ความตอนเดิม
http://ppantip.com/topic/33261698
เช้าวันรุ่งขึ้น สำหรับ การเดินทางมายังเกาะ Isabela ที่ Ecuador นี่คือวันที่ 3 จาก 6 วันที่เราตั้งใจกันไว้ เกาะนี้นับว่าห่างไกลความเจริญพอตัวทีเดียว หากใครคิดจะมาต้องทำใจเรื่องอาหาร การกินและที่พัก นอกจากมีเงิน กล้าจ่ายสักแสน ก็ยังพอหาที่พักดีๆ อาหารอร่อยๆ ได้บนเกาะนี้ แต่สำหรับเราสองคน อาหารเช้าวันนี้ก่อนที่จะออกไป Snorkeling กัน คือขนมปังแอมชีสที่เราทำกันเองเมื่อคืนนี้ และมันก็คืออาหารกลางวันของเราด้วยเช่นกัน ทำไงได้ของมันแพง ก็ต้องอยู่อย่างลำเข็ญเล็กน้อย
เวลาประมาณ 9.30 น รถของบริษัททัวร์มารับเราตามเวลานัดหมาย เจ้าหน้าที่ของบริษัททัวร์พาเราไปยังท่าเรือที่เราขึ้นเกาะนี้ในวันแรก ที่ท่าเรือมีแมวน้ำน่ารักนอนยึดพื้นที่ตามเก้าอี้บ้าง ริมถนนตามพื้นบ้าง ฉันบอกหมอให้ไปยืนใกล้แมวน้ำจะได้ถ่ายรูปคู่ พอหมอเข้าใกล้มันเห่าไล่เลย ไม่ดิ มันไม่ใช่หมานี่หว่า มันร้องไล่ มันคงรำคาญอยากนอน เลยอดได้รูปคู่เลย เดินเล่นอยู่สักพักเรือก็มา เราลงเรือลำเล็กๆ จุคนได้สัก 12 คน เครื่องยนต์เล็กๆ วิ่งได้ช้าๆ ซึ่งก็ดีสำหรับเรา เพราะเราสองคนว่ายน้ำได้ระดับอนุบาลถึงประถมเท่านั้น
ไกด์พาโฉบผ่านฝั่งแห่งหนึ่งให้เราไปชมนกเพนกวินและอีกัวน่าสักอึดใจ ก็พาเราไปเดินที่เกาะเล็กๆ ที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อ 5,000 ปีก่อน
ไกด์อธิบายเรื่องของหินลาวาว่า “มันเกิดการทำปฏิกิริยาทางเคมี ที่ชื่อว่าไนโตรเจนจากลาวามาเจอกับอากาศทำให้เกิดรูพรุน” ประมาณนั้น
แล้วก็อธิบายว่า “ซากปะการังที่เห็นเป็นซากที่เกิดการสะสมเป็นเวลานานแล้วมาทับถมเข้ากับหินลาวา ปะการังมีหลายชนิดที่มันทับถมกันอยู่” (รู้สึกเหมือนกำลังท่องวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตตอนประถมเลย)
เจ้าปะการังเนี่ยถูกอธิบาย แค่มีหลายชนิดนะไม่ได้บอกว่ากี่ชนิดแน่ จะบอกทำไม เคยเรียนมาแล้ว ตอนเด็กๆ คือทั้งหมดเนี่ยไม่ได้อยากรู้เลย หมอกับฉันแอบบ่นเสียงดังกันสองคน ที่อยากรู้นะ คือประวัติความเป็นมา ทำไมมันถึงเป็นเกาะที่กำลังจะหายไป หรือสัตว์ที่นี่มีกี่ชนิด กี่สายพันธ์ เกิดอะไรขึ้นมันถึงใกล้สูญพันธ์ ในเมื่อมีกฎมากมายในการรักษาชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขนาดนี้ ที่เรากล้าบ่นเสียงดังตลอดการเดินทางไม่ใช่ว่าแน่อะไร หรอก แต่มันฟังเราไม่ออก ทั้งทัวร์มีพี่ไทยอยู่สองคน พูดให้ถูกคือทั้งเกาะมากกว่า
