"พระ" หรือ
"ภิกษุ" สอนให้คนให้อภัยกัน ทำดีต่อกัน แต่ทำไมพระวัดนี้ จึงออกมาต่อต้าน
"กฎหมายนิทรโทษกรรม"
พูดง่ายๆ คือ ไม่ยอมให้เกิดการ
"ให้อภัยต่อกัน" เสียได้นะ
ด้านล่างนี้ื คือบทความจากสมาชิกบางท่าน ในบอร์ดนี้ ที่ได้เคยให้ความเห็นไว้ และผมรวบรวมมาให้อ่านเพื่อพิจารณากัน...
เมื่อวานได้มีโอกาสคุยกับคนผลิตแชมพูสมุนไพรขาย ที่เป็น
"คนวัด"หรือที่ภายในเรียกว่า
"ญาติธรรม" ที่ร้านผมขายแชมพูของเค้ามานานเป็นสิบปีแล้วครับ
ถามข่าวคราวว่า วงในเป็นอย่างไรกันบ้าง เค้าบอกว่า
"คนวัด"ที่ไม่เห็นด้วยก็กลายเป็นต้องออกจากวัดไป อย่างคนขายแชมพูบอกว่าถ้าไม่ค่อยได้ไปช่วยที่ทำเนียบก็จะต้องโดนมองหน้า หาว่าไม่ช่วย (ก็คนทำมาหากินนะครับ ผมบอกเค้าไป) ผมละสงสาร เพราะว่า
"คนวัด"ที่เป็นชาวอโศกนั้นส่วนใหญ่ต้องทิ้งครอบครัวไปทำงานที่นั่นพร้อมกับปฏิบัติธรรม ทำงานหนักมากๆ ถ้าไม่ทำก็อยู่ไม่ได้ เค้ารังเกียจ ส่วนใหญ่ก็มีแต่คนแก่ และเด็กๆ เป็นหนุ่มสาวน้อย ชาวอโศกส่วนใหญ่ก่อนเข้าวัดก็บริจาคเงินเก็บก้อนสุดท้ายให้วัดไปแล้วด้วย
ผมเคยไปทำบุญมากว่าสิบปี ไปอยู่ประจำตอนปิดเทอมก็หลายเดือน ก็พอจะรู้ว่าภายในเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้นึกเสียดายหลายๆ อย่างที่ชาวอโศกได้ทำไป ความเป็นประชาธิปไตยไม่มีหรอกครับที่นั่น
ต้องฟังสมณะโพธิรักษ์คนเดียว ท่านดุก็ต้องหยุด ปกติเวลาคนบริจาคให้นั่น จะมีงบที่ท่านเองเก็บไว้ คล้ายๆกับงบกลางที่ทักษิณเบิกฉุกเฉิน ตอนตั้งทีวีใหม่ๆรู้สึก็ใช้งบนี้ออกครับ
ผมเองคิดว่าคนในวัดก็คงอึดอัดกันหลายคนอยู่ แต่ตัวเองทิ้งบ้านทิ้งเรือนมาหมดแล้ว ซวยเลยครับ จะออกแล้วกลับไปก็อายลูกหลาน ไหนว่าพ่อท่านดีหนักดีหนา
ถ้าใครไปพุทธสถานหลายๆ ที่ของอโศกตอนนี้จะเห็นการก่อสร้างต่างๆ มากมาย พระพุทธรูปก็มีแล้ว ตอนแรกต่อต้านมาก แต่ตอนหลังก็สร้างใหญ่โตจากหินทรายที่ราชธานีอโศก (อุบล) และสร้างองค์พระไปไว้ตามสาขาต่างๆ
การที่สันติอโศก เริ่มสร้างพระพุทธรูปทั้งๆ ที่ดั้งเดิมโพธิรักษ์ต่อต้านและไม่เคารพกราบไหว้พระพุทธรูป มันเหมือนสร้างขึ้นมาเพื่อต้องการดึงคนที่เคารพศรัทธาในพระพุทธเจ้า ให้เข้ามาในสำนักของตนเท่านั้น
การสอนว่า
"ให้กินน้อยใช้น้อย ที่เหลือจุนเจือสังคม" มุมหนึ่งเหมือนมีความสมถะ ที่กินน้อยใช้น้อย แต่ที่เหลือให้จุนเจือสังคม
มันกลับบ่งชี้ว่า ที่ให้มัธยัสถ์ เพื่อนำส่วนที่เหลือไปให้เขามากกว่า เพื่อการใช้จ่ายตามอัธยาศัยเพราะความเป็น
"พ่อท่าน"
การเดินเข้าไปนับถือเขา ก็ทำด้วยตนเอง เมื่อมันไม่ถูกอัธยาศัยก็ควรเดินออกมาด้วยตนเอง จะไปอยู่ใต้อาณัติเขาเยี่ยงทาสทำไม...
