ธนาคารส่งใบแจ้งหนี้มาบอกเราว่าเราจ่ายค่าบ้านล่าช้า ทำให้เราต้องจ่ายค่าธรรมเนียม/เบี้ยปรับ 23,677.25 บาท
ซึ่งจริงๆ เราต้องขอชี้แจงและท้าให้เจ้าหน้าที่เช็คได้เลยว่าเราไม่เคยจ่ายค่าบ้านล่าช้าเกินกว่าที่กำหนดสักครั้งเดียว ซึ่งตั้งแต่เราทำเรื่องกู้เงินซื้อบ้านมา เราต้องจ่ายค่างวดผ่อนบ้านเดือนละ 9,800 บาท แต่ในเดือนล่าสุดมีการเก็บค่าธรรมเนียมรายปีของบัตรเดบิต ทำให้ธนาคารต้องหักยอดเงินดังกล่าว จำนวน 600 บาท จากยอดของค่าบ้าน และส่งใบแจ้งหนี้ ว่าเราจ่ายค่าบ้านไม่ครบ จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ประมาณไม่ถึง15 วัน แต่มียอดปรับ 2 หมื่นกว่าบาท มันเกินไปแล้ว ????
ต้องขอเกริ่นก่อนว่าเรากับพ่อได้กู้เงินร่วมกันซื้อบ้าน จากธนาคารกรุงไทยและตกลงชำระค่างวดคืนให้กับธนาคาร เดือนละ 9,800 บาท ซึ่งเป็นการชำระเงินโดยการหักผ่านบัญชีของธนาคารกรุงไทย สาขารัตนาธิเบศร์ ในตอนแรกเราต้องการแค่เปิดบัญชีไว้เฉยๆ แต่พนักงานของธนาคารขอให้สมัครบัตรเดบิตเพิ่มด้วย เพื่อความสะดวกในการฝากเงินและชำระค่าบริการกับตู้ฝากเงินของธนาคาร หรืออื่นๆ หากจำเป็น เราก็ตกลงนึกว่าบัตรราคา ไม่กี่ร้อยเหมือนแบงค์อื่นๆ แต่พนักงานบอกบัตรธรรมดาหมด มีแต่บัตรที่พ่วงประกันอย่างเดียว และส่วนของบัตรเดบิตจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบัตรรายปีอยู่ที่ 599 บาท ตอนแรกเราก็ไม่โอเคหรอกนะ เราว่ามันก็ค่อนข้างสูงสำหรับเรา เพราะเราทำงานยังไงก็มีประกันกับบริษัทอยู่แล้ว แต่พ่อบอกว่าไม่เป็นไร เพราะบ้านเราปกติใช้บัญชีของธนาคารอื่น เผื่อฉุกละหุก หรือมีปัญหา ก็คงสะดวกในการโอนหรือฝากกับตู้ ซึ่งมันง่ายกว่า เราก็เลยโอเควันนั้น
ปีแรก เมื่อตอนครบกำหนดเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมบัตรรายปี ทางธนาคารก็หักเงินค่าธรรมเนียมรายปีบัตรที่เกิดขึ้น จากยอดเงินของค่าบ้าน 9,800 บาท ที่เราจ่ายเป็นประจำทุกเดือน แต่พอไม่กี่วันก็มีพนักงานโทรมาบอกว่า เรายังจ่ายค่าบ้านไม่ครบนะ เพราะเค้าเอาเงินของค่าบ้านที่เราเพิ่งจ่ายไป ไปหักค่าธรรมเนียมบัตร เราก็แค่เอาเงินไปจ่ายเพิ่ม ปกติ ไม่ได้มีปัญหาอะไร....
แต่พอมาถึงปีนี้ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีหนังสือแจ้งว่า บ้านเรามียอดค้างชำระค่างวดผ่อนบ้านจำนวน 4,382.79 บาท (ค้างชำระของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 9 กุมภาพันธ์ 2558) ซึ่งพ่อเราสงสัย เลยรีบโทรไปสอบถามกับพนักงานของธนาคารกรุงไทย สาขารัตนาธิเบศร์ ตามที่เราได้เปิดบัญชีไว้ ว่ายอดค้าง 4,382.79 บาท คืออะไร ในเมื่อเราไม่เคยจ่ายเกินจากที่กำหนดเลย พนักงานของสาขารับเรื่องแล้วแจ้งกับพ่อเราว่า เป็นยอดค้างชำระ 600 บาท ที่บ้านเรายังจ่ายไม่ครบ พ่อเราเค้าก็มั่นใจว่าบ้านเราไม่เคยนะ ที่จะจ่ายไม่ครบ จนเช็คไปเช็คมาปรากฎว่า ถูกหักเอาไปจ่ายค่าธรรมเนียมบัตรจ้า แต่คราวนี้หักเลย ปรับเลย ไม่มีการโทรมาแจ้งเหมือนปีที่ผ่านมานะคะ ตอนแรกพนักงานบอกพ่อว่าจะเคลียให้นะคะ แต่พอพนักงานคนนั้นมาคุยกับเรา กลายเป็นว่าเราต้องจ่าย และไม่ใช่แค่เงิน 4,382.79 บาท ตามหนังสือแจ้งนะ แต่เป็นยอด8 พันกว่าบาท
เราถึงกับช็อค !! ซึ่งเค้าบอกว่า เป็นดอกเบี้ยปรับรายวัน ยังไงก็ต้องจ่าย เราแบบ คุณคะ แต่มันไม่ใช่ความผิดเรานะ แล้วอีกอย่างไหนตอนแรกที่คุยกับคุณพ่อคุณพูดอีกแบบ บอกว่าจะเคลียให้ แต่พอมาคุยกับเราจะให้เราจ่าย 8 พันกว่าบาท คนๆเดียวกัน พูดเรื่องเดียวกัน ในวันเดียวกัน แต่พูดไม่เหมือนกัน คืออะไรอะ !! เราเลยถามเค้าว่า ทำไมปีที่แล้วมีเจ้าหน้าที่โทรมาบอก ปีนี้ไม่มามีคนโทรมาบอกอะไรเรากับที่บ้านเลย เอาจริงๆ เราก็ไม่รู้นะ ว่าดอกเบี้ยต้องจ่ายตอนไหน พอเราสอบถาม เค้าบอกว่า ก็ไม่ใช่หน้าที่เค้า !!! คือเราต้องจำเองเหรอ หรือยังไงอ่า ?
คุยไปคุยมาเค้าก็บอกเราว่าเอายังงี้นะ เค้าจะช่วยเรา แต่ให้เรารีบเอาเงินที่ค้างไว้ 600 ไปจ่ายก่อน เราก็รีบไปจ่ายเลยเย็นวันนั้น พร้อมทั้งปิดบัตรไปเลย บอกตรงๆ ที่เราปิดบัตร เรากลัวว่าปีหน้าจะเกิดเรื่องแบบนี้อีก
จนก่อนหน้านี้ 1 อาทิตย์ พนักงานคนเดิม เค้าโทรมาบอกว่า หนี้ค้างเราไม่สามารถเคลียเป็นศุนย์ได้ เราต้องจ่าย ไงก็ต้องจ่าย ให้บ้านเราไปจ่าย ประมาณ 950 บาท
พ่อเราเค้าก็ไม่ยอมนะ เค้าบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดเค้า อีกอย่างเราก็ปิดบัตร และจ่ายส่วนที่ขาดไปแล้ว พ่อเราเลยโทรไปปรึกษากับแบงค์ชาติ แบงค์ชาติบอกว่า ในเมื่อเราจ่ายงินยอดที่ขาดไปแล้ว 600 บาท พร้อมปิดบัตรไปแล้วจริงๆ เรื่องน่าจะเคลียได้ แต่ถ้าเคลียไม่ได้ให้ทำหนังสือร้องเรียนมา ตอนแรกเราก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ กะว่ารอใบแจ้งหนี้ยอดค้างที่บอกว่าเราต้องจ่าย 950 บาท มาก่อนแล้วอาจจะลองเข้าไปคุยกับสาขาอีกครั้ง คือกะว่าจะเข้าไปคุยเองเลย ไม่อยากโทรศัพท์แล้ว
แต่สุดท้ายไม่ใช่ค่ะ ไม่มีใบแจ้งหนี้ยอดค้าง 950 บาทใดๆ ทั้งสิ้น วันนี้มีแต่ยอดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มียอดการเรียกเก็บ 23,677.25 บาท ซึ่งเราเห็นยอดแล้วอยากจะร้องไห้มากๆ
คือถ้าเราจ่ายค่าบ้านช้าจริงๆ จ่ายขะยักขะย่อน จ่ายไม่ครบจริง เราคงยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นนะคะ
แต่เราไม่เคยมีปัญหาเรื่องล่าช้าเลย แล้วเรื่องที่มาหักเงินค่าบ้านเราก่อน เพื่อไปหักเป็นค่าธรรมเนียมบัตร แบบนี้มันถูกแล้วเหรอ มันควรจะแยกกันหรือเปล่าคะ
อะไรสำคัญกว่าเหรอคะ ค่าบ้าน หรือค่าธรรมเนียมบัตร ? ถ้าบัตรไม่ได้จ่าย จะอายัติหรือยึด แล้วให้เราไปจ่ายทีหลังเราว่าน่าจะถูกต้องกว่ามั๊ย
นี่มาหักเงินเรา 600 บาท แล้วมาโบ้ยให้เป็นทางเราจ่ายค่างวดผ่อนบ้านล่าช้า จากเงิน 600 บาท ที่เราก็ได้ไปจ่ายแล้วปิดมาแล้ว แต่พวกคุณเหมือนมารีดไถ เงิน 2 หมื่น จากเราเลยอะ เราก็สงสัยนะ ว่าเดี๋ยวนี้นอกจากยัดเยียดขายประกันแล้ว ธนาคารมีวิธีหาเงินกันแบบนี้เลยเหรอคะ
แล้วเบอร์ที่รับเรื่องร้องเรียนของธนาคาร ขอโทษนะคะ แต่อยากจะบอกว่า โทรไปสายไม่เคยว่างเลย พอเราโทรไปCall center เค้าก็บอกว่าจะให้เจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องร้องเรียน ติดต่อกลับ แต่ก็ไม่มีคนติดต่อกลับเลยสักคน
ตอนนี้เรากับที่บ้านเครียดกันมากๆเลย เลยอยากขอความช่วยเหลือจากผู้รู้ทั้งหลาย หรือหากใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับธนาคารมาเห็นแล้วจะรับเรื่องของเราไปพิจารณาเราก็อยากจะขอความเป็นธรรมกับทางเราด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
ระวัง ธ.กรุงไทย !!!!!! !!! ค่าธรรมเนียมรายปีบัตรเดบิต 600 บาท แต่จะให้เราจ่ายดอกเบี้ย 2 หมื่น ??
ซึ่งจริงๆ เราต้องขอชี้แจงและท้าให้เจ้าหน้าที่เช็คได้เลยว่าเราไม่เคยจ่ายค่าบ้านล่าช้าเกินกว่าที่กำหนดสักครั้งเดียว ซึ่งตั้งแต่เราทำเรื่องกู้เงินซื้อบ้านมา เราต้องจ่ายค่างวดผ่อนบ้านเดือนละ 9,800 บาท แต่ในเดือนล่าสุดมีการเก็บค่าธรรมเนียมรายปีของบัตรเดบิต ทำให้ธนาคารต้องหักยอดเงินดังกล่าว จำนวน 600 บาท จากยอดของค่าบ้าน และส่งใบแจ้งหนี้ ว่าเราจ่ายค่าบ้านไม่ครบ จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ประมาณไม่ถึง15 วัน แต่มียอดปรับ 2 หมื่นกว่าบาท มันเกินไปแล้ว ????
ต้องขอเกริ่นก่อนว่าเรากับพ่อได้กู้เงินร่วมกันซื้อบ้าน จากธนาคารกรุงไทยและตกลงชำระค่างวดคืนให้กับธนาคาร เดือนละ 9,800 บาท ซึ่งเป็นการชำระเงินโดยการหักผ่านบัญชีของธนาคารกรุงไทย สาขารัตนาธิเบศร์ ในตอนแรกเราต้องการแค่เปิดบัญชีไว้เฉยๆ แต่พนักงานของธนาคารขอให้สมัครบัตรเดบิตเพิ่มด้วย เพื่อความสะดวกในการฝากเงินและชำระค่าบริการกับตู้ฝากเงินของธนาคาร หรืออื่นๆ หากจำเป็น เราก็ตกลงนึกว่าบัตรราคา ไม่กี่ร้อยเหมือนแบงค์อื่นๆ แต่พนักงานบอกบัตรธรรมดาหมด มีแต่บัตรที่พ่วงประกันอย่างเดียว และส่วนของบัตรเดบิตจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบัตรรายปีอยู่ที่ 599 บาท ตอนแรกเราก็ไม่โอเคหรอกนะ เราว่ามันก็ค่อนข้างสูงสำหรับเรา เพราะเราทำงานยังไงก็มีประกันกับบริษัทอยู่แล้ว แต่พ่อบอกว่าไม่เป็นไร เพราะบ้านเราปกติใช้บัญชีของธนาคารอื่น เผื่อฉุกละหุก หรือมีปัญหา ก็คงสะดวกในการโอนหรือฝากกับตู้ ซึ่งมันง่ายกว่า เราก็เลยโอเควันนั้น
ปีแรก เมื่อตอนครบกำหนดเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมบัตรรายปี ทางธนาคารก็หักเงินค่าธรรมเนียมรายปีบัตรที่เกิดขึ้น จากยอดเงินของค่าบ้าน 9,800 บาท ที่เราจ่ายเป็นประจำทุกเดือน แต่พอไม่กี่วันก็มีพนักงานโทรมาบอกว่า เรายังจ่ายค่าบ้านไม่ครบนะ เพราะเค้าเอาเงินของค่าบ้านที่เราเพิ่งจ่ายไป ไปหักค่าธรรมเนียมบัตร เราก็แค่เอาเงินไปจ่ายเพิ่ม ปกติ ไม่ได้มีปัญหาอะไร....
แต่พอมาถึงปีนี้ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีหนังสือแจ้งว่า บ้านเรามียอดค้างชำระค่างวดผ่อนบ้านจำนวน 4,382.79 บาท (ค้างชำระของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 9 กุมภาพันธ์ 2558) ซึ่งพ่อเราสงสัย เลยรีบโทรไปสอบถามกับพนักงานของธนาคารกรุงไทย สาขารัตนาธิเบศร์ ตามที่เราได้เปิดบัญชีไว้ ว่ายอดค้าง 4,382.79 บาท คืออะไร ในเมื่อเราไม่เคยจ่ายเกินจากที่กำหนดเลย พนักงานของสาขารับเรื่องแล้วแจ้งกับพ่อเราว่า เป็นยอดค้างชำระ 600 บาท ที่บ้านเรายังจ่ายไม่ครบ พ่อเราเค้าก็มั่นใจว่าบ้านเราไม่เคยนะ ที่จะจ่ายไม่ครบ จนเช็คไปเช็คมาปรากฎว่า ถูกหักเอาไปจ่ายค่าธรรมเนียมบัตรจ้า แต่คราวนี้หักเลย ปรับเลย ไม่มีการโทรมาแจ้งเหมือนปีที่ผ่านมานะคะ ตอนแรกพนักงานบอกพ่อว่าจะเคลียให้นะคะ แต่พอพนักงานคนนั้นมาคุยกับเรา กลายเป็นว่าเราต้องจ่าย และไม่ใช่แค่เงิน 4,382.79 บาท ตามหนังสือแจ้งนะ แต่เป็นยอด8 พันกว่าบาท
เราถึงกับช็อค !! ซึ่งเค้าบอกว่า เป็นดอกเบี้ยปรับรายวัน ยังไงก็ต้องจ่าย เราแบบ คุณคะ แต่มันไม่ใช่ความผิดเรานะ แล้วอีกอย่างไหนตอนแรกที่คุยกับคุณพ่อคุณพูดอีกแบบ บอกว่าจะเคลียให้ แต่พอมาคุยกับเราจะให้เราจ่าย 8 พันกว่าบาท คนๆเดียวกัน พูดเรื่องเดียวกัน ในวันเดียวกัน แต่พูดไม่เหมือนกัน คืออะไรอะ !! เราเลยถามเค้าว่า ทำไมปีที่แล้วมีเจ้าหน้าที่โทรมาบอก ปีนี้ไม่มามีคนโทรมาบอกอะไรเรากับที่บ้านเลย เอาจริงๆ เราก็ไม่รู้นะ ว่าดอกเบี้ยต้องจ่ายตอนไหน พอเราสอบถาม เค้าบอกว่า ก็ไม่ใช่หน้าที่เค้า !!! คือเราต้องจำเองเหรอ หรือยังไงอ่า ?
คุยไปคุยมาเค้าก็บอกเราว่าเอายังงี้นะ เค้าจะช่วยเรา แต่ให้เรารีบเอาเงินที่ค้างไว้ 600 ไปจ่ายก่อน เราก็รีบไปจ่ายเลยเย็นวันนั้น พร้อมทั้งปิดบัตรไปเลย บอกตรงๆ ที่เราปิดบัตร เรากลัวว่าปีหน้าจะเกิดเรื่องแบบนี้อีก
จนก่อนหน้านี้ 1 อาทิตย์ พนักงานคนเดิม เค้าโทรมาบอกว่า หนี้ค้างเราไม่สามารถเคลียเป็นศุนย์ได้ เราต้องจ่าย ไงก็ต้องจ่าย ให้บ้านเราไปจ่าย ประมาณ 950 บาท
พ่อเราเค้าก็ไม่ยอมนะ เค้าบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดเค้า อีกอย่างเราก็ปิดบัตร และจ่ายส่วนที่ขาดไปแล้ว พ่อเราเลยโทรไปปรึกษากับแบงค์ชาติ แบงค์ชาติบอกว่า ในเมื่อเราจ่ายงินยอดที่ขาดไปแล้ว 600 บาท พร้อมปิดบัตรไปแล้วจริงๆ เรื่องน่าจะเคลียได้ แต่ถ้าเคลียไม่ได้ให้ทำหนังสือร้องเรียนมา ตอนแรกเราก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ กะว่ารอใบแจ้งหนี้ยอดค้างที่บอกว่าเราต้องจ่าย 950 บาท มาก่อนแล้วอาจจะลองเข้าไปคุยกับสาขาอีกครั้ง คือกะว่าจะเข้าไปคุยเองเลย ไม่อยากโทรศัพท์แล้ว
แต่สุดท้ายไม่ใช่ค่ะ ไม่มีใบแจ้งหนี้ยอดค้าง 950 บาทใดๆ ทั้งสิ้น วันนี้มีแต่ยอดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มียอดการเรียกเก็บ 23,677.25 บาท ซึ่งเราเห็นยอดแล้วอยากจะร้องไห้มากๆ
คือถ้าเราจ่ายค่าบ้านช้าจริงๆ จ่ายขะยักขะย่อน จ่ายไม่ครบจริง เราคงยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นนะคะ
แต่เราไม่เคยมีปัญหาเรื่องล่าช้าเลย แล้วเรื่องที่มาหักเงินค่าบ้านเราก่อน เพื่อไปหักเป็นค่าธรรมเนียมบัตร แบบนี้มันถูกแล้วเหรอ มันควรจะแยกกันหรือเปล่าคะ
อะไรสำคัญกว่าเหรอคะ ค่าบ้าน หรือค่าธรรมเนียมบัตร ? ถ้าบัตรไม่ได้จ่าย จะอายัติหรือยึด แล้วให้เราไปจ่ายทีหลังเราว่าน่าจะถูกต้องกว่ามั๊ย
นี่มาหักเงินเรา 600 บาท แล้วมาโบ้ยให้เป็นทางเราจ่ายค่างวดผ่อนบ้านล่าช้า จากเงิน 600 บาท ที่เราก็ได้ไปจ่ายแล้วปิดมาแล้ว แต่พวกคุณเหมือนมารีดไถ เงิน 2 หมื่น จากเราเลยอะ เราก็สงสัยนะ ว่าเดี๋ยวนี้นอกจากยัดเยียดขายประกันแล้ว ธนาคารมีวิธีหาเงินกันแบบนี้เลยเหรอคะ
แล้วเบอร์ที่รับเรื่องร้องเรียนของธนาคาร ขอโทษนะคะ แต่อยากจะบอกว่า โทรไปสายไม่เคยว่างเลย พอเราโทรไปCall center เค้าก็บอกว่าจะให้เจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องร้องเรียน ติดต่อกลับ แต่ก็ไม่มีคนติดต่อกลับเลยสักคน
ตอนนี้เรากับที่บ้านเครียดกันมากๆเลย เลยอยากขอความช่วยเหลือจากผู้รู้ทั้งหลาย หรือหากใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับธนาคารมาเห็นแล้วจะรับเรื่องของเราไปพิจารณาเราก็อยากจะขอความเป็นธรรมกับทางเราด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