จากนั้นไกด์ก็พาเราดูต้นโกงกาง อธิบายแค่มันเป็นแหล่งผลิตอากาศ ปัดโธ่ ต้นอื่นก็ผลิตอากาศเหมือนกันนะ เพื่อไรเนี่ย!!! คุณครูที่โรงเรียนสอนเยอะกว่านี้นะ ลุงไกด์ สำหรับเรารู้สึกไม่สนุกการฟังเรื่องราวต่างๆจากไกด์ ในขณะที่บางคนตื่นเต้นเหมือนเห็นของแปลก ถ่ายรูปกันใหญ่เลย
เสร็จจากการเดินดูหินลาวา ซากปะการังและต้นโกงกาง เราก็เตรียมลงเรือเพื่อไปดำน้ำดูปะการังและปลาน้อยใหญ่ แต่ก่อนจะลงเรือเราพบฉลามตัวไม่ใหญ่มากนัก 3 ตัว ยาวสัก 2 เมตรเห็นจะได้ นอนเล่นอยู่ตรงซอกหินขนาดใหญ่ ฉันอยากถ่ายรูปมันมาก แต่โชคร้ายกล้อง GoPro ที่เอามาด้วยเสีย เฉยเลย อยากกรีดร้องเสียงดังๆ เพิ่งถอยออกมานะ เสียได้ไงเนี่ย เศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง
หลังจากชมเกาะก็ได้เวลาดำน้ำ คนขับเรือพาเราไปปล่อยไว้ห่างจากจุดดำน้ำไกลมาก เราต้องว่ายน้ำเข้าไปยังจุดที่ดูปลาและประการัง แล้วทำไมไม่ขับเรือไปตรงจุดดูปะการังเลย ไม่ใจอ่ะ ไม่ใจ ที่สำคัญ หน้ากากของหมอมีน้ำมันเข้าตลอดเวลา ทำให้เราต้องหยุดคอยดูแลกัน พอเราขอเปลี่ยนหน้ากากใหม่ คนอื่นที่ดูปะการังเสร็จแล้วก็ขึ้นเรือกันหมดเลย ดังนั้นสิ่งที่เราเห็นใต้น้ำในขณะว่ายไปยังจุดดูปะการังก็มีแค่ ปลาขนาดเล็กว่ายผ่านหน้าเป็นฝูง นอกจากนี้ยังเห็นปลาเสือเหมือนในทะเลบ้านเราเลย ก็สวยดี แต่บ้านเราก็มีนะ
บ่ายโมงได้เวลากลับ เราว่างในช่วงบ่ายเลยตัดสินใจ ไปเช่าจักรยานขี่เล่นกัน ปรากฎว่าจักรยานหมด จักรยานหมด!!! ไม่เหลือสักร้าน อย่างนี้ก็เดินดิ เดินก็เดินว่ะ เราเดินไปประมาณสัก 1 กิโลเมตร เราก็มาถึงปากทางเข้าเส้นทางเดินดูนกฟามิงโก อีกัวน่า และเต่ายักษ์ เส้นทางเดินสวยมาก มันเป็นทางเดินเล็กที่มีต้นไม้อยู่รอบตัวในบางช่วง บางช่วงก็มีแต่ตะบองเพชร ดูแห้งแล้ง บางช่วงเราก็เดินบนสะพานไม้เพื่อเดินผ่านบึงขนาดใหญ่ ระหว่างทางเราเจออีกัวน่านอน ขวางสะพานอยู่ แล้วเราจะผ่านมันไปยังไง นั่นดิ! ตัวใหญ่อ่ะ หลังกับจงอยมันหนามเพียบ หมอเล่นปีนราวสะพานเลย ส่วนฉันเดินข้ามแถวๆหางมันไป
สักพักเราเจออีกกัวน่าขวางหน้าอีกตัว กำลังยืนคิดกันจะข้ามไงดีคราวนี้ ตัวมันใหญ่ซะด้วย ทำไมมีแต่ตัวใหญ่เนี่ย มันน่ากลัวนะ ยังไม่ทันจะคิดเลย อีกด้านของสะพาน มีผู้ชายจูงหมามา 3 ตัว อีกัวน่าเห็นเข้าตกใจกลัวหมา อีกัวน่ากลัวหมา ไม่กลัวเรา เราใหญ่กว่าหมาตั้งเยอะ เออ แต่จะว่าไปทำไมเรากลัวมันละ ไม่ใจเลย อีกัวน่าหนีมามาหาเราสองคน มัน! มัน! มันวิ่งชนิดที่พุ่งเข้ามาหาเรา ตายห่าทำไงล่ะ คิด คิด ขณะคิด ก็เหลือบไปดูหมอ หมอมันเกาะราวสะพานเรียบร้อยละ เร็วมาก แถมกรี๊ดร้องล่วงหน้าอีกแหนะ ส่วนฉันตั้งใจรอดูว่ามันจะวิ่งเข้าหาเราหรือเลี้ยวลงน้ำไป ส่วนผู้ชายคนนั้นเห็นหมอเกาะราวก็ตะโกนว่าไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว เออดิ มันไม่ได้พุ่งไปทางแกหนิ มันมาทางเรานะ ปัดโธ่!!! สุดท้ายมันไม่เลี้ยวลงน้ำแต่เลือกพุ่งหาเรา เฮ้ย!! ทำไมแกไม่เลี้ยวไป ประชิดตัวเกินไปแล้ว ทันใดนั้น ฉันก็กระโดดเกาะราวสะพานไปอีกคน พอมันผ่านหน้าเรามัน
น้ำลายให้หนึ่งทีด้วยเป็นของแถมอีกต่างหาก นั่นดูมันทำ ชิชิ พอมันจากไป เราสองคนก็ลงจากราวสะพาน คิดแล้วหวาดกลัว ถ้าราวหักตกลงไปข้างล่าง จะเจอหนามที่หลังอีกัวน่าเสียบเรากี่รู้กันนะ พวกมันอยู่กันระเกะระกะไปหมดเลย
เดินไปอีกนิด เราก็เจอนกฟามิงโก้ เราส่องนกกันอยู่พัก หวังว่าจะได้รูปสวยๆสักรูป แต่จะสวยมั้ยคงต้องรอกลับเมืองไทยเพราะมันอยู่ในกล้องใหญ่ เดินจนสุดทางเราก็เจอศูนย์เพาะพันธ์เต่า ที่นี่เค้าเอาไข่เต่ามาโชว์ให้นักท่องเที่ยวดูด้วย เราดูเต่าตั้งแต่ตัวเท่าฝ่ามือไปจนถึงตัวเท่าฝาโอ่งกันเลยทีเดียว ขากลับเป็นช่วงเวลาประมาณ 5 โมงเย็นแล้ว เราเลือกเดินกลับทางถนนใหญ่เพราะหวังว่ามันจะใกล้กว่าทางเดิม ระหว่างทางเราก็เดินถ่ายนกไปตลอดทาง กล้องฉันเป็นเลนส์ซูมสำหรับถ่ายสัตว์อยู่แล้วเลยหยิบถ่ายไปมั่วๆ ได้ตลอดทาง แต่หมอแบกสองเลนส์ เลนส์วายกับเลนส์ซูม พอหมอเปลี่ยนเล่นวายนกมา พอเปลี่ยนเลนส์ซูมนกบินไปละ มันเหมือนแกล้งหมอเลย วันนี้ถือว่าเราใช้เวลาคุ้มค่า แม้จะมีช่วงที่ไม่สนุกบ้าง มันก็เป็นธรรมดาของการท่องเที่ยว สำหรับวันพรุ่งนี้เราก็ยังคงดำน้ำอีกหนึ่งวัน แต่ไปจุดที่ไกลกว่าเดิม หวังว่าจะสนุก
ขอบฟ้าไกล ใครว่าไปไม่ถึง : กาลาปากอส, เอกวาดอร์ 3_3
เช้าวันรุ่งขึ้น สำหรับ การเดินทางมายังเกาะ Isabela ที่ Ecuador นี่คือวันที่ 3 จาก 6 วันที่เราตั้งใจกันไว้ เกาะนี้นับว่าห่างไกลความเจริญพอตัวทีเดียว หากใครคิดจะมาต้องทำใจเรื่องอาหาร การกินและที่พัก นอกจากมีเงิน กล้าจ่ายสักแสน ก็ยังพอหาที่พักดีๆ อาหารอร่อยๆ ได้บนเกาะนี้ แต่สำหรับเราสองคน อาหารเช้าวันนี้ก่อนที่จะออกไป Snorkeling กัน คือขนมปังแอมชีสที่เราทำกันเองเมื่อคืนนี้ และมันก็คืออาหารกลางวันของเราด้วยเช่นกัน ทำไงได้ของมันแพง ก็ต้องอยู่อย่างลำเข็ญเล็กน้อย
เวลาประมาณ 9.30 น รถของบริษัททัวร์มารับเราตามเวลานัดหมาย เจ้าหน้าที่ของบริษัททัวร์พาเราไปยังท่าเรือที่เราขึ้นเกาะนี้ในวันแรก ที่ท่าเรือมีแมวน้ำน่ารักนอนยึดพื้นที่ตามเก้าอี้บ้าง ริมถนนตามพื้นบ้าง ฉันบอกหมอให้ไปยืนใกล้แมวน้ำจะได้ถ่ายรูปคู่ พอหมอเข้าใกล้มันเห่าไล่เลย ไม่ดิ มันไม่ใช่หมานี่หว่า มันร้องไล่ มันคงรำคาญอยากนอน เลยอดได้รูปคู่เลย เดินเล่นอยู่สักพักเรือก็มา เราลงเรือลำเล็กๆ จุคนได้สัก 12 คน เครื่องยนต์เล็กๆ วิ่งได้ช้าๆ ซึ่งก็ดีสำหรับเรา เพราะเราสองคนว่ายน้ำได้ระดับอนุบาลถึงประถมเท่านั้น
ไกด์พาโฉบผ่านฝั่งแห่งหนึ่งให้เราไปชมนกเพนกวินและอีกัวน่าสักอึดใจ ก็พาเราไปเดินที่เกาะเล็กๆ ที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อ 5,000 ปีก่อน
ไกด์อธิบายเรื่องของหินลาวาว่า “มันเกิดการทำปฏิกิริยาทางเคมี ที่ชื่อว่าไนโตรเจนจากลาวามาเจอกับอากาศทำให้เกิดรูพรุน” ประมาณนั้น
แล้วก็อธิบายว่า “ซากปะการังที่เห็นเป็นซากที่เกิดการสะสมเป็นเวลานานแล้วมาทับถมเข้ากับหินลาวา ปะการังมีหลายชนิดที่มันทับถมกันอยู่” (รู้สึกเหมือนกำลังท่องวิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตตอนประถมเลย)
เจ้าปะการังเนี่ยถูกอธิบาย แค่มีหลายชนิดนะไม่ได้บอกว่ากี่ชนิดแน่ จะบอกทำไม เคยเรียนมาแล้ว ตอนเด็กๆ คือทั้งหมดเนี่ยไม่ได้อยากรู้เลย หมอกับฉันแอบบ่นเสียงดังกันสองคน ที่อยากรู้นะ คือประวัติความเป็นมา ทำไมมันถึงเป็นเกาะที่กำลังจะหายไป หรือสัตว์ที่นี่มีกี่ชนิด กี่สายพันธ์ เกิดอะไรขึ้นมันถึงใกล้สูญพันธ์ ในเมื่อมีกฎมากมายในการรักษาชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขนาดนี้ ที่เรากล้าบ่นเสียงดังตลอดการเดินทางไม่ใช่ว่าแน่อะไร หรอก แต่มันฟังเราไม่ออก ทั้งทัวร์มีพี่ไทยอยู่สองคน พูดให้ถูกคือทั้งเกาะมากกว่า
จากนั้นไกด์ก็พาเราดูต้นโกงกาง อธิบายแค่มันเป็นแหล่งผลิตอากาศ ปัดโธ่ ต้นอื่นก็ผลิตอากาศเหมือนกันนะ เพื่อไรเนี่ย!!! คุณครูที่โรงเรียนสอนเยอะกว่านี้นะ ลุงไกด์ สำหรับเรารู้สึกไม่สนุกการฟังเรื่องราวต่างๆจากไกด์ ในขณะที่บางคนตื่นเต้นเหมือนเห็นของแปลก ถ่ายรูปกันใหญ่เลย
เสร็จจากการเดินดูหินลาวา ซากปะการังและต้นโกงกาง เราก็เตรียมลงเรือเพื่อไปดำน้ำดูปะการังและปลาน้อยใหญ่ แต่ก่อนจะลงเรือเราพบฉลามตัวไม่ใหญ่มากนัก 3 ตัว ยาวสัก 2 เมตรเห็นจะได้ นอนเล่นอยู่ตรงซอกหินขนาดใหญ่ ฉันอยากถ่ายรูปมันมาก แต่โชคร้ายกล้อง GoPro ที่เอามาด้วยเสีย เฉยเลย อยากกรีดร้องเสียงดังๆ เพิ่งถอยออกมานะ เสียได้ไงเนี่ย เศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง
หลังจากชมเกาะก็ได้เวลาดำน้ำ คนขับเรือพาเราไปปล่อยไว้ห่างจากจุดดำน้ำไกลมาก เราต้องว่ายน้ำเข้าไปยังจุดที่ดูปลาและประการัง แล้วทำไมไม่ขับเรือไปตรงจุดดูปะการังเลย ไม่ใจอ่ะ ไม่ใจ ที่สำคัญ หน้ากากของหมอมีน้ำมันเข้าตลอดเวลา ทำให้เราต้องหยุดคอยดูแลกัน พอเราขอเปลี่ยนหน้ากากใหม่ คนอื่นที่ดูปะการังเสร็จแล้วก็ขึ้นเรือกันหมดเลย ดังนั้นสิ่งที่เราเห็นใต้น้ำในขณะว่ายไปยังจุดดูปะการังก็มีแค่ ปลาขนาดเล็กว่ายผ่านหน้าเป็นฝูง นอกจากนี้ยังเห็นปลาเสือเหมือนในทะเลบ้านเราเลย ก็สวยดี แต่บ้านเราก็มีนะ
บ่ายโมงได้เวลากลับ เราว่างในช่วงบ่ายเลยตัดสินใจ ไปเช่าจักรยานขี่เล่นกัน ปรากฎว่าจักรยานหมด จักรยานหมด!!! ไม่เหลือสักร้าน อย่างนี้ก็เดินดิ เดินก็เดินว่ะ เราเดินไปประมาณสัก 1 กิโลเมตร เราก็มาถึงปากทางเข้าเส้นทางเดินดูนกฟามิงโก อีกัวน่า และเต่ายักษ์ เส้นทางเดินสวยมาก มันเป็นทางเดินเล็กที่มีต้นไม้อยู่รอบตัวในบางช่วง บางช่วงก็มีแต่ตะบองเพชร ดูแห้งแล้ง บางช่วงเราก็เดินบนสะพานไม้เพื่อเดินผ่านบึงขนาดใหญ่ ระหว่างทางเราเจออีกัวน่านอน ขวางสะพานอยู่ แล้วเราจะผ่านมันไปยังไง นั่นดิ! ตัวใหญ่อ่ะ หลังกับจงอยมันหนามเพียบ หมอเล่นปีนราวสะพานเลย ส่วนฉันเดินข้ามแถวๆหางมันไป
สักพักเราเจออีกกัวน่าขวางหน้าอีกตัว กำลังยืนคิดกันจะข้ามไงดีคราวนี้ ตัวมันใหญ่ซะด้วย ทำไมมีแต่ตัวใหญ่เนี่ย มันน่ากลัวนะ ยังไม่ทันจะคิดเลย อีกด้านของสะพาน มีผู้ชายจูงหมามา 3 ตัว อีกัวน่าเห็นเข้าตกใจกลัวหมา อีกัวน่ากลัวหมา ไม่กลัวเรา เราใหญ่กว่าหมาตั้งเยอะ เออ แต่จะว่าไปทำไมเรากลัวมันละ ไม่ใจเลย อีกัวน่าหนีมามาหาเราสองคน มัน! มัน! มันวิ่งชนิดที่พุ่งเข้ามาหาเรา ตายห่าทำไงล่ะ คิด คิด ขณะคิด ก็เหลือบไปดูหมอ หมอมันเกาะราวสะพานเรียบร้อยละ เร็วมาก แถมกรี๊ดร้องล่วงหน้าอีกแหนะ ส่วนฉันตั้งใจรอดูว่ามันจะวิ่งเข้าหาเราหรือเลี้ยวลงน้ำไป ส่วนผู้ชายคนนั้นเห็นหมอเกาะราวก็ตะโกนว่าไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว เออดิ มันไม่ได้พุ่งไปทางแกหนิ มันมาทางเรานะ ปัดโธ่!!! สุดท้ายมันไม่เลี้ยวลงน้ำแต่เลือกพุ่งหาเรา เฮ้ย!! ทำไมแกไม่เลี้ยวไป ประชิดตัวเกินไปแล้ว ทันใดนั้น ฉันก็กระโดดเกาะราวสะพานไปอีกคน พอมันผ่านหน้าเรามันน้ำลายให้หนึ่งทีด้วยเป็นของแถมอีกต่างหาก นั่นดูมันทำ ชิชิ พอมันจากไป เราสองคนก็ลงจากราวสะพาน คิดแล้วหวาดกลัว ถ้าราวหักตกลงไปข้างล่าง จะเจอหนามที่หลังอีกัวน่าเสียบเรากี่รู้กันนะ พวกมันอยู่กันระเกะระกะไปหมดเลย
เดินไปอีกนิด เราก็เจอนกฟามิงโก้ เราส่องนกกันอยู่พัก หวังว่าจะได้รูปสวยๆสักรูป แต่จะสวยมั้ยคงต้องรอกลับเมืองไทยเพราะมันอยู่ในกล้องใหญ่ เดินจนสุดทางเราก็เจอศูนย์เพาะพันธ์เต่า ที่นี่เค้าเอาไข่เต่ามาโชว์ให้นักท่องเที่ยวดูด้วย เราดูเต่าตั้งแต่ตัวเท่าฝ่ามือไปจนถึงตัวเท่าฝาโอ่งกันเลยทีเดียว ขากลับเป็นช่วงเวลาประมาณ 5 โมงเย็นแล้ว เราเลือกเดินกลับทางถนนใหญ่เพราะหวังว่ามันจะใกล้กว่าทางเดิม ระหว่างทางเราก็เดินถ่ายนกไปตลอดทาง กล้องฉันเป็นเลนส์ซูมสำหรับถ่ายสัตว์อยู่แล้วเลยหยิบถ่ายไปมั่วๆ ได้ตลอดทาง แต่หมอแบกสองเลนส์ เลนส์วายกับเลนส์ซูม พอหมอเปลี่ยนเล่นวายนกมา พอเปลี่ยนเลนส์ซูมนกบินไปละ มันเหมือนแกล้งหมอเลย วันนี้ถือว่าเราใช้เวลาคุ้มค่า แม้จะมีช่วงที่ไม่สนุกบ้าง มันก็เป็นธรรมดาของการท่องเที่ยว สำหรับวันพรุ่งนี้เราก็ยังคงดำน้ำอีกหนึ่งวัน แต่ไปจุดที่ไกลกว่าเดิม หวังว่าจะสนุก