ความตอนเดิม
http://ppantip.com/topic/33261698
ในที่สุดก็ได้เวลาดำน้ำตื้นสนิทของเราแล้ว เราตัดสินใจว่าวันนี้เราจะขี่จักรยานกลับที่ “ทอตูก้าเบย์” หรืออ่าวเต่า แต่ก่อนจะไปเราต้องหาอะไรลงท้องสักหน่อย เราจึงตัดสินใจเข้าไปริมหาดที่เรา ตามหากุ้งล๊อบเตอร์และหาของกินกัน เราขี่จักรยานผ่านสะพานปลา เราก็พบกุ้งล๊อบสเตอร์เต็มเลย ราคาต่อตัวประมาณ 300-400บาทเอง ถูกกว่าเมื่อวาน สรุปได้ว่าเมื่อวานเราโดนตีหัวแบะอย่างที่คิด แต่เรารับความแพงของมันได้นะ เพราะเทียบกับบ้านเราแล้ว ขนาดหัวมีรอยเลือดอาบ ยังถูกเลย แต่เราไม่ซื้อหรอก เราจะไปดำน้ำ
ดูกุ้งจนพอแล้ว ก็ได้เวลากิน เรากินแพนเค้ก 1 จาน กับน้ำผลไม้ปั่นที่กินแล้วคิดถึงน้ำปั่นเมืองไทยที่สุดในชีวิต มันให้ความรู้สึกเสียปากอย่างแรง แต่แพนเค้กอร่อยมาก กินอย่างเพลิดเพลิน
หลังจากกินและเล่นเนต เราก็ขี่จักรยานไปทอตูก้าเบย์ เราใช้เวลาเดินและขี่จักรยานประมาณ ชั่วโมงกว่าเราก็ถึงชายหาด เรายังพบท่านอีกัวน่าเหมือนเดิม แต่เราเห็นจนเบื่อละ มันเริ่มให้ความรู้สึกเหมือนจิ้งจกเดินผ่านหน้าไปมา เราเดินผ่านหาดแรกไปหาดที่สอง ซึ่งน้ำสงบนิ่งเหมาะสำหรับหมอกับฉันมากเพราะเราสองคน เป็นพวกกลัวน้ำทั้งคู่ ไม่ได้โดนหมาบ้ากัดนะ
แต่ก่อนลงน้ำเราเอากุ้งล๊อบเตอร์ 2 ตัวมากิน อุปกรณ์พร้อมมาก ไม่มีไรเลยนอกจากมีดอันเล็กๆ ยาวไม่เกิน 5 เซ็น เรามองกระดองกุ้ง เฮ้ย!! เปลือกกุ้งว่าจะแกะยังไง ในที่สุดเราก็พบข้อต่อกุ้ง ตัดมันซะ แล้วค่อยเอาเนื้อออกมา กินกัน 2 ตัว จนคำสุดท้ายเรามองกุ้ง และมองหน้ากัน ประมาณว่า
กินดิ ตรูเสียสละ รู้สึกทุกข์ใจที่ต้องกินมันเข้าไป 2 ตัว ทำไมมันเยอะอย่างนี้ กินจนเหนื่อยแล้วนะ ไม่อ่ะ เราจะไม่ยอมทรมานตัวเอง ตัดสินใจทิ้งดีกว่า
ขณะที่เรานั่งกินล๊อบเตอร์ เราก็พูดคุยกัน
หมอว่า “หนูอยากยืดระยะเวลาเดินทาง ไปโคลัมเบียต่อ แต่มันต้องขอวีซ่า โครตยากเลยพี่”