ที่สันติอโศกร่ำรวยได้เพราะว่า
"คนวัด"ทำงานไม่เอาเงินเลย (โดยส่วนใหญ่) ทำฟรีๆ อยู่แบบอาศัยส่วนกลาง ทำที่นั่นชอบนินทากัน อารมณ์รุนแรง ยิ่งแม่ครัวด้วยแล้ว ใครห้ามยุ่ง หน้าที่ใครหน้าที่มัน คนที่นั่นจะชอบสรรเสริญคนมีความรู้ คนที่เป็นพยาบาลก็เรียกว่า หมอ คนที่นั่นชอบป่วย เนื่องจากสภาพแวดล้อม อาหารที่เน้นแบบสุดจะธรรมชาติ ทำนองนั้นครับ
สมณะบางรูปก็โดน
"คนวัด" ต่อต้านบ้างก็มี
"คนวัด" ไม่ชอบก็มี แบบแบ่งข้างกัน นักบวชหญิงเคยมาที่บ้านพี่สาวคุณยาย บ่นให้ฟังว่า พ่อท่านเอาคนแก่ไปทรมานที่ทำเนียบ (เอาไปประท้วง) ร้อนก็ร้อน ไม่สบายกันเป็นแถวๆ
เพื่อนที่ทำงานด้วยกัน ละทิ้งรายได้เดือนเป็นแสน พาครอบครัวและลูกสาว 2 คน ออกจากงานไปอยู่
"ชุมชนอโศก" ที่กันทรลักษณ์ ผมเคยไปเยี่ยม ตอนที่เขาไปอยู่ใหม่ๆ มีบ้านให้อยู่หลังเล็กๆ ใต้ถุนสูง มีทีให้ปลูกผักแปลงเล็ก ๆ แปลงนึงอยู่หน้าบ้าน ผมเห็นแล้วนึกได้เลยว่าความศรัทธา ทำให้เพื่อนอยู่ได้ แต่ไม่นานก็มีปากเสียงทะเลาะกัน แล้วก็ต้องหย่าร้าง เมียต้องพาลูกหนีกลับเข้ามา กทม.
ส่วนเพื่อนก็ได้มาหางานทำอยู่แถวๆ เมืองทอง ซึ่งไ้ด้ข่าวว่ามีสำนักของพวกเขาอยู่ รับแปลเอกสารประมาณนี้ครับ เขาเคยคิดที่จะกลับเข้ามาทำงานที่เก่าอีก แต่ทางนั้นเขาไม่รับ ผมเสียดายที่ครอบครัวเขาต้องมาแตกแยกกันเพราะเรื่อง "ลัทธิ"
หลังจากการประท้วงครั้งแรก ทางอโศกก็มีการจัดตั้ง FMTV เพื่อฟ้าดิน ได้ช่องจาก ASTV มาทำรายการตัวเอง ผมจะบอกว่าผลประโยชน์ล้วนๆเลย ผมนึกเสียใจมากที่มาคบกับคนพาลแบบ
"สนธิ"
สมณะโพธิรักษ์ ท่านพูดว่า
"นายสนธิ" กลับใจเป็นคนดีแล้ว เห็นจากในดวงตาของเค้า
ผมรับไม่ได้จริงๆ ครับ เห็นจาก
"ดวงตา" หรือ
"ดาวเทียม" เค้าครับพ่อท่าน
เพื่อนคนหนึ่งสละเกือบทุกอย่าง ยกเว้นไม่ลาออกจากงานแต่มาช่วยงานวัดจนมีตำแหน่งสำคัญ เขาก็รับไม่ได้ที่วัดเข้ากับ "พันธมิตร" เลยลาออกจากงานมูลนิธิของวัด ไม่กลับไปช่วยวัดอีกเลย เขารับไม่ได้ ส่วนตัวเองไม่ได้เป็นสาวก แต่ชอบไปซื้อของและมีเพื่อนอยู่ในนั้นหลายคน
ภายหลังจากที่มีการโยนระเบิดเข้าไปในวัด และ
สันติอโศกตกลงกับ
จำลองว่า จะเข้าร่วมกับ
"พันธมิตร" ครั้งแรกสมัยที่ทักษิณฯ ยังเป็นนายกอยู่ ส่วนตัวได้ทำจดหมายเปิดผนึกไปยื่นหนังสือถึง
สมณะโพธิรักษ์ (ผ่านเพื่อนที่เป็นคนวัด) เพื่อคัดค้านและขอร้องไม่ให้วัดเข้าร่วมกับ
"พันธมิตร" แต่ไม่เป็นผล
และได้ทราบมาว่า
"คุณหญิงสุดารัตน์" เองก็ไปขอร้อง แต่ท่านโพธิรักษ์อ้างว่าได้ตกลงจะไปช่วย (ตามคำชักชวนของ
"พลตรี จำลอง")แล้ว จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
และในที่สุดก็ถลำลึก ถูก
"ลิ้ม" ถูก
"ลอง" หลอกเอาจนได้ น่าสงสารเหล่าสาวกแก่ๆ ที่หวังความสงบในบั้นปลาย ต้องตกเป็นเหยื่อ
"ลิ้ม" "ลอง" ไปด้วย...เศร้า
ป.ล. บทความด้านบน มาจากบทความของ คุณ
"นายแหนม" และ เพื่อนๆ สมาชิกท่านอื่นๆ ซึ่งผมได้รวบรวมมาให้อ่านในบางส่วน เพื่อให้เพื่อนๆ ลองพิจารณาดู
✿ เรื่องวงในของ "ส้นติอโศก" (วัดนี้จะเล่นด้วยมั้ยเอ่ย พุทธอิสระ) ✿
"พระ" หรือ "ภิกษุ" สอนให้คนให้อภัยกัน ทำดีต่อกัน แต่ทำไมพระวัดนี้ จึงออกมาต่อต้าน "กฎหมายนิทรโทษกรรม"
พูดง่ายๆ คือ ไม่ยอมให้เกิดการ "ให้อภัยต่อกัน" เสียได้นะ
ด้านล่างนี้ื คือบทความจากสมาชิกบางท่าน ในบอร์ดนี้ ที่ได้เคยให้ความเห็นไว้ และผมรวบรวมมาให้อ่านเพื่อพิจารณากัน...
เมื่อวานได้มีโอกาสคุยกับคนผลิตแชมพูสมุนไพรขาย ที่เป็น"คนวัด"หรือที่ภายในเรียกว่า "ญาติธรรม" ที่ร้านผมขายแชมพูของเค้ามานานเป็นสิบปีแล้วครับ
ถามข่าวคราวว่า วงในเป็นอย่างไรกันบ้าง เค้าบอกว่า "คนวัด"ที่ไม่เห็นด้วยก็กลายเป็นต้องออกจากวัดไป อย่างคนขายแชมพูบอกว่าถ้าไม่ค่อยได้ไปช่วยที่ทำเนียบก็จะต้องโดนมองหน้า หาว่าไม่ช่วย (ก็คนทำมาหากินนะครับ ผมบอกเค้าไป) ผมละสงสาร เพราะว่า"คนวัด"ที่เป็นชาวอโศกนั้นส่วนใหญ่ต้องทิ้งครอบครัวไปทำงานที่นั่นพร้อมกับปฏิบัติธรรม ทำงานหนักมากๆ ถ้าไม่ทำก็อยู่ไม่ได้ เค้ารังเกียจ ส่วนใหญ่ก็มีแต่คนแก่ และเด็กๆ เป็นหนุ่มสาวน้อย ชาวอโศกส่วนใหญ่ก่อนเข้าวัดก็บริจาคเงินเก็บก้อนสุดท้ายให้วัดไปแล้วด้วย
ผมเคยไปทำบุญมากว่าสิบปี ไปอยู่ประจำตอนปิดเทอมก็หลายเดือน ก็พอจะรู้ว่าภายในเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้นึกเสียดายหลายๆ อย่างที่ชาวอโศกได้ทำไป ความเป็นประชาธิปไตยไม่มีหรอกครับที่นั่น
ต้องฟังสมณะโพธิรักษ์คนเดียว ท่านดุก็ต้องหยุด ปกติเวลาคนบริจาคให้นั่น จะมีงบที่ท่านเองเก็บไว้ คล้ายๆกับงบกลางที่ทักษิณเบิกฉุกเฉิน ตอนตั้งทีวีใหม่ๆรู้สึก็ใช้งบนี้ออกครับ
ผมเองคิดว่าคนในวัดก็คงอึดอัดกันหลายคนอยู่ แต่ตัวเองทิ้งบ้านทิ้งเรือนมาหมดแล้ว ซวยเลยครับ จะออกแล้วกลับไปก็อายลูกหลาน ไหนว่าพ่อท่านดีหนักดีหนา
ถ้าใครไปพุทธสถานหลายๆ ที่ของอโศกตอนนี้จะเห็นการก่อสร้างต่างๆ มากมาย พระพุทธรูปก็มีแล้ว ตอนแรกต่อต้านมาก แต่ตอนหลังก็สร้างใหญ่โตจากหินทรายที่ราชธานีอโศก (อุบล) และสร้างองค์พระไปไว้ตามสาขาต่างๆ
การที่สันติอโศก เริ่มสร้างพระพุทธรูปทั้งๆ ที่ดั้งเดิมโพธิรักษ์ต่อต้านและไม่เคารพกราบไหว้พระพุทธรูป มันเหมือนสร้างขึ้นมาเพื่อต้องการดึงคนที่เคารพศรัทธาในพระพุทธเจ้า ให้เข้ามาในสำนักของตนเท่านั้น
การสอนว่า "ให้กินน้อยใช้น้อย ที่เหลือจุนเจือสังคม" มุมหนึ่งเหมือนมีความสมถะ ที่กินน้อยใช้น้อย แต่ที่เหลือให้จุนเจือสังคม
มันกลับบ่งชี้ว่า ที่ให้มัธยัสถ์ เพื่อนำส่วนที่เหลือไปให้เขามากกว่า เพื่อการใช้จ่ายตามอัธยาศัยเพราะความเป็น "พ่อท่าน"
การเดินเข้าไปนับถือเขา ก็ทำด้วยตนเอง เมื่อมันไม่ถูกอัธยาศัยก็ควรเดินออกมาด้วยตนเอง จะไปอยู่ใต้อาณัติเขาเยี่ยงทาสทำไม...
ที่สันติอโศกร่ำรวยได้เพราะว่า"คนวัด"ทำงานไม่เอาเงินเลย (โดยส่วนใหญ่) ทำฟรีๆ อยู่แบบอาศัยส่วนกลาง ทำที่นั่นชอบนินทากัน อารมณ์รุนแรง ยิ่งแม่ครัวด้วยแล้ว ใครห้ามยุ่ง หน้าที่ใครหน้าที่มัน คนที่นั่นจะชอบสรรเสริญคนมีความรู้ คนที่เป็นพยาบาลก็เรียกว่า หมอ คนที่นั่นชอบป่วย เนื่องจากสภาพแวดล้อม อาหารที่เน้นแบบสุดจะธรรมชาติ ทำนองนั้นครับ
สมณะบางรูปก็โดน "คนวัด" ต่อต้านบ้างก็มี "คนวัด" ไม่ชอบก็มี แบบแบ่งข้างกัน นักบวชหญิงเคยมาที่บ้านพี่สาวคุณยาย บ่นให้ฟังว่า พ่อท่านเอาคนแก่ไปทรมานที่ทำเนียบ (เอาไปประท้วง) ร้อนก็ร้อน ไม่สบายกันเป็นแถวๆ
เพื่อนที่ทำงานด้วยกัน ละทิ้งรายได้เดือนเป็นแสน พาครอบครัวและลูกสาว 2 คน ออกจากงานไปอยู่ "ชุมชนอโศก" ที่กันทรลักษณ์ ผมเคยไปเยี่ยม ตอนที่เขาไปอยู่ใหม่ๆ มีบ้านให้อยู่หลังเล็กๆ ใต้ถุนสูง มีทีให้ปลูกผักแปลงเล็ก ๆ แปลงนึงอยู่หน้าบ้าน ผมเห็นแล้วนึกได้เลยว่าความศรัทธา ทำให้เพื่อนอยู่ได้ แต่ไม่นานก็มีปากเสียงทะเลาะกัน แล้วก็ต้องหย่าร้าง เมียต้องพาลูกหนีกลับเข้ามา กทม.
ส่วนเพื่อนก็ได้มาหางานทำอยู่แถวๆ เมืองทอง ซึ่งไ้ด้ข่าวว่ามีสำนักของพวกเขาอยู่ รับแปลเอกสารประมาณนี้ครับ เขาเคยคิดที่จะกลับเข้ามาทำงานที่เก่าอีก แต่ทางนั้นเขาไม่รับ ผมเสียดายที่ครอบครัวเขาต้องมาแตกแยกกันเพราะเรื่อง "ลัทธิ"
หลังจากการประท้วงครั้งแรก ทางอโศกก็มีการจัดตั้ง FMTV เพื่อฟ้าดิน ได้ช่องจาก ASTV มาทำรายการตัวเอง ผมจะบอกว่าผลประโยชน์ล้วนๆเลย ผมนึกเสียใจมากที่มาคบกับคนพาลแบบ "สนธิ"
สมณะโพธิรักษ์ ท่านพูดว่า "นายสนธิ" กลับใจเป็นคนดีแล้ว เห็นจากในดวงตาของเค้า
ผมรับไม่ได้จริงๆ ครับ เห็นจาก "ดวงตา" หรือ "ดาวเทียม" เค้าครับพ่อท่าน
เพื่อนคนหนึ่งสละเกือบทุกอย่าง ยกเว้นไม่ลาออกจากงานแต่มาช่วยงานวัดจนมีตำแหน่งสำคัญ เขาก็รับไม่ได้ที่วัดเข้ากับ "พันธมิตร" เลยลาออกจากงานมูลนิธิของวัด ไม่กลับไปช่วยวัดอีกเลย เขารับไม่ได้ ส่วนตัวเองไม่ได้เป็นสาวก แต่ชอบไปซื้อของและมีเพื่อนอยู่ในนั้นหลายคน
ภายหลังจากที่มีการโยนระเบิดเข้าไปในวัด และสันติอโศกตกลงกับจำลองว่า จะเข้าร่วมกับ "พันธมิตร" ครั้งแรกสมัยที่ทักษิณฯ ยังเป็นนายกอยู่ ส่วนตัวได้ทำจดหมายเปิดผนึกไปยื่นหนังสือถึงสมณะโพธิรักษ์ (ผ่านเพื่อนที่เป็นคนวัด) เพื่อคัดค้านและขอร้องไม่ให้วัดเข้าร่วมกับ "พันธมิตร" แต่ไม่เป็นผล
และได้ทราบมาว่า "คุณหญิงสุดารัตน์" เองก็ไปขอร้อง แต่ท่านโพธิรักษ์อ้างว่าได้ตกลงจะไปช่วย (ตามคำชักชวนของ "พลตรี จำลอง")แล้ว จึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
และในที่สุดก็ถลำลึก ถูก "ลิ้ม" ถูก "ลอง" หลอกเอาจนได้ น่าสงสารเหล่าสาวกแก่ๆ ที่หวังความสงบในบั้นปลาย ต้องตกเป็นเหยื่อ "ลิ้ม" "ลอง" ไปด้วย...เศร้า
ป.ล. บทความด้านบน มาจากบทความของ คุณ "นายแหนม" และ เพื่อนๆ สมาชิกท่านอื่นๆ ซึ่งผมได้รวบรวมมาให้อ่านในบางส่วน เพื่อให้เพื่อนๆ ลองพิจารณาดู