เราได้เงินเดือนพอปะทังชีพ
เรามีค่ารถเดินทาง
เรามีเบี้ยเลี้ยงต่างจังหวัด
เรามีโทรศัพท์ใช้ฟรี ทุกวัน
ทุกวันเรานั่งอ่าน ipad เปิดดูใบสมัครงาน แบบผ่านๆตา คนไหนใช่ เราจะนัดสัมภาษณ์คุณ
-เราต้องทำยอดการสรรหา (Hiring) พนักงาน ระดับปฏิบัติการ ขั้นตํ่า 1 คน ต่อ / 1 วัน (Productivity)
-เราต้องทำยอดการสรรหา พนักงาน ระดับจัดการ อย่างน้อย 3-5 คน ต่อ / 1 เดือน (Productivity)
-เราต้องหายอดใบสมัครงาน ขั้นตํ่า 2,400 ใบสมัคร ต่อปี ต่อคน
-ถ้าเราต้องจัดงานนัดพบแรงงาน ทำยังไงก็ได้ให้ได้คนมาสมัครงานอย่างน้อยๆ 50-200 คน++++++
-เราขับรถเดือนละ 4000 กม เพราะต้องเข้ารีครูทพื้นที่ XD
-เรามีเพื่อน เป็นจัดหางานจังหวัด เป็นผู้สมัครงาน และหัวหน้างาน
-เราเป็นผู้พิทักษ์ผลประโยชน์การต่อรองเงินเดือนผู้สมัครให้ ตามที่ควรจะเป็น รวมถึงการต่อรอง ใช้จิตวิทยากดเงินเดือนผู้สมัครด้วย
-เบอร์โทรศัพท์ ทั้งภูมิภาค รับสมัครงานมาที่หูฟังบลูธูทของเรา
-อีเมล์รับสมัครงาน ทั้งหลายเหล่ ประดังมาที่ไอแพดของเรา
-มี e-recruirt ใช้ด้วยนะเอ้อ
-เรามีหน้าที่การวางแผน การรับสมัครงาน สื่อประชาสัมพันธ์ งบและค่าใช้จ่าย
-วางแผนตารางงานรีครูทตัวเอง ทั้งเดือนล่วงหน้า (ก่อนสิ้นเดือน เราต้องส่ง routeplan หรือแผนการปฏิบัติงานให้นายต่อไป)
-เราต้องวางแผนเข้าสถานศึกษา เรียกว่าปัจฉิมนิเทศ ไปขายองค์กร ไปขายงานให้กับเด็กๆ
-เรามีศักยภาพ สามารถเนรมิตร ป้ายไวนิล ป้ายกองโจร ป้าย standee ขึ้นตามชุมชนได้ระยะเวลาอันสั้น
-เราต้องลงประกาศตามเว็บจัดหางาน (เชื่อไหม ตำแหน่งงานที่ลงในเว็ปจัดหางานเมื่อ 5 ปีก่อน ทุกวันนี้ยังมีคนโทรมาเบย)
-บางครั้ง เราต้องออกไปตั้งโต๊ะทำงานรับคนภาคสนาม เราเรียกว่า Open booth ต้นทุนตํ่า แต่เปลืองแรงงาน
-ระหว่างที่ Open booth HR จะชอบโทรศัพท์ ไม่ได้คุยเรื่องส่วนตัว แต่กำลังตามนัดแคนดิเดตอยู่
-ระหว่างขับรถเดินทาง เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการโทรนัดผู้สมัครงาน หรือจะโทร pre screen
-เราจะชอบพกนามบัตรติดตัว มีใบปลิวอีกเล็กน้อย
-เบอร์โทร เราจะลิสจากประวัติ ที่เราค้นประวัติเมื่อคืน ลิสใส่กระดาษสัก 50 เบอร์แล้วเราก็ไล่โทร ระหว่างขับรถ
-เราใช้เวลาสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน ไม่นาน เร็วสุด เราใช้เวลาคุย 2นาที
-ถ้าตำแหน่งระดับจัดการ เราใช้เวลาสัมภาษณ์ 15 นาที
-เวลา เราสัมภาษณ์ผู้สมัครเสร็จ แล้วต้องทำการเล่าขายองค์กร สรุป job summary ให้ผู้สมัครฟังซํ้าเหมือนกดอัดเทปเลย
-สถิติ ที่เคยสัมภาษณ์ผู้สมัครเยอะสุด คือ ประมาณ 130 คนกว่า
-ผู้สมัครไม่มาเริ่มงานเราเรียกว่า turn down
-รีครูท เหมือน admin เพราะสุดท้ายก็ต้องทำเมล์ ขออนุมัติการจ้างแคนดิเดต
ทำสัญญาจ้างผู้สมัคร ต้องทำเมล์แจ้งเริ่มงาน
-ทุกวันที่พนักงานต้องมาเริ่มงานใหม่ เราภาวนาไม่ให้เกิดอาเพศ พนักงานใหม่ไม่มาเริ่มงาน
เราขอภาวนาให้ปิดจ๊อบได้เถอะ !!!!
ปล. HR (สรรหา) ชีวิตไม่ต่างจาก Sales/ AE
วันนึงรับโทรศัพท์เป็นสิบเป็นร้อย อ่านเมล์นับสิบ พูดเป็นพันๆคำ
เราท่อง Job Description ตำแหน่งงานได้เป็นสิบ
แม่นเรื่องเงินเดือน และสวัสดิการ
ถูกตามทวง คน รบกับแคนดิเดต ปะทะกับไลน์เมเนเจอร์ ชีวิตกดดันฟุดๆ
ป.ล 2 แม้เราจะเป็นนายจ้าง แต่สุดท้ายเราคือลูกจ้าง ที่ทำหน้าที่หาคนเข้าบริษัท จบ....
ชีวิต HR วันๆทำอะไรบ้าง มาดูกัน (เรื่องเล่าจาก HRหน้ามึน)
เรามีค่ารถเดินทาง
เรามีเบี้ยเลี้ยงต่างจังหวัด
เรามีโทรศัพท์ใช้ฟรี ทุกวัน
ทุกวันเรานั่งอ่าน ipad เปิดดูใบสมัครงาน แบบผ่านๆตา คนไหนใช่ เราจะนัดสัมภาษณ์คุณ
-เราต้องทำยอดการสรรหา (Hiring) พนักงาน ระดับปฏิบัติการ ขั้นตํ่า 1 คน ต่อ / 1 วัน (Productivity)
-เราต้องทำยอดการสรรหา พนักงาน ระดับจัดการ อย่างน้อย 3-5 คน ต่อ / 1 เดือน (Productivity)
-เราต้องหายอดใบสมัครงาน ขั้นตํ่า 2,400 ใบสมัคร ต่อปี ต่อคน
-ถ้าเราต้องจัดงานนัดพบแรงงาน ทำยังไงก็ได้ให้ได้คนมาสมัครงานอย่างน้อยๆ 50-200 คน++++++
-เราขับรถเดือนละ 4000 กม เพราะต้องเข้ารีครูทพื้นที่ XD
-เรามีเพื่อน เป็นจัดหางานจังหวัด เป็นผู้สมัครงาน และหัวหน้างาน
-เราเป็นผู้พิทักษ์ผลประโยชน์การต่อรองเงินเดือนผู้สมัครให้ ตามที่ควรจะเป็น รวมถึงการต่อรอง ใช้จิตวิทยากดเงินเดือนผู้สมัครด้วย
-เบอร์โทรศัพท์ ทั้งภูมิภาค รับสมัครงานมาที่หูฟังบลูธูทของเรา
-อีเมล์รับสมัครงาน ทั้งหลายเหล่ ประดังมาที่ไอแพดของเรา
-มี e-recruirt ใช้ด้วยนะเอ้อ
-เรามีหน้าที่การวางแผน การรับสมัครงาน สื่อประชาสัมพันธ์ งบและค่าใช้จ่าย
-วางแผนตารางงานรีครูทตัวเอง ทั้งเดือนล่วงหน้า (ก่อนสิ้นเดือน เราต้องส่ง routeplan หรือแผนการปฏิบัติงานให้นายต่อไป)
-เราต้องวางแผนเข้าสถานศึกษา เรียกว่าปัจฉิมนิเทศ ไปขายองค์กร ไปขายงานให้กับเด็กๆ
-เรามีศักยภาพ สามารถเนรมิตร ป้ายไวนิล ป้ายกองโจร ป้าย standee ขึ้นตามชุมชนได้ระยะเวลาอันสั้น
-เราต้องลงประกาศตามเว็บจัดหางาน (เชื่อไหม ตำแหน่งงานที่ลงในเว็ปจัดหางานเมื่อ 5 ปีก่อน ทุกวันนี้ยังมีคนโทรมาเบย)
-บางครั้ง เราต้องออกไปตั้งโต๊ะทำงานรับคนภาคสนาม เราเรียกว่า Open booth ต้นทุนตํ่า แต่เปลืองแรงงาน
-ระหว่างที่ Open booth HR จะชอบโทรศัพท์ ไม่ได้คุยเรื่องส่วนตัว แต่กำลังตามนัดแคนดิเดตอยู่
-ระหว่างขับรถเดินทาง เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการโทรนัดผู้สมัครงาน หรือจะโทร pre screen
-เราจะชอบพกนามบัตรติดตัว มีใบปลิวอีกเล็กน้อย
-เบอร์โทร เราจะลิสจากประวัติ ที่เราค้นประวัติเมื่อคืน ลิสใส่กระดาษสัก 50 เบอร์แล้วเราก็ไล่โทร ระหว่างขับรถ
-เราใช้เวลาสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน ไม่นาน เร็วสุด เราใช้เวลาคุย 2นาที
-ถ้าตำแหน่งระดับจัดการ เราใช้เวลาสัมภาษณ์ 15 นาที
-เวลา เราสัมภาษณ์ผู้สมัครเสร็จ แล้วต้องทำการเล่าขายองค์กร สรุป job summary ให้ผู้สมัครฟังซํ้าเหมือนกดอัดเทปเลย
-สถิติ ที่เคยสัมภาษณ์ผู้สมัครเยอะสุด คือ ประมาณ 130 คนกว่า
-ผู้สมัครไม่มาเริ่มงานเราเรียกว่า turn down
-รีครูท เหมือน admin เพราะสุดท้ายก็ต้องทำเมล์ ขออนุมัติการจ้างแคนดิเดต
ทำสัญญาจ้างผู้สมัคร ต้องทำเมล์แจ้งเริ่มงาน
-ทุกวันที่พนักงานต้องมาเริ่มงานใหม่ เราภาวนาไม่ให้เกิดอาเพศ พนักงานใหม่ไม่มาเริ่มงาน
เราขอภาวนาให้ปิดจ๊อบได้เถอะ !!!!
ปล. HR (สรรหา) ชีวิตไม่ต่างจาก Sales/ AE
วันนึงรับโทรศัพท์เป็นสิบเป็นร้อย อ่านเมล์นับสิบ พูดเป็นพันๆคำ
เราท่อง Job Description ตำแหน่งงานได้เป็นสิบ
แม่นเรื่องเงินเดือน และสวัสดิการ
ถูกตามทวง คน รบกับแคนดิเดต ปะทะกับไลน์เมเนเจอร์ ชีวิตกดดันฟุดๆ
ป.ล 2 แม้เราจะเป็นนายจ้าง แต่สุดท้ายเราคือลูกจ้าง ที่ทำหน้าที่หาคนเข้าบริษัท จบ....