คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ถ้าเป็นกรณีพูดผิดลืมเติมเสียงลงท้ายหรือผันกริยา สังเกตว่า จขภษ จะชะงักและพูดซ้ำแก้ เพราะจะค่อนข้างแก้ง่ายและรู้ตัวได้เร็วอย่างเป็นธรรมชาติ
ถ้าเป็นกรณีพูดเป็นประโยคคนละ tense ได้ยินบ่อยพอสมควร แต่ไม่ได้ผิดถึงกับขนาดผสม tense ในประโยคเดียวกันซะทีเดียว แต่มักจะแยกผิดเป็นประโยคๆไป ลักษณะนี้ได้ยินบ่อยเวลาฟังใครเล่าเรื่องยาวๆ คนเล่าก็อาจจะไม่ระวังหรือขี้เกียจเปลี่ยน tense และเล่าให้ฟังดูเหมือนว่าเหตุการณ์กำลังเกิดสดๆร้อนๆ เหมือนเล่านิทานที่มักทำให้เหตุการณ์เป็นปัจจุบันร่วมสมัย
ภาษาที่พูดผิดแบบตั้งใจส่วนใหญ่เป็นภาษา Ebonics ของคนดำที่ต้นกำเนิดมาจากทางใต้ของเมกา คนขาวบางคนไม่ค่อยชอบรู้สึกรำคาญก็มี เพราะดูเหมือนพวกไร้การศึกษา พวกนี้จะพูดผิดๆกันเองแต่เป็นที่ยอมรับว่าเป็นภาษาแขนงหนึ่ง และได้ยินบ่อยในสื่อบันเทิง ในหนัง เดี่ยวไมโครโฟน แร๊พ ฮิปฮอป การพูดก็จะลากเสียงยาวๆในสระ ขี้เกียจขยับริมฝีปาก รัวเสียง เสียงโทนสูงๆต่ำๆตามอารมณ์มากกว่าปกติ ปัจจุบันการพูดแบบนี้ระบาดไปในกลุ่มอื่นเช่นฮิสแปนิกหรือคนขาวบางคนที่พยายามเลียนแบบเพราะมองว่าเท่ห์หรือเข้าถึงผู้ฟังรากหญ้าดีโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น
ลักษณะเด่นๆที่พอนึกออกคือไม่ค่อยเติม v to be หน้า adj ยกเว้นสรรพนาม I เช่น She mad แทน She's mad แต่ I'm broke ยังเหมือนเดิม
ใส่ ain't กับการปฎิเสธแทบทุก tense ทุกสรรพนาม และทุกกริยาช่วย
ใช้ don't กับ he, she, it
ใช้คำเฉพาะดั้งเดิมของทางใต้เช่น I'm fin to go หมายถึง I'm about to go. finna หรือ fin to มาจากคำเต็มๆคือ fixing to ซึ่งแปลว่าพร้อมจะทำไรบางอย่าง
ออกเสียงบางเสียงไม่ชัดหรือไม่ได้เช่น fifty ออกเป็น fiddy ใครเคยฟัง 50 cents จะได้ยินเจ้าตัวพูดแบบนั้นบ่อย หรือพวกคำที่ลงท้าย th จะออกเป็น f เช่น math เป็น maf หรือ breath เป็น breaf
ตัว -ing ออกเป็น -in'
etc
การพูดแบบ ebonics ถ้าใช้ในชนบททางใต้หรือภาคกลางของประเทศก็ถือเป็นภาษาถิ่นอย่างหนึ่งของคนดำ แต่ปัจจุบันคนดำซึ่งฐานะและการศึกษาด้อยกว่าคนกลุ่มอื่นที่อาศัยหนาแน่นตามเมืองใหญ่ๆอย่างนิวยอร์ก ชิคาโก แอลเอ เมื่อพูด ebonics ก็จะถูกคนกลุ่มอื่นมองว่า ghetto (สลัม)
ถ้าเป็นกรณีพูดเป็นประโยคคนละ tense ได้ยินบ่อยพอสมควร แต่ไม่ได้ผิดถึงกับขนาดผสม tense ในประโยคเดียวกันซะทีเดียว แต่มักจะแยกผิดเป็นประโยคๆไป ลักษณะนี้ได้ยินบ่อยเวลาฟังใครเล่าเรื่องยาวๆ คนเล่าก็อาจจะไม่ระวังหรือขี้เกียจเปลี่ยน tense และเล่าให้ฟังดูเหมือนว่าเหตุการณ์กำลังเกิดสดๆร้อนๆ เหมือนเล่านิทานที่มักทำให้เหตุการณ์เป็นปัจจุบันร่วมสมัย
ภาษาที่พูดผิดแบบตั้งใจส่วนใหญ่เป็นภาษา Ebonics ของคนดำที่ต้นกำเนิดมาจากทางใต้ของเมกา คนขาวบางคนไม่ค่อยชอบรู้สึกรำคาญก็มี เพราะดูเหมือนพวกไร้การศึกษา พวกนี้จะพูดผิดๆกันเองแต่เป็นที่ยอมรับว่าเป็นภาษาแขนงหนึ่ง และได้ยินบ่อยในสื่อบันเทิง ในหนัง เดี่ยวไมโครโฟน แร๊พ ฮิปฮอป การพูดก็จะลากเสียงยาวๆในสระ ขี้เกียจขยับริมฝีปาก รัวเสียง เสียงโทนสูงๆต่ำๆตามอารมณ์มากกว่าปกติ ปัจจุบันการพูดแบบนี้ระบาดไปในกลุ่มอื่นเช่นฮิสแปนิกหรือคนขาวบางคนที่พยายามเลียนแบบเพราะมองว่าเท่ห์หรือเข้าถึงผู้ฟังรากหญ้าดีโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น
ลักษณะเด่นๆที่พอนึกออกคือไม่ค่อยเติม v to be หน้า adj ยกเว้นสรรพนาม I เช่น She mad แทน She's mad แต่ I'm broke ยังเหมือนเดิม
ใส่ ain't กับการปฎิเสธแทบทุก tense ทุกสรรพนาม และทุกกริยาช่วย
ใช้ don't กับ he, she, it
ใช้คำเฉพาะดั้งเดิมของทางใต้เช่น I'm fin to go หมายถึง I'm about to go. finna หรือ fin to มาจากคำเต็มๆคือ fixing to ซึ่งแปลว่าพร้อมจะทำไรบางอย่าง
ออกเสียงบางเสียงไม่ชัดหรือไม่ได้เช่น fifty ออกเป็น fiddy ใครเคยฟัง 50 cents จะได้ยินเจ้าตัวพูดแบบนั้นบ่อย หรือพวกคำที่ลงท้าย th จะออกเป็น f เช่น math เป็น maf หรือ breath เป็น breaf
ตัว -ing ออกเป็น -in'
etc
การพูดแบบ ebonics ถ้าใช้ในชนบททางใต้หรือภาคกลางของประเทศก็ถือเป็นภาษาถิ่นอย่างหนึ่งของคนดำ แต่ปัจจุบันคนดำซึ่งฐานะและการศึกษาด้อยกว่าคนกลุ่มอื่นที่อาศัยหนาแน่นตามเมืองใหญ่ๆอย่างนิวยอร์ก ชิคาโก แอลเอ เมื่อพูด ebonics ก็จะถูกคนกลุ่มอื่นมองว่า ghetto (สลัม)
แสดงความคิดเห็น
เจ้าของภาษาอังกฤษ มีมั้ยที่ไม่พูดverb รูปอดีต ในเหตุการณ์อดีต หรือประธานคนเดียว แต่ไม่ออกเสียง s
he knew what he want
หรือประโยคที่เกิดขึ้นในอดีตแต่เป็นพวก clause เหมือนจะพูด verb อดีต ประมาณว่า There was an accident, but i'm not afraid to go out.
และพวกเหตุการณ์ปัจจุบัน ถ้าเป็นอะไรมั้ยถ้า ไม่ออกเสียง s
เช่น he watches tv รู้สึกออกเสียง s เข้ามาด้วย มันลำบากขึ้นมาถ้าเป็น verb ลงท้ายด้วย sh, ch, x