เฉินหลง อยู่ในวงการมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 60 และยังเป็นนักแสดงเอเชียเพียงคนเดียวในปัจจุบัน ที่มีผลงานในฮอลลิวู้ดมานานกว่า 20 ปี วันนี้ เรามาย้อนกลับไปดูตั้งแต่เรื่องที่ 1 ถึง ปัจจุบัน ว่าภาพยนตร์เรื่องไหนบ้างที่ประสบความสำเร็จ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตของ เฉินหลง และทำให้เขากลายมาเป็นแอ็คชั่นสตาร์ดาวค้างฟ้าจนถึงปัจจุบัน
เรื่องที่ 1: Master With Cracked Fingers (1971) - มังกรหมัดเทวดา
ถึงแม้ เฉินหลง จะเข้าวงการในฐานะสตันท์แมนและตัวประกอบมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ Master With Cracked Fingers (มังกรหมัดเทวดา) ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาแสดงนำ โดยเขารับบทเป็นเด็กหนุ่มที่ฝึกฝนวิขาการต่อสู้จากยาจกเฒ่า และก็ใช้มันเพื่อจัดการกับแก๊งค์เรียกค่าคุ้มครองในเมือง โดยนี่ถือเป็นบทบาทที่ฉายแววให้เห็นความสามารถของนักแสดงหนุ่ม ซึ่งในอีกสองปีต่อมาฝันของเขาก็เป็นจริง เมื่อ เฉินหลง ได้เป็นส่วนหนึ่งในหนัง บรูซ ลี เรื่อง Enter the Dragon ซึ่งในเรื่องนี้ก็มีการผิดคิวเมื่อ เฉินหลง ถูก บรูซ ลี เอาไม้ตีหน้าเข้าอย่างจัง ซึ่ง บรูซ ได้ขอโทษและสัญญาว่าจะให้ทำงานในหนังของเขาทุกเรื่อง แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะไม่นานหลังจากนั้น บรูซ ลี ก็ได้เสียชีวิตลง
เรื่องที่ 16: Drunken Master (1978) - ไอ้หนุ่มหมัดเมา
ทศวรรษที่ 70 ถือเป็นยุครุ่งเรืองของหนังกำลังภายในฮ่ององ แต่มีไม่กี่เรื่องที่โดดเด่น Drunken Master (ไอ้หนุ่มหมัดเมา) ถือเป็นหนึ่งในนั้น โดย เฉินหลง รับบทเป็น อาหวง ที่ก่อความวุ่นวายในหมู่บ้าน จนทำให้พ่อส่งไปบ่มนิสัยกับยาจกเฒ่า ซึ่งก็เป็นที่มาของฉากการฝึกวิชาสุดคลาสสิก ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ เฉินหลง ยังไม่ได้พัฒนาการแสดงฉากแอ็คชั่นที่เป็นลายเซ็นของเขา แต่ในอีก 15 ปีต่อมาเขาก็แสดงในภาคต่อที่ชื่อ The Legend of Drunken Master (ไอ้หนุ่มหมัดเมา 2) ซึ่งก็ได้เพิ่มเติมมุขตลกเข้าไปมากมาย โดยไฮไลท์ตรงฉากต่อสู้สุดท้ายที่มีความยาวกว่า 20 นาที ซึ่งทำให้ทุกคนต้องรู้สึกทึ่ง
เรื่องที่ 28: Project A (1983) - เอไกหว่า
Project A (เอไกหว่า) เป็นจุดเริ่มต้นของ 3 พี่น้องร่วมสาบาน นั้นคือ เฉินหลง, หงจินเป่า และ หยวนเปียว ที่เล่าเรื่องนายตำรวจ (เฉินหลง) ที่เข้าไปพัวพันกับพวกโจรสลัดช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยหนังถูกจำรึกเอาไว้ว่ามีฉากสตันท์ที่น่าจดจำที่สุดครั้งหนึ่ง นั้นคือตอนที่ เฉินหลง ต้องห้อยอยู่บนหอนาฬิกา ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก Safety Last! หนังคลาสสิกของ ฮาโรล์ด ลอยด์ Project A ได้รับความนิยมและทำให้ 3 พี่น้องร่วมสาบาน ได้ร่วมงานกันอย่างต่อเนื่องตลอดยุค 80 และ 90 ไม่ว่าจะเป็นภาคต่อปี 1987 อย่าง Project A Part II (เอไกหว่า 2), Wheels on Meals (ขาตั้งสู้) และ Dragons Forever (มังกรหนวดทอง) โดย Project A ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทุกคนได้เห็นลายเซ็นที่เป็นเอกลักษณ์ของ เฉินหลง ในการแสดงฉากแอ็คชั่นปนกับอารมณ์ขัน
เรื่องที่ 34: Police Story (1985) - วิ่งสู้ฟัด
เฉิน หลง ได้ก้าวเข้าสู่โลกของหนังแอ็คชั่นร่วมสมัยกับ Police Story (วิ่งสู้ฟัด) ซึ่งกลายเป็นแฟรนไชส์หนังที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเขา โดยนี่คือหนังแอ็คชั่น-คอมเมดี้เรื่องแรกที่ได้รับรางวัล Hong Kong Film Awards โดยเป็นเรื่องของนายตำรวจที่ต้องจัดการหัวหน้าแก๊งค์มาเฟีย ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ได้ไปปลดปล่อยความมันกันในห้างสรรพสินค้า รวมถึงฉากเสี่ยงตายชื่อดังที่ เฉินหลง ต้องรูดลงจากเสาที่พันด้วยสายไฟฟ้า Police Story ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั่วทั้งเอเชีย มันทำให้มีภาค 2 ตามออกมาในปี 1987 ภาคสามในปี 1992 ที่เขารับบทนำคู่กับ มิเชล โหยว และภาคล่าสุดในปี 2004 อย่าง New Police Story (เหินสู้ฟัด) ที่ร่วมแสดงโดย เซียะถิงฟง และ แดเนียล วู
เรื่องที่ 38: The Armour of the Gods (1987) - ฟัดข้ามโลก ล่าสุดแผ่นดิน
The Armour of the Gods (ฟัดข้ามโลก ล่าสุดแผ่นดิน) คือหนังแอ็คชั่น-ผจญภัยเรื่องแรกของ เฉินหลง โดยเขารับบทเป็นนักล่าสมบัติในสไตล์ อินเดียน่า โจนส์ ที่ออกเดินทางตามหาดาบและชุดเกราะในตำนาน เพื่อช่วยอดีตแฟนสาวที่ถูกองค์กรชั่วลักพาตัว หนังเดินทางไปถ่ายทำถึงประเทศยูโกสลาเวีย ซึ่งเปิดโอกาสให้ เฉินหลง ได้เจอกับสถานการณ์สุ่มเสี่ยงและการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น และนี่ก็ยังเป็นหนังที่เกือบทำให้เขาต้องลาโลก เมื่อฉากที่ เฉินหลง ต้องกระโดดไปเกาะต้นไม้ แต่เกิดผิดคิวพลาดตกลงมาหัวกระแทกหิน ทำให้กระโหลกร้าวและหูซ้ายสูญเสียการได้ยินไปส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตามหนังก็ประสบความสำเร็จ และมีภาคต่อที่ตื่นเต้นไม่แพ้กันอย่าง Armour of God II: Operation Condor (ฟัดข้ามโลก ล่าขุมทองนาซี) ที่ฉายในปี 1990
เรื่องที่ 51: Crime Story (1993) - วิ่งสู้ฟัด: ภาคพิเศษ
ถือ เป็นความแตกต่างจากสไตล์ถนัดของ เฉินหลง เมื่อ Crime Story (วิ่งสู้ฟัด : ภาคพิเศษ) เป็นหนังแอ็คชั่นตรงๆ ไม่มีตลกมาเจือปน โดยเรื่องราวได้แรงบันดาลใจจากคดีลักพาตัวนักธุรกิจฮ่องกง ซึ่งนายตำรวจที่รับบทโดย เฉินหลง ต้องออกตามหาและช่วยเหลือกลับมาให้ได้ ถึงแม้หนังจะไม่ได้สร้างออกมาตามความต้องการของแฟนๆ แต่มันก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เฉินหลง สามารถแสดงหนังแอ็คชั่นเพียวๆได้อย่างยอดเยี่ยม และยังสามารถสร้างฉากเสี่ยงตายที่ตื่นเต้นเร้าใจ โดยเฉพาะฉากการช่วยเหลือในตอนสุดท้าย ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในผลงานของ เฉินหลง ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีที่สุด
เรื่องที่ 54: Rumble in the Bronx (1995) - ใหญ่ฟัดโลก
Rumble in the Bronx (ใหญ่ฟัดโลก) ถือเป็นก้าวแรกที่ประสบความสำเร็จในเส้นทางสู่ฮอลลิวู้ดของ เฉินหลง เมื่อหนังที่ถ่ายทำในอเมริกาเรื่องนี้ทำให้ทุกคนแปลกใจ เมื่อขึ้นอันดับหนึ่งตารางอันดับทำเงินในอาทิตย์แรก โดย เฉินหลง ปฏิเสธบทบาทตัวร้ายใน Demolition Man ของ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน เพื่อมารับบทเป็นตำรวจฮ่องกง ที่เดินทางร่วมงานแต่งงานในนิวยอร์ค แต่ก็ต้องพัวพันกับความขัดแย้งของแก๊งค์ท้องถิ่น หนังผสมผสานฉากแอ็คชั่นกับมุขตลกได้ตามแบบฉบับของ เฉินหลง และพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาพร้อมสำหรับการเป็นซุปเปอร์สตาร์ระดับนานาชาติ
เรื่องที่ 61: Rush Hour (1998) - คู่ใหญ่ ฟัดเต็มสปีด
Rush Hour คือแฟรนไชส์หนังที่ประสบความสำเร็จในเรื่องรายได้ที่สุดของ เฉินหลง ผลงานของผู้กำกับ เบรทท์ แรทเนอร์ และส่วนผสมที่ลงตัวอย่างน่าประหลาดระหว่าง เฉินหลง และ คริส ทัคเกอร์ เรื่องราวของตำรวจฮ่องกงที่เดินทางไปอเมริกา เพื่อสืบคดีการถูกลักพาตัวของทูตฮ่องกง และได้รับความช่วยเหลือจากตำรวจท้องถิ่น (คริส ทัคเกอร์) หนังเข้าถึงผู้ชมในวงกว้างและทำเงินทั่วโลกไปมากกว่า 244 ล้านเหรียญ จนทำให้มีภาค 2 ในปี 2001 ที่ตัวละครของ คริส ทัคเกอร์ เดินทางไปยังฮ่องกง (รายได้รวม 345 ล้านเหรียญ) และภาคล่าสุดในปี 2007 ที่ทั้งคู่ต้องผจญภัยในมหานครปารีส (รายได้รวม 257 ล้านเหรียญ)
เรื่องที่ 91: The Forbidden Kingdom (2008) - หนึ่งฟัดหนึ่ง ใหญ่ต่อใหญ่
ทั้ง เฉินหลง และ เจ็ท ลี พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการทำงานในฮอลลิวู้ด แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้เข้ามาแสดงคู่กัน โดยหนังดัดแปลงจากนวนิยายไซอิ๋ว เมื่อเด็กหนุ่มชาวอเมริกันเดินