เมื่อฉันต้องกลายเป็นเพื่อนเจ้าสาว แต่สิ่งที่ได้รับหลังจบงานมันดูคุ้มค่าเกินไปไหม?

ก่อนอื่นเลยต้องขอบอกว่าเรื่องที่ฉันเจอมา สำหรับบางคนอาจจะคิดว่าฉันเป็นคนคิดมาก หรือว่าคิดเล็กคิดน้อย แต่ถ้ามันเป็นสิ่งสะสมมา จนมาถึงจุดๆ หนึ่งฉันคิดว่า ฉันก็เหมือนจะอดทนไม่ไหว เอ๊ะ แล้วมันเกี่ยวยังไงกับเรื่องงานแต่ง การเป็นเพื่อนเจ้าสาวอีก งั้นเข้าเรื่องเลยดีกว่า(เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา)

ฉันมีเพื่อนสนิท(เอ้าไม่แปลกหลายคนก็คงมีเพื่อนสนิท) แต่จะมีสักกี่คนที่เราจะสนิทและไว้ใจได้จริงๆ ซึ่งฉันเองก็คิดว่าฉันมีไม่กี่คน เมื่อสามเดือนก่อน ฉันแอบตกใจนิดหน่อยที่เพื่อนสนิทของฉันทักมาแล้วบอกว่าเอ่อ เราจะแต่งงานซึ่งนั้นก็ไม่แปลก เพราะพวกเราต่างก็เรียนจบมีหน้าที่การงานทำกันหมดแล้ว และฉันเองก็ไม่ได้อะไรด้วยกลับยินดีด้วยซ้ำที่เพื่อนจะเป็นฝั่งเปนฝา ฉันกับเพื่อนคนนี้(เพื่อนเป็นผู้หญิงหรือคือเจ้าสาว)คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนม.ปลาย คือเราเรียนห้องเดียวกัน เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน จนจบม.ปลายคือช่วงเวลาสามปีตอนนั้นมันอาจจะดูสั้นๆ แต่หลังจากเรียนจบเข้ามหาวิทยาลัยเราก็เรียนคนละที่คนละจังหวัดกัน แต่เราก็ติดต่อสื่อสารกันตลอดทั้งโทรคุย เล่น Social ต่างๆ ซึ่งช่วงเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนสนิทคนนี้ของฉันก็เล่าทุกอย่างให้ฉันฟังตลอดไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว หรือเรื่องแฟนกี่คนๆ ๆของเธอ จนเราเรียนจบมหาวิทยาลัยคือก็ทำงาน ถึงแม้จะทำคนละที่ แต่เราก็ยังคุยกันตลอด อย่างที่ฉันบอกว่าเพื่อนของฉันก็บอกว่าจะแต่งงาน ตอนนั้นก็เอ่อ แต่งหรือ โอเคดีใจจริงๆ ฉันเองก็รู้จักกับแฟนเพื่อน ที่คบคือเราก็เคยไปเที่ยวด้วยกัน ก็เจอกันบ้าง ก็พอรู้ แต่การแต่งงานของเพื่อนฉันมันก็ค่อนข้างเร็วแบบสายฟ้าแลบ ซึ่งหลังจากที่เธอบอกฉันว่าเธอจะแต่งงานเธอก็ปรึกษา และมาพูดคุยกับฉันตลอดเธอขอให้ฉันช่วยหาชุดแต่งงานให้เธอ โดยที่บอกว่าอย่าหาราคาแพงมากนะ ซึ่งแน่นอนว่าฉันก็หาให้เธอแต่นั้นก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะเลือกชุดที่ฉันหามาให้ ฉันหาทั้งทางออนไลน์ โทรไปถามร้าน หรือเดินไปหายันร้านถามราคาให้หมดเสร็จสรรพ แต่เพื่อนของฉันก็ไม่เอา (เพราะมันแพง) ในระหว่างที่มีการรองานแต่ง รอให้ถึงวันจริง เราก็มีพูดคุยกันบ้าง เพื่อนฉันเองก็ปรึกษาหลายเรื่อง ซึ่งฉันเองก็รับฟัง และให้ความคิดเห็นไปบ้างตามประสาเพื่อนสนิท แล้วเขาก็บอกว่า วันงานให้ฉันเป็นเพื่อนเจ้าสาว ซึ่งฉันก็โอเคตกลงไม่ได้อะไร เพราะฉันคิดว่าเพื่อนฉันคนนี้ก็คงเห็นว่าเอ่อ เราสำคัญนะ ก็แอบดีใจเล็กน้อย

ขอตัดภาพมาที่วันงานแต่งวันจริงเลยแล้วกัน..........
วันแต่งจริง ฉันก็ไม่ได้ไปนอนค้างบ้านเจ้าสาวหรอกนะ คือฉันก็พอทราบมาว่ายังไงเพื่อนที่มหาวิทยาลัยของเจ้าสาวก็คงต้องไปนอน แล้วบ้านเพื่อนฉันก็ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ฉันก็ไปร่วมงานแต่เช้า แล้วเหตุการณ์ทั้งหมดมันก็เกิดขึ้นในวันนี้ ฉันก็ไปร่วมงานตอนเช้า ตอนไปถึง ฉันก็เดินเข้าไปหวังที่จะแสดงความยินดีกับเพื่อน ก็เข้าไปกอดเพื่อน เหมือนน้ำตาจะปริ่ม แล้วบอกเพื่อนว่ายินดีด้วยนะดีใจกับแกจริงๆด้วย
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ "งึงเป็นไรเนี้ยะ บ้าป่าว เอ่อ ๆ " เป็นน้ำเสียงห้วนๆ แทนที่จะเป็นคำว่าเอ่อ ขอบใจนะ ไรเงี้ยะ แต่ฉันเองกไม่ได้คิดติดใจอะไร เพราะคิดว่าเอ่อ เพื่อนเราก็คงเหนื่อยมั้ง อีกอย่างคิดว่าเป็นบุคลิกของเพื่อนเราด้วยก็ไม่ไดถือสาอะไรเลย แต่พอมองกลับไปที่คนอื่น ที่เขามาแสดงความยินดีกับเพื่อนเรา เพื่อนของเรากลับวิ่งเข้าไปหา แล้วไปกอดแขกที่มาคนอื่นๆ แล้วก็พูดคุยอย่างสนุกสนาน โดยที่ก็ไม่ได้สนใจเรา (ตอนนั้นก็คิดว่า ตกลงเรายังเป็นเพื่อนเจ้าสาวอยู่ไหม?)
โอเค พิธีการตอนเช้ากค่อนข้างราบรื่นไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกอย่างโอเคสมบูรณ์แบบหมด แต่ติดตรงที่น้ำแข็งไม่พอ ซึ่งสั่งมาแล้วตั้งเยอะก็ไม่พอ ฉันก็เลยอาสาไปซึ่งน้ำแข็งกับญาติของเพื่อนฉัน เพราะเห็นว่าทุกคนยุ่ง ก็โอเคกลัวว่าแขกมาจะไม่มีน้ำแข็งเสริฟจะรอคนส่งน้ำแข็งมา คือเค้าก็บอกว่าโทรสั่งไปแล้วแต่ไม่มาสักที ก็เลยตัดสินใจไปซื้อแทน  
ก่อนหน้านี้ เพื่อนฉันก็ถามว่าฉันจะพาใครมากินโต๊ะจีนไหม ฉันก็บอกว่าคงไม่อ่ะ มีแต่ฉันกับเพื่อนอีกคนนี้หล่ะที่ไป เพื่อนฉันก็บอกว่าโอเค จะได้จัดที่ให้นั่งถูก ซึ่งฉันก็คิดว่า ก็ต้องมีที่ให้สำหรับเพื่อนเจ้าสาวอยู่แล้ว แต่พอไปถึงจริงๆ ไม่ใช่แบบนั้น ตั้งแต่เช้า จนถึงตอนกินเลี้ยง ฉันไม่ได้นั่งเก้าอี้โต๊ะจีนเลย ไม่มีที่ให้ฉันกับเพื่อนอีกคนนั่ง ฉันต้องยืนกินข้าว หรือไม่ก็หามุมเล็กๆ ในบ้านของเพื่อนฉันนั่งกิน ซึ่งฉันก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า ตกลงเค้าเชิญฉันมางานจริงๆ หรือว่าฉันเผือกมาเองกันแน่ ฉันก็มีบอกกับญาติเค้านะว่า พี่ช่วยหาโต๊ะให้น้องกับเพื่อนนั่งหน่อยดิ แต่เหมือนว่าโต๊ะมันก็เต็ม ซึ่งโอเคฉันก็เข้าใจ จริงๆ ที่ไปไม่ได้หวังจะไปกินโต๊ะจีนอยู่แล้ว แค่จะไปแสดงความยินดีกับเพื่อนเท่านั้น จริงๆ พองานเริ่มไปเรื่อยๆ จนถึงพิธีรดน้ำสังข์ โอเคฉันเห็นว่าเพื่อนไม่มีช่างกล้อง ฉันก็ถ่ายรูป จัดการจัดแจงทุกอย่าง บอกให้พ่อกับแม่เจ้าสาวมาถ่ายรูปตอนรดน้ำสังข์ จัดนู้นนี่ๆ นั้นเสร็จสรรพ ใครอยากถ่ายฉันก็เป็นตากล้องถ่ายให้ ใครใช้ฉันก็ถ่ายให้เพราะถือว่าเป็นงานมงคล แต่พอถึงเวลาที่ฉันจะถ่ายรูปกับเพื่อนด้วยเค้าก็ต้องทำพิธีอย่างอื่นแล้ว เพื่อนฉันก็เลยพูดกับฉันว่า เอ่อ อย่าเพิ่งถ่ายเลย เดี๋ยวเค้าจะทำพิธีต่อหล่ะ โอเคไม่เป็นไรค่ะ ฉันคงเสียสละมากเกินไป ที่มัวแต่ไปถ่ายให้คนอื่น แต่ลืมไปว่าตัวเองยังไม่ได้ถ่ายรูปกับเพื่อนเลย โอเคทุกอย่างเหมือนจะไปด้วยดี ฉันก็แค่ยืนอยู่ในมุมเล็กๆ ของบ้าน ไม่ได้มีที่นั่งเหมือนคนอื่นๆ อยากยืนตรงไหนก็ยืน ในขณะที่แขกหรือเพื่อนคนอื่นๆ เค้านั่งโต๊ะจีนกันหมดแล้ว พิธีกล่าวขอบคุณเริ่มแล้ว เจ้าบ่าวและเจ้าสาวต้องขึ้นบนเวที เพื่อขอบคุณแขก แล้วก็คล้องมาลัยที่คอ แต่พานพวงมาลัย ยังอยู่ในบ้าน ซึ่งฉันเองก็บอกกับเพื่อนอีกคนว่า เอาไปให้เจ้าสาวที่หน้าเวทีหน่อย แต่น้องชายของเพื่อนกลับบอกว่า พี่นั้นหล่ะเอาไปเลยก็พี่เป็นเพื่อนเจ้าสาว เป็นเพื่อนสนิท เอ้าาา ไงกลายเป็นฉัน ซึ่งอ่อ โอเคพี่หรือ ได้ๆ ๆก็ทำตามหน้าที่อยู่แล้ว ฉันก็ถือพานไปยังหน้าเวทีเก้ๆ กังๆ พอไปถึงหน้าเวที เพื่อนฉันก็เห็นว่าฉันถือพานมา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับตะโกนไปบอกเพื่อนมหาลัยของเธอว่า เห้ยมาถือมาลัยดิ มัวแต่กินอยู่นั้น ณ.ตอนนั้นฉันหน้าชาไปนิดนึง
ลองคิดสภาพดูนะว่า ถ้าคุณยืนประกวดเข้ารอบชิงนางงาม แล้วพิธีกรประกาศว่าคนได้มงฯ แต่พิธีกรชายอีกคนพูดขึ้นว่า ขอโทษทีครับอ่านผิด มันเป็นความรู้สึกนั้นเลยสำหรับฉัน
แล้วเพื่อนของฉันก็ไม่ได้พูดอะไรกับฉันสักคำ ไม่มีคำพูดใดๆ เกิดขึ้น มีเพียงแต่เธอเรียกอีกคนบอกให้มาถือพวงมาลัยเร็วๆ จะได้ขึนเวที แล้วฉันที่ถือถาดพวงมาลัยอยู่ ก็ส่งต่อให้กับเพื่อนเจ้าสาว(ตัวจริง)คนนั้นเลย แล้วฉันก็กลับมายืนที่มุมเล็กๆ ในบ้าน ที่ๆ ไม่มีโต๊ะจีนให้ได้นั่งกิน ที่ๆ เหมือนแอบมองออกมาแค่นั้น

ณ.ตอนนั้น ฉันบอกตรงๆ ว่าถ้าเป็นคนอื่น คงอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ แต่สำหรับฉัน ที่คิดว่าได้กลายเป็นเพื่อนเจ้าสาวแล้ว ซึ่งเพื่อนคนนี้เค้าก็ดีกับฉันมาตลอด ฉันคิดว่าฉันก็ทุ่มเทให้เพื่อนเต็มที่แม้งานสำคัญไม่ว่าจะงานอะไรก็ตาม สำหรับฉันก็ให้เพื่อนเต็มร้อยเหมือนกัน แต่ฉันไม่รู้เลยจริงๆว่าเพื่อนให้ฉันได้เต็มร้อยเหมือนกันหรือเปล่า?


สรุปแล้วจากเหตุการณ์ทั้งหมด ต่อจากนี้ หลังจากนี้ฉันคิดว่ามันคุ้มค่าเกินไปไหม ? แล้วฉันควรทำอย่างไรต่อดีสำหรับกรณีนี้
ยังไงแล้วถ้าเกิดเพื่อนฉันได้เข้ามาเห็น ถ้าเขาจะโกรธฉัน ก็คงไม่แปลก แต่ฉันเองไม่ได้ตังใจจะประจานหรือะไร เพียงแค่อยากจะแชร์ประสบการณ์ว่าจริงๆ แล้วฉันก็รู้สึกได้นะว่าสิ่งที่ได้รับจากครั้งนี้ฉันก็เจ็บปวดเหมือนกัน
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
จุกอะ พูดไม่ออกแหะ เอาจริงๆถ้าเกิดยุ่งจนไม่มีเวลาดูแลเราแล้วจบงานมาพูดหรือโทรขอบคุณบ้าง เห้ยขอโทษนะแกยุ่งมากๆไม่มีเวลาดูแลเลย ขอบคุณที่มานะรัยงี้ยังพอให้อภัยนะ

แต่นี่อะไรลืมเพื่อนเก่าไปมีเพื่อนใหม่ไม่ว่า จะชวนมาทำแป๊ะอะไรวะ

เข้าใจค่ะ มากอดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่