลูกชาย ต่างกันตรงที่ว่าวันที่มาผ่าตัดคลอดนั้น ยังเช้ามาก สะลึมสะลือเห็นภาพอะไรไม่ชัดเจนเท่าครั้งนี้ มาครั้งนี้สติมาเต็ม สายตาที่เห็นห้องและอุปกรณ์ชัดเจนเต็มตาอย่างมาก ความกลัวลดน้อยลงเพราะถึงมือหมอแล้วและคิดในใจว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และได้สวดมนต์บทอิติปิโสในใจก่อนที่จะดมยาสลบด้วย) คุณหมอมาก่อนเวลานัด ยิ้มแป้นแล้นมาแต่ไกล ถามเราว่า "เมื่อคืนเรานอนหลับมั๊ย" เราบอกว่า "ก็พยายามหลับให้ได้เพื่อที่จะฟื้นตัวได้เร็ว แต่ตอนนี้อยากหลับมาก ๆ แล้ว" หนึ่งเสียงพยาบาลดังขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ "คุณหมอเร่งหน่อย คนไข้เกิดอาการป๊อดแล้ว" ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะให้กับทีมคุณหมอ + เรา แล้วน่าจะรวม ๆ อยู่ที่ 6-7 คน จากนั้นมีอีกหนึ่งพยาบาลบอกขึ้นมาว่า "ผ่าซีซ่าร์มาแล้ว LEEP นับว่ามดเลย ไม่ต้องกลัวนะคะ ซีซ่าร์หนักและสาหัสกว่าก็ยังผ่านมาได้" ซักไม่ถึงนาทีคุณหมอวิสัญญีก็เอาออกซิเจนมาใส่ที่จมูกและเริ่มปล่อยยาเข้าที่เส้น จำได้ว่าเจ็บมากแต่ก็นับไม่ถึงสองก็ไม่รู้สึกตัวแล้วล่ะ
การทำ LEEP ใช้เวลา 15 นาที และพักฟื้นรอดูอาการก่อนจะย้ายกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วยประมาณ 1 ชั่วโมง เรารู้สึกตัวและลืมตาได้ตั้งแต่ที่คุณหมอและพยาบาลเรียกให้เราฟื้นแล้ว และให้เรานอนพักอีกเท่าไหร่ไม่แน่ใจ คุณหมอก็มาคุยด้วยว่าการทำ LEEP ผ่านไปได้ด้วยดี ตัดเซลล์ที่มีปัญหาออกให้หมดแล้วและจะส่งตรวจนัดมาฟังผลอีก 1 อาทิตย์ เราถามถึงระดับมากที่สุดที่เราจะเป็นได้ หมอบอกว่าถ้าจากการดูชิ้นเนื้อและเลือดที่ออกระหว่างทำ LEEP นั้นถือว่ายังอยู่ในระดับ CIN III เพราะว่าเลือดไม่ได้ออกเยอะ หมอส่องกล้องดูใหม่ทั้งหมด และคิดว่าไม่เป็นอะไรแล้ว ถ้าไม่สะดวกมาฟังผลที่โรงพยาบาลคุณหมอจะโทรแจ้งจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมา เราได้ถามย้ำถึงแล้วถ้าชิ้นเนื้อเกิดผิดปกติล่ะ คุณหมอบอกว่าก็ไม่ได้เป็นอะไรอีกเพราะว่าตัดออกทั้งหมดแล้ว และจะนัดอีกทีก็คือนัดมาตรวจติดตามแผลว่าหายรึยัง และหากยังจะมีลูกหลังจากแผลหาย ก็มีได้ตามปกติ
คุณหมอให้เราอยู่โรงพยาบาลสังเกตอาการทั้งวัน ... เราได้ออกจากโรงพยาบาล 6 โมงเย็นค่ะ
ประสบการณ์ที่ได้จากเรื่องนี้ คือ
1. ถึงแม้ว่าเราจะปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับเรื่องภายในของผู้หญิงอยู่บ่อยครั้งอยู่แล้ว --- แต่ไม่ควรละเลยที่จะตรวจภายในและอัลตร้าซาวด์ช่องท้อง
2. ถึงคุณผู้หญิงที่อายที่จะไปตรวจภายใน --- บอกได้คำเดียวจริง ๆ ค่ะ "ไม่ต้องอายเลยค่ะ เพื่อสุขอนามัยและชีวิตที่ดีของตัวเอง"
3. รอยโรคมะเร็งปากมดลูก - มะเร็งปากมดลูก --- เป็นอะไรที่ใช้เวลาฟักตัวนาน เป็นภัยเงียบ (ที่เงียบมากถึงมากที่สุด) เป็นอะไรที่ผู้หญิงทุกคนต้องเฝ้าระวังและคอยเช็คตลอด เพราะมันไม่มีอาการอะไรส่อออกมาให้เห็น จะมาเห็นมารู้อีกทีคือ เป็นเยอะแล้ว ... ผู้หญิงเสี่ยงทุกคนค่ะ
4. จากที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนมีสติที่จะทำอะไรได้ดีในระดับหนึ่ง แต่เมื่อมีเรื่องช็อคเข้ามาแล้วไม่ทันตั้งตัว ..... ก็ทำ "สติแตก" ได้เหมือนกัน จากวันนี้ไปนอกจากจะสอดส่องสุขภาพกายแล้ว ต้องหันมาบริหารจิตของตัวเองให้ดีกว่านี้ด้วย
5. ทำวันทุกวันให้ดี ให้มีความสุข หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น จะได้ไม่เสียดาย ไม่เสียใจ ที่จะไม่ได้ทำ
ปล. ตอนนี้ก็ยังรอผลตรวจชิ้นเนื้ออยู่ แต่ไม่เครียดอะไรอีกแล้ว และตั้งแต่ก่อนจะทำ LEEP คิดไว้ว่าจะมาเขียนเรื่องนี้ในพันทิปก็ได้มาเขียนตามความตั้งใจแล้ว ..... ขอบคุณนะคะ ที่แวะเข้ามาอ่านกัน (อาจจะไม่ได้มีข้อมูลวิชาการอะไรมากมาย เพราะเราก็ไม่ได้มีความรู้ด้านนี้มาก อ่านแค่พอผ่านให้ได้ข้อมูลที่จะคุยกับหมอมากกว่า และเน้นอ่านง่ายเข้าใจง่าย แต่น่าจะพอได้ประโยชน์อยู่บ้างนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ)
เกือบจะมะเร็งปากมดลูก ... ภัยเงียบที่มันมาเยือนเรา "เงียบมากจริง ๆ"
จากนั้นเราเริ่มต้นการตั้งเป้าลดน้ำหนักประมาณ 2-4 โล โดยงดแป้ง ขนมจุกจิก น้ำอัดลม รวมไปถึงเริ่มอบไอน้ำ เสริมธาตุเหล็กและโฟเลต จากนั้นก็เช็ควันว่างเพื่อจะไปตรวจภายในและอัลตร้าซาวด์
9 กุมภาพันธ์ 2558
หลังจากที่ส่งลูกชายไปโรงเรียนเราเข้าโรงพยาบาลเพื่อตรวจภายในและอัลตร้าซาวด์ตามที่ได้ทำนัดไว้กับหมอ ในวันนั้นหมอบอกว่าผลตรวจภายใน รอ 1 สัปดาห์ ถ้าผลปกติจะเป็น SMS แจ้ง แต่ถ้ามีผิดปกติจะเป็นพยาบาลโทรแจ้ง ส่วนอัลตร้าซาวด์นั้นทุกอวัยวะสืบพันธุ์ของเราปกติ มดลูกได้รูปสวย รังไข่ดี ไข่เยอะและสมบูรณ์ หมอบอกว่าหากต้องการจะมีบุตร ก็อยากให้รีบมีเพราะอายุมากแล้ว และให้เสริมโฟเลตล่วงหน้าไปได้เลย
16 กุมภาพันธ์ 2558
เหมือนฟ้าฝ่ากลางใจอย่างแรงทั้งที่ใกล้วันตรุษจีน เราได้รับโทรศัพท์จากทางโรงพยาบาลว่าผลการตรวจภายในมีเซลล์ที่ผิดปกติอยู่ คุณพยาบาลให้เราทำนัดคุณหมอเพื่อเข้ารับฟังผลการตรวจ หลังจากวางสายแล้วนั้น เราเริ่มหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งเจอทั้งเคสเบาและเคสหนักแตกต่างกันไป สภาวะอารมณ์ไม่ต้องพูดถึงเลย ..... เหนื่อยรับปีใหม่จีนเลยทีเดียว!
19 กุมภาพันธ์ 2558
วันนี้วันตรุษจีน เพื่อความสบายใจ เราปิดร้าน สามีเราหยุดงาน เรากับสามีไปพบหมอตามที่นัด คุณพยาบาลคงเห็นว่าสีหน้าเราไม่ค่อยจะดีนัก ก็ชวนคุยจนถึงเวลาที่คุณหมอมาและได้เข้าพบ คุณหมอเป็นคุณหมอเฉพาะทางด้านนี้ คุณหมอได้อธิบายเกี่ยวกับความผิดปกติของเซลล์ด้วยคำพูดที่ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนมาก ตั้งแต่ระดับผิดปกติของเซลล์น้อยไปถึงมากรวมถึงการรักษาด้วย (ก็เหมือนกับที่เราได้อ่านผ่านตากันมาบ้างแล้วในอินเตอร์เน็ต)
คุณหมอสรุปว่าของเราเบื้องต้นที่ตรวจพบจากแป๊บสเมียร์ คือ HSIL CIN III คือสีหน้าเราไม่ค่อยจะดีขึ้นมาอีก เราก็รู้ตัว ทั้ง ๆ ที่เราเองก็พยายามข่มใจแล้ว (คือมันเป็นระดับที่มากเกินกว่าที่เราคาดการณ์ไว้มาก) จากนั้นเราถามถึงขั้นตอนต่อไปที่จะทำคืออะไร คุณหมอได้เช็ควันที่เรามีประจำเดือนล่าสุด และนัดว่าหลังประจำเดือนเดือนนี้ให้เราโทรเข้ามานัดคุณหมอเพื่อทำ LEEP คือการชิ้นเนื้อด้วยห่วงไฟฟ้า เราได้ถามถึงว่าขั้นรุนแรงสุดที่เราจะเป็นได้คือระดับไหนและต้องรักษายังงัย คุณหมอได้อธิบายอย่างละเอียดคือเป็นมะเร็งปากมดลูก ถ้าถึงขั้นนั้นก็จะต้องตัดมดลูกและเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้นทั้งหมด
3 มีนาคม 2558
เราโทรแจ้งคุณพยาบาลเรื่องขอนัดทำ LEEP แต่พอดีวันที่เราขอนัดเป็นวันหยุดของคุณหมอ คุณพยาบาลไม่สามารถทำนัดให้ได้ บอกให้เรารอก่อนพอดีคุณหมอมีเคสด่วนเข้ามา แล้วจะรีบติดต่อกลับ พอคุณหมอได้รับข้อความที่ฝากไว้ คุณหมอก็โทรกลับมาคุยด้วยตัวเองว่าไม่ขัดข้องที่จะมาทำ LEEP ให้เราตามที่เรานัดไว้ และแจ้งเรื่องการเตรียมตัวก่อนจะไปทำ LEEP, X-Ray ปอด และ ตรวจคลื่นหัวใจ เรานัดหมอทำ LEEP วันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมานี้เองค่ะ (จากการคุยโทรศัพท์กับคุณหมอวันนั้น คุณหมอเองบอกว่าเท่าที่ดูจากเซลล์ที่ตรวจพบบวกกับอาการต่าง ๆ นั้นยังไม่น่าจะถึง CIS ก็ขอให้เราสบายใจ วางใจ และอย่าเพิ่งคิดมาก เพราะว่าหากถึงระดับที่เข้าสู่มะเร็งแม้ว่าจะไม่ลุกลาม แต่ก็เห็นความผิดปกติบางอย่างจากการอัลตร้าซาวด์ซึ่งคุณหมอบอกว่าไม่มีความผิดปกติใด ๆ หรือแม้กระทั่งอาการปวดท้องปวดหลังซึ่งเราเองก็ไม่มีเช่นกัน)
แต่เชื่อหรือไม่เชื่อคะ .................. ตลอดเวลาตั้งแต่รอประจำเดือนมา จนประจำเดือนหมด จนนัดหมอได้ และอีกแค่ 4 วันแห่งการรอคอยที่จะทำ LEEP เหมือนกับเป็นเวลาที่แสนจะยาวนานเหลือเกิน ความจิตตก ความฟุ้งซ่าน ความห่วง และหลายสิ่งอย่างที่เราคิดไปเองอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องลูกคนแรกที่แค่ 8 ขวบกว่า ๆ ไหนจะเรื่องเรียน ความเป็นอยู่ เรื่องงาน อาการป่วยเล็ก ๆ ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูกเลย เก็บมาคิดได้ไม่เว้นแต่ละนาที และจากที่ประมวลความคิดและสรุปเองก็คือ "ที่จริงแล้วไม่ได้กลัวตายด้วยโรคมะเร็ง แค่รู้สึกห่วงว่าหากเราป่วยไปซักคนนึง ลูกและคนรอบข้างจะอยู่กันยังงัยในเมื่อศักยภาพของคนที่ป่วยมันทำอะไรได้น้อยกว่าคนที่แข็งแรงเป็นไหน ๆ" แต่แล้วสติก็ถูกเรียกกลับมาจากสามี ซึ่งเค้าบอกว่า "การที่เรารู้ตัวว่าป่วย เราก็ควรยิ่งต้องเข้มแข็ง ยิ่งต้องมีกำลังใจ ไม่ใช่ป่วยแล้วจิตตก นอกจากจะเป็นการฆ่าตัวเองโดยตรงแล้วก็ยังเป็นการฆ่าคนอื่นทางอ้อมด้วย ให้ลองกลับมาคิดย้อนกลับว่าหากว่าเราป่วยเป็นโรคนั้นจริง ๆ เราจะทำให้ทุกวัน ๆ มีความสุข ทำเหมือนปกติที่เคยผ่านมาจะดีกว่ามั๊ย สิ่งที่หมอวินิจฉัยก็ยังไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น (เราบอกเค้าว่าก็แค่อยากแพลนไว้ก่อน ซึ่งสามีบอกไม่ต้องแพลน ไม่มีอะไรร้ายแรงขนาดนั้น) หากถึงแม้ว่าจะร้ายแรง ก็ไม่ต้องทำอะไร ให้รู้จักปลง สอนลูกให้เข้าใจเรื่องโรคนี้ สอนลูกให้ช่วยเหลือตัวเองได้ เวลาและประสบการณ์จะช่วยให้ลูกเข้มแข็งและผ่านไปได้ ซึ่งเค้าเจอมาก่อน ไม่งั้นเค้าก็คงตายตามพ่อไปตั้งแต่ 10 ขวบแล้ว" หลังจากที่เปิดใจคุยกันอย่างยาวในคืนนั้น วันรุ่งขึ้นเรากลับมาเป็นคนเดิม ร่าเริงและทำวันนี้ให้ดีที่สุด ส่วนการไปทำ LEEP และ ผลจะเป็นยังงัยนั้น ..... เราทิ้งมันไว้ข้างหลังแล้วค่ะ)
8 มีนาคม 2558
เรานัดคุณหมอทำ LEEP เวลา 9 โมงเช้า เรางดน้ำ-อาหารตั้งแต่เที่ยงคืนเมื่อคืนแล้วค่ะ และไปถึงโรงพยาบาล 6 โมงเช้า ทั้งซักประวัติ ตรวจคลื่นหัวใจ และ X-Ray ปวด จากนั้นก็ขึ้นไปห้องพักผู้ป่วยในและเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อรอเวลาส่งตัวเข้าห้องผ่าตัด
เวลา 8.15 น. คุณพยาบาลประจำ ward มาเจาะเลือด เจาะสายน้ำเกลือ และอธิบายขั้นตอนคร่าว ๆ ในการทำ LEEP ให้ฟังอีกครั้ง
เวลา 8.30 น. ส่งตัวเราไปที่ห้องผ่าตัด (ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่เคยมาผ่าตัดคลอดลูกชาย ต่างกันตรงที่ว่าวันที่มาผ่าตัดคลอดนั้น ยังเช้ามาก สะลึมสะลือเห็นภาพอะไรไม่ชัดเจนเท่าครั้งนี้ มาครั้งนี้สติมาเต็ม สายตาที่เห็นห้องและอุปกรณ์ชัดเจนเต็มตาอย่างมาก ความกลัวลดน้อยลงเพราะถึงมือหมอแล้วและคิดในใจว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี และได้สวดมนต์บทอิติปิโสในใจก่อนที่จะดมยาสลบด้วย) คุณหมอมาก่อนเวลานัด ยิ้มแป้นแล้นมาแต่ไกล ถามเราว่า "เมื่อคืนเรานอนหลับมั๊ย" เราบอกว่า "ก็พยายามหลับให้ได้เพื่อที่จะฟื้นตัวได้เร็ว แต่ตอนนี้อยากหลับมาก ๆ แล้ว" หนึ่งเสียงพยาบาลดังขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ "คุณหมอเร่งหน่อย คนไข้เกิดอาการป๊อดแล้ว" ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะให้กับทีมคุณหมอ + เรา แล้วน่าจะรวม ๆ อยู่ที่ 6-7 คน จากนั้นมีอีกหนึ่งพยาบาลบอกขึ้นมาว่า "ผ่าซีซ่าร์มาแล้ว LEEP นับว่ามดเลย ไม่ต้องกลัวนะคะ ซีซ่าร์หนักและสาหัสกว่าก็ยังผ่านมาได้" ซักไม่ถึงนาทีคุณหมอวิสัญญีก็เอาออกซิเจนมาใส่ที่จมูกและเริ่มปล่อยยาเข้าที่เส้น จำได้ว่าเจ็บมากแต่ก็นับไม่ถึงสองก็ไม่รู้สึกตัวแล้วล่ะ
การทำ LEEP ใช้เวลา 15 นาที และพักฟื้นรอดูอาการก่อนจะย้ายกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วยประมาณ 1 ชั่วโมง เรารู้สึกตัวและลืมตาได้ตั้งแต่ที่คุณหมอและพยาบาลเรียกให้เราฟื้นแล้ว และให้เรานอนพักอีกเท่าไหร่ไม่แน่ใจ คุณหมอก็มาคุยด้วยว่าการทำ LEEP ผ่านไปได้ด้วยดี ตัดเซลล์ที่มีปัญหาออกให้หมดแล้วและจะส่งตรวจนัดมาฟังผลอีก 1 อาทิตย์ เราถามถึงระดับมากที่สุดที่เราจะเป็นได้ หมอบอกว่าถ้าจากการดูชิ้นเนื้อและเลือดที่ออกระหว่างทำ LEEP นั้นถือว่ายังอยู่ในระดับ CIN III เพราะว่าเลือดไม่ได้ออกเยอะ หมอส่องกล้องดูใหม่ทั้งหมด และคิดว่าไม่เป็นอะไรแล้ว ถ้าไม่สะดวกมาฟังผลที่โรงพยาบาลคุณหมอจะโทรแจ้งจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมา เราได้ถามย้ำถึงแล้วถ้าชิ้นเนื้อเกิดผิดปกติล่ะ คุณหมอบอกว่าก็ไม่ได้เป็นอะไรอีกเพราะว่าตัดออกทั้งหมดแล้ว และจะนัดอีกทีก็คือนัดมาตรวจติดตามแผลว่าหายรึยัง และหากยังจะมีลูกหลังจากแผลหาย ก็มีได้ตามปกติ
คุณหมอให้เราอยู่โรงพยาบาลสังเกตอาการทั้งวัน ... เราได้ออกจากโรงพยาบาล 6 โมงเย็นค่ะ
ประสบการณ์ที่ได้จากเรื่องนี้ คือ
1. ถึงแม้ว่าเราจะปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับเรื่องภายในของผู้หญิงอยู่บ่อยครั้งอยู่แล้ว --- แต่ไม่ควรละเลยที่จะตรวจภายในและอัลตร้าซาวด์ช่องท้อง
2. ถึงคุณผู้หญิงที่อายที่จะไปตรวจภายใน --- บอกได้คำเดียวจริง ๆ ค่ะ "ไม่ต้องอายเลยค่ะ เพื่อสุขอนามัยและชีวิตที่ดีของตัวเอง"
3. รอยโรคมะเร็งปากมดลูก - มะเร็งปากมดลูก --- เป็นอะไรที่ใช้เวลาฟักตัวนาน เป็นภัยเงียบ (ที่เงียบมากถึงมากที่สุด) เป็นอะไรที่ผู้หญิงทุกคนต้องเฝ้าระวังและคอยเช็คตลอด เพราะมันไม่มีอาการอะไรส่อออกมาให้เห็น จะมาเห็นมารู้อีกทีคือ เป็นเยอะแล้ว ... ผู้หญิงเสี่ยงทุกคนค่ะ
4. จากที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนมีสติที่จะทำอะไรได้ดีในระดับหนึ่ง แต่เมื่อมีเรื่องช็อคเข้ามาแล้วไม่ทันตั้งตัว ..... ก็ทำ "สติแตก" ได้เหมือนกัน จากวันนี้ไปนอกจากจะสอดส่องสุขภาพกายแล้ว ต้องหันมาบริหารจิตของตัวเองให้ดีกว่านี้ด้วย
5. ทำวันทุกวันให้ดี ให้มีความสุข หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น จะได้ไม่เสียดาย ไม่เสียใจ ที่จะไม่ได้ทำ
ปล. ตอนนี้ก็ยังรอผลตรวจชิ้นเนื้ออยู่ แต่ไม่เครียดอะไรอีกแล้ว และตั้งแต่ก่อนจะทำ LEEP คิดไว้ว่าจะมาเขียนเรื่องนี้ในพันทิปก็ได้มาเขียนตามความตั้งใจแล้ว ..... ขอบคุณนะคะ ที่แวะเข้ามาอ่านกัน (อาจจะไม่ได้มีข้อมูลวิชาการอะไรมากมาย เพราะเราก็ไม่ได้มีความรู้ด้านนี้มาก อ่านแค่พอผ่านให้ได้ข้อมูลที่จะคุยกับหมอมากกว่า และเน้นอ่านง่ายเข้าใจง่าย แต่น่าจะพอได้ประโยชน์อยู่บ้างนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ)