ตอนแรกไม่คิดจะดูครับ แต่พอมันได้ออสการ์ สาขาภาพยนต์ยอดเยี่ยมไปครอง เลยต้องไปดูซะหน่อย ตอนนี้ที่ เมกา ซีเนเพล็กซ์ เหลือโรงฉายแค่โรงเดียวครับ ท่านใดยังไม่ดูลองหาเวลาไปดูครับ (ถ้าอยากรู้ว่าทำไมเรื่องนี้จึงชนะใจคณะกรรมการออสการ์)
ต่อไปนี้คือ comment ของผม
BIRDMAN : "ท้องฟ้ายังกว้างพอสำหรับฮีโร่วินเทจ"
เบิร์ดแมนเป็นหนังที่ดูยาก ทุกฉากทุกตอน เต็มอัดไปด้วย symbolic ให้ขบคิด รวม กับการประชดประชันยุคสมัยที่ละครเวทีต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอดในยุคที่อะไรๆก็ต้องviral marketing ทวิสเตอร์ เฟซบุ๊คและยูทูป
ตัวละครเอก [คีตั้น] ไม่สามารถทิ้งความรุ่งโรจน์ในอดีตสมัยที่รับบทเป็นฮีโร่เบิร์ดแมนได้ มัน ยังตามหลอกหลอนในรูปแบบของเสียงพูดและภาพจริง ตัวเอกต้องอยู่รอดในยุคปัจจุบันให้ได้ ทั้งการทำให้ตัวเองไม่ถูกลืม มีตัวตน (หนังย้ำประเด็นนี้มากๆ) และเอาชนะคำสบประมาทของนักวิจารณ์ปากดีที่ไม่เคยมองอะไรในแง่บวก
เบิร์ดแมนมีฉากเด่นแทบตลอดทั้งเรื่อง ถ่ายภาพแบบสไตล์กล้องแฮนดี้แคม แต่ไม่ชวนเวียนหัว จัดดนตรีกลองชุดตึงๆตังๆโปะๆโฮมโรงเวลาเปลี่ยนซีน ลงเป๊ะทุกจังหวะ
ฉากที่หลายคนน่าจะชอบ(ผมด้วย) คือฉากที่คีตั้นด่านักวิจารณ์ละครว่า "คุณมันทุเรด ไม่มีอะไรนอกจากปากกากับกระดาษใช้ทำลายคนอื่น แต่ผมซิ มีต้นทุน!" ซีนนี้น่าจะเป็น การระบายความอึดอัด สะใจของผู้กำกับหนัง น่าจะโดนใจ ผกก. ทุกคนในฮอลลีวูดหรือในโลกภาพยนตร์
หนังที่สมกับรางวัลภาพยนต์ยอดเยี่ยมของออสกาส์ต้องดูยาก และเต็มไปด้วยรายละเอียด นักแสดงที่แสดงบทบาทตัวนำได้ขาดกระจุยซึ่งคีตั้นทำได้ดีมากๆ รวมถึงตัวบท ตัวหนังที่มีมิติ ความลึก conflict ที่อบอวลเต็มไปทั้งเรื่อง การสลับซีน จังหวะ อารมณ์อึดอัดที่มอบให้กัยคนดูตามเป้าประสงค์ ตัวละครต้องถูกบีบให้เลือกให้เดินหน้าหรือถอยหลัง ทั้งหมด...มีให้ในเบิร์ดแมน
เสียดายที่คีตั้นพลาดรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมไป
เบิร์ดแมนอาจจะดูไม่สนุกสำหรับหลายคนแต่ถ้าจะเอานิยามหนังดี หนังแน่น ได้อะไรให้คิดติดหัวแบบปรัชญาหรือจะคิดตื้นๆ เบิร์ดแมนมีให้ครับ แคะกระปุกกำเงินไปดูเลย
อย่างหนึ่งที่เราตระหนักดีหลังดูจบนั่นคือ
"ท้องฟ้ายังกว้างพอสำหรับฮีโร่วินเทจแต่...ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย"
4.7/5 ชอบครับ
^__^
BIRDMAN : "ท้องฟ้ายังกว้างพอสำหรับฮีโร่วินเทจ"
ต่อไปนี้คือ comment ของผม
BIRDMAN : "ท้องฟ้ายังกว้างพอสำหรับฮีโร่วินเทจ"
เบิร์ดแมนเป็นหนังที่ดูยาก ทุกฉากทุกตอน เต็มอัดไปด้วย symbolic ให้ขบคิด รวม กับการประชดประชันยุคสมัยที่ละครเวทีต้องดิ้นรนเพื่ออยู่รอดในยุคที่อะไรๆก็ต้องviral marketing ทวิสเตอร์ เฟซบุ๊คและยูทูป
ตัวละครเอก [คีตั้น] ไม่สามารถทิ้งความรุ่งโรจน์ในอดีตสมัยที่รับบทเป็นฮีโร่เบิร์ดแมนได้ มัน ยังตามหลอกหลอนในรูปแบบของเสียงพูดและภาพจริง ตัวเอกต้องอยู่รอดในยุคปัจจุบันให้ได้ ทั้งการทำให้ตัวเองไม่ถูกลืม มีตัวตน (หนังย้ำประเด็นนี้มากๆ) และเอาชนะคำสบประมาทของนักวิจารณ์ปากดีที่ไม่เคยมองอะไรในแง่บวก
เบิร์ดแมนมีฉากเด่นแทบตลอดทั้งเรื่อง ถ่ายภาพแบบสไตล์กล้องแฮนดี้แคม แต่ไม่ชวนเวียนหัว จัดดนตรีกลองชุดตึงๆตังๆโปะๆโฮมโรงเวลาเปลี่ยนซีน ลงเป๊ะทุกจังหวะ
ฉากที่หลายคนน่าจะชอบ(ผมด้วย) คือฉากที่คีตั้นด่านักวิจารณ์ละครว่า "คุณมันทุเรด ไม่มีอะไรนอกจากปากกากับกระดาษใช้ทำลายคนอื่น แต่ผมซิ มีต้นทุน!" ซีนนี้น่าจะเป็น การระบายความอึดอัด สะใจของผู้กำกับหนัง น่าจะโดนใจ ผกก. ทุกคนในฮอลลีวูดหรือในโลกภาพยนตร์
หนังที่สมกับรางวัลภาพยนต์ยอดเยี่ยมของออสกาส์ต้องดูยาก และเต็มไปด้วยรายละเอียด นักแสดงที่แสดงบทบาทตัวนำได้ขาดกระจุยซึ่งคีตั้นทำได้ดีมากๆ รวมถึงตัวบท ตัวหนังที่มีมิติ ความลึก conflict ที่อบอวลเต็มไปทั้งเรื่อง การสลับซีน จังหวะ อารมณ์อึดอัดที่มอบให้กัยคนดูตามเป้าประสงค์ ตัวละครต้องถูกบีบให้เลือกให้เดินหน้าหรือถอยหลัง ทั้งหมด...มีให้ในเบิร์ดแมน
เสียดายที่คีตั้นพลาดรางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมไป
เบิร์ดแมนอาจจะดูไม่สนุกสำหรับหลายคนแต่ถ้าจะเอานิยามหนังดี หนังแน่น ได้อะไรให้คิดติดหัวแบบปรัชญาหรือจะคิดตื้นๆ เบิร์ดแมนมีให้ครับ แคะกระปุกกำเงินไปดูเลย
อย่างหนึ่งที่เราตระหนักดีหลังดูจบนั่นคือ
"ท้องฟ้ายังกว้างพอสำหรับฮีโร่วินเทจแต่...ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย"
4.7/5 ชอบครับ
^__^