ฉันเลยทักหมอขึ้นมา “วีซ่าอ่ะต้องขอ แต่หมอต้องดูเวลาวันหมออายุใน Passport ก่อนนะ เพราะมันต้องมีอายุมากกว่า 6 เดือนไม่ใช่เหรอ”
หมอหยิบ Passport ขึ้นมาดู เฮ้ย !!! มันใช้ได้ถึง 13 มกรา แต่หมอกลับไทย 16 มกรา เอาแล้วไง ได้เรื่องแล้ว เราเลยต้องวางแผนเดินทางไปทำ พาสปอรต์ชั่วคราว ที่สถานทูตไทยในเปรูแทนซึ่งมันอยู่ใกล้เราที่สุด ก่อนจะกลับมาเอกวาดอร์อีกครั้ง และไหนๆ เราก็ต้องเดินทางออกนอกแผนแล้ว เราจึงตัดสินใจอยู่เที่ยวต่อจนถึงสิ้นเดือนมกราซะเลย หลังจากเราคุยกันเสร็จ เราก็ลง Snorkel กัน ตรงชายหาด
โอ้โห เห็นแล้ว! เห็นแล้ว!! เห็นแต่ทราย โคตรเศร้าเลย สุดท้ายตัดสินใจไปพายเรือคายัคแทน เราเช่าเรือพาย 1 ชม ก่อนจะพาย เจ้าของเรือหุ่นล่ำบึ๊กแนะนำให้เราไปดำน้ำกลางทะเลที่คลื่นลมสงบ ที่นั่นเราจะได้เห็นฉลามหัวฆ้อน ได้ยินดังนั้น เราก็ลงมือพายออกทะเลทันที โชคดีที่พายเรือเป็น ไม่วนเป็นวงกลมหรอกนะอิอิ
เราพายเลาะชายฝั่งไปเรื่อย เราได้เจอกับนกพีลีแกน ก็ไอ้นกหัวขโมยนั่นแหละ เราหยุดถ่ายรูป สงสัยพี่แกจะเคยเป็นนายแบบ เก็กให้เราถ่ายอย่างดีเลย พอถ่ายเสร็จก็พายออกทะเลต่อไป จนถึงจุดดูปลาฉลาม
ฉันบอกหมอว่า “หมอลงไปถ่ายรูปดิ พี่ไม่มี Snorkel เดี๋ยวพี่อยู่บนเรือเอง จะได้ลากหมอขึ้นได้ไง” พูดเหมือน โคตรเสียสละเลย เปล่า ตรูกลัว
หมอก็ว่า “ไม่เอาพี่ หนูกลัว”
พอกันแหละว่ะ สรุป พายกลับ
พอพายมาได้ครึ่งทาง เจ้าของเรือ พายออกมาหาเราแล้วพูดภาษาสเปน ประมาณว่าไปดูฉลามกัน เราสองคนพยักหน้าทันที เค้าก็ใจดี จริงๆคงรำคาญอ่ะ พ่วงเรือเค้าเข้ากับเรือเรา แล้วลากเราไป ขอบอกว่าเรือแล่นเร็วมาก จนหน้าเราสัมผัสกับอากาศได้เลย ผิดกับตอนเราพายกันเอง ที่รู้สึกน้ำเกาะเต็มหน้าผาก
พอถึงจุดลงดูฉลาม เค้าก็บอกให้เราลง หมอค่อยๆลงไปในน้ำ แต่ฉันไม่ได้เอา Snorkel มา เพราะมันเสียทั้งๆที่เพิ่งซื้อมา เอามาแต่หน้ากาก เจ้าของเรือผู้ใจดีเห็นเข้าก็เลยให้ยืมอุปกรณ์ ตายห่า!
ใจดี ตรูกลัวน้ำนะ แต่เมื่อได้อุปกรณ์มาแล้วก็ต้องลงดิ พอลงไปแล้วไม่ผิดหวังเลยได้เห็นลูกฉลามนอนเล่นเต็มเลย นอนไปนะลูกอย่าตื่น ให้ถ่ายรูปถ่ายวีดีโอดีนะ นิ่งๆเข้าไว้ รอเค้าปีนขึ้นเรือก่อนนะตัวเอง เสร็จจากการดำน้ำเราก็พายเรือกลับ เราใช้เวลาเกือบ 3 ชมในการพายเรือ เจ้าของเรือไม่คิดเงินเพิ่มด้วยแหละ เราเลยให้ทริปเค้าแทน
กลับมาถึงที่วางสัมภาระตัวเอง ตกใจ!! น้ำขึ้นมาเกือบซัดของๆเราลงทะเล ไม่ให้ตกใจได้ไง ก็หมอเล่นฝัง Passport กับเงินไว้ในทรายอ่ะ ถ้าถึงที่ฝังสมบัติเรา โอ้ย!! ไม่อยากคิดเลย หมดตัวแน่ๆ เรารีบขุดสมบัติขึ้นมา แล้วก็เก็บของเดินกลับไปที่จอดจักรยาน น้ำเริ่มขึ้นสูงเรื่อยๆตอนเดินออกมาจากหาด เราต้องผ่านหาดที่มีคลื่นแรงซึ่งเวลาน้ำขึ้นแล้ว เราต้องเดิน ผ่านคลื่นไป คลื่นบางคลื่นกระทบเท้าเราเบาๆ แต่บางครั้งมาแรงเกือบล้มก็มี ไม่ได้กลัวตัวเองเปียกนะ แต่ห่วง Passport กับกล้องตัวอื่นที่ไม่กันน้ำยิ่งชีพ เราเลยรีบออกดีกว่า
หลังจากเดินผ่านคลื่นเราต้องเดินข้าม เขาเพื่อไปเอาจักรยานอีก ทางเดินอย่างที่เคยบอก 2.5 กม เดินนานมาก เดินไม่ถึงซะที สงสัยเราจะเริ่มหมดแรงกันแล้ว แต่ในที่สุดก็เดินจนถึงที่จอดจักรยานอย่างอ่อนล้า แต่เรายังต้องปั่นไปยังหาดที่มีร้านอาหาร อีกพัก เราตัดสินใจกินอาหารแมกซีกันเมื่อถึงหาด แต่เราดันได้กินซูชิ ไรเนี่ย ว่าเข้าถูกร้านแล้วนะ แต่มันก็อร่อยดีและแพงนรก หลังกินเสร็จก็ขี่จักรยานกลับที่พักกล่ำกลืน เมื่อไหร่ที่เห็นเนิน ขาเราสั่นระริกๆ เกลียดเนิน มันเมื่อย เหนื่อย หมดแรง แต่สุดท้ายเราก็ถึง และลงมือวางแผนย้ายเกาะ เรากำลังจะไป......
ขอบฟ้าไกล ใครว่าไปไม่ถึง : กาลาปากอส, เอกวาดอร์ 2_3
ในที่สุดก็ได้เวลาดำน้ำตื้นสนิทของเราแล้ว เราตัดสินใจว่าวันนี้เราจะขี่จักรยานกลับที่ “ทอตูก้าเบย์” หรืออ่าวเต่า แต่ก่อนจะไปเราต้องหาอะไรลงท้องสักหน่อย เราจึงตัดสินใจเข้าไปริมหาดที่เรา ตามหากุ้งล๊อบเตอร์และหาของกินกัน เราขี่จักรยานผ่านสะพานปลา เราก็พบกุ้งล๊อบสเตอร์เต็มเลย ราคาต่อตัวประมาณ 300-400บาทเอง ถูกกว่าเมื่อวาน สรุปได้ว่าเมื่อวานเราโดนตีหัวแบะอย่างที่คิด แต่เรารับความแพงของมันได้นะ เพราะเทียบกับบ้านเราแล้ว ขนาดหัวมีรอยเลือดอาบ ยังถูกเลย แต่เราไม่ซื้อหรอก เราจะไปดำน้ำ
ดูกุ้งจนพอแล้ว ก็ได้เวลากิน เรากินแพนเค้ก 1 จาน กับน้ำผลไม้ปั่นที่กินแล้วคิดถึงน้ำปั่นเมืองไทยที่สุดในชีวิต มันให้ความรู้สึกเสียปากอย่างแรง แต่แพนเค้กอร่อยมาก กินอย่างเพลิดเพลิน
หลังจากกินและเล่นเนต เราก็ขี่จักรยานไปทอตูก้าเบย์ เราใช้เวลาเดินและขี่จักรยานประมาณ ชั่วโมงกว่าเราก็ถึงชายหาด เรายังพบท่านอีกัวน่าเหมือนเดิม แต่เราเห็นจนเบื่อละ มันเริ่มให้ความรู้สึกเหมือนจิ้งจกเดินผ่านหน้าไปมา เราเดินผ่านหาดแรกไปหาดที่สอง ซึ่งน้ำสงบนิ่งเหมาะสำหรับหมอกับฉันมากเพราะเราสองคน เป็นพวกกลัวน้ำทั้งคู่ ไม่ได้โดนหมาบ้ากัดนะ
แต่ก่อนลงน้ำเราเอากุ้งล๊อบเตอร์ 2 ตัวมากิน อุปกรณ์พร้อมมาก ไม่มีไรเลยนอกจากมีดอันเล็กๆ ยาวไม่เกิน 5 เซ็น เรามองกระดองกุ้ง เฮ้ย!! เปลือกกุ้งว่าจะแกะยังไง ในที่สุดเราก็พบข้อต่อกุ้ง ตัดมันซะ แล้วค่อยเอาเนื้อออกมา กินกัน 2 ตัว จนคำสุดท้ายเรามองกุ้ง และมองหน้ากัน ประมาณว่ากินดิ ตรูเสียสละ รู้สึกทุกข์ใจที่ต้องกินมันเข้าไป 2 ตัว ทำไมมันเยอะอย่างนี้ กินจนเหนื่อยแล้วนะ ไม่อ่ะ เราจะไม่ยอมทรมานตัวเอง ตัดสินใจทิ้งดีกว่า
ขณะที่เรานั่งกินล๊อบเตอร์ เราก็พูดคุยกัน
หมอว่า “หนูอยากยืดระยะเวลาเดินทาง ไปโคลัมเบียต่อ แต่มันต้องขอวีซ่า โครตยากเลยพี่”
ฉันเลยทักหมอขึ้นมา “วีซ่าอ่ะต้องขอ แต่หมอต้องดูเวลาวันหมออายุใน Passport ก่อนนะ เพราะมันต้องมีอายุมากกว่า 6 เดือนไม่ใช่เหรอ”
หมอหยิบ Passport ขึ้นมาดู เฮ้ย !!! มันใช้ได้ถึง 13 มกรา แต่หมอกลับไทย 16 มกรา เอาแล้วไง ได้เรื่องแล้ว เราเลยต้องวางแผนเดินทางไปทำ พาสปอรต์ชั่วคราว ที่สถานทูตไทยในเปรูแทนซึ่งมันอยู่ใกล้เราที่สุด ก่อนจะกลับมาเอกวาดอร์อีกครั้ง และไหนๆ เราก็ต้องเดินทางออกนอกแผนแล้ว เราจึงตัดสินใจอยู่เที่ยวต่อจนถึงสิ้นเดือนมกราซะเลย หลังจากเราคุยกันเสร็จ เราก็ลง Snorkel กัน ตรงชายหาด
โอ้โห เห็นแล้ว! เห็นแล้ว!! เห็นแต่ทราย โคตรเศร้าเลย สุดท้ายตัดสินใจไปพายเรือคายัคแทน เราเช่าเรือพาย 1 ชม ก่อนจะพาย เจ้าของเรือหุ่นล่ำบึ๊กแนะนำให้เราไปดำน้ำกลางทะเลที่คลื่นลมสงบ ที่นั่นเราจะได้เห็นฉลามหัวฆ้อน ได้ยินดังนั้น เราก็ลงมือพายออกทะเลทันที โชคดีที่พายเรือเป็น ไม่วนเป็นวงกลมหรอกนะอิอิ
เราพายเลาะชายฝั่งไปเรื่อย เราได้เจอกับนกพีลีแกน ก็ไอ้นกหัวขโมยนั่นแหละ เราหยุดถ่ายรูป สงสัยพี่แกจะเคยเป็นนายแบบ เก็กให้เราถ่ายอย่างดีเลย พอถ่ายเสร็จก็พายออกทะเลต่อไป จนถึงจุดดูปลาฉลาม
ฉันบอกหมอว่า “หมอลงไปถ่ายรูปดิ พี่ไม่มี Snorkel เดี๋ยวพี่อยู่บนเรือเอง จะได้ลากหมอขึ้นได้ไง” พูดเหมือน โคตรเสียสละเลย เปล่า ตรูกลัว
หมอก็ว่า “ไม่เอาพี่ หนูกลัว”
พอกันแหละว่ะ สรุป พายกลับ
พอพายมาได้ครึ่งทาง เจ้าของเรือ พายออกมาหาเราแล้วพูดภาษาสเปน ประมาณว่าไปดูฉลามกัน เราสองคนพยักหน้าทันที เค้าก็ใจดี จริงๆคงรำคาญอ่ะ พ่วงเรือเค้าเข้ากับเรือเรา แล้วลากเราไป ขอบอกว่าเรือแล่นเร็วมาก จนหน้าเราสัมผัสกับอากาศได้เลย ผิดกับตอนเราพายกันเอง ที่รู้สึกน้ำเกาะเต็มหน้าผาก
พอถึงจุดลงดูฉลาม เค้าก็บอกให้เราลง หมอค่อยๆลงไปในน้ำ แต่ฉันไม่ได้เอา Snorkel มา เพราะมันเสียทั้งๆที่เพิ่งซื้อมา เอามาแต่หน้ากาก เจ้าของเรือผู้ใจดีเห็นเข้าก็เลยให้ยืมอุปกรณ์ ตายห่า! ใจดี ตรูกลัวน้ำนะ แต่เมื่อได้อุปกรณ์มาแล้วก็ต้องลงดิ พอลงไปแล้วไม่ผิดหวังเลยได้เห็นลูกฉลามนอนเล่นเต็มเลย นอนไปนะลูกอย่าตื่น ให้ถ่ายรูปถ่ายวีดีโอดีนะ นิ่งๆเข้าไว้ รอเค้าปีนขึ้นเรือก่อนนะตัวเอง เสร็จจากการดำน้ำเราก็พายเรือกลับ เราใช้เวลาเกือบ 3 ชมในการพายเรือ เจ้าของเรือไม่คิดเงินเพิ่มด้วยแหละ เราเลยให้ทริปเค้าแทน
กลับมาถึงที่วางสัมภาระตัวเอง ตกใจ!! น้ำขึ้นมาเกือบซัดของๆเราลงทะเล ไม่ให้ตกใจได้ไง ก็หมอเล่นฝัง Passport กับเงินไว้ในทรายอ่ะ ถ้าถึงที่ฝังสมบัติเรา โอ้ย!! ไม่อยากคิดเลย หมดตัวแน่ๆ เรารีบขุดสมบัติขึ้นมา แล้วก็เก็บของเดินกลับไปที่จอดจักรยาน น้ำเริ่มขึ้นสูงเรื่อยๆตอนเดินออกมาจากหาด เราต้องผ่านหาดที่มีคลื่นแรงซึ่งเวลาน้ำขึ้นแล้ว เราต้องเดิน ผ่านคลื่นไป คลื่นบางคลื่นกระทบเท้าเราเบาๆ แต่บางครั้งมาแรงเกือบล้มก็มี ไม่ได้กลัวตัวเองเปียกนะ แต่ห่วง Passport กับกล้องตัวอื่นที่ไม่กันน้ำยิ่งชีพ เราเลยรีบออกดีกว่า
หลังจากเดินผ่านคลื่นเราต้องเดินข้าม เขาเพื่อไปเอาจักรยานอีก ทางเดินอย่างที่เคยบอก 2.5 กม เดินนานมาก เดินไม่ถึงซะที สงสัยเราจะเริ่มหมดแรงกันแล้ว แต่ในที่สุดก็เดินจนถึงที่จอดจักรยานอย่างอ่อนล้า แต่เรายังต้องปั่นไปยังหาดที่มีร้านอาหาร อีกพัก เราตัดสินใจกินอาหารแมกซีกันเมื่อถึงหาด แต่เราดันได้กินซูชิ ไรเนี่ย ว่าเข้าถูกร้านแล้วนะ แต่มันก็อร่อยดีและแพงนรก หลังกินเสร็จก็ขี่จักรยานกลับที่พักกล่ำกลืน เมื่อไหร่ที่เห็นเนิน ขาเราสั่นระริกๆ เกลียดเนิน มันเมื่อย เหนื่อย หมดแรง แต่สุดท้ายเราก็ถึง และลงมือวางแผนย้ายเกาะ เรากำลังจะไป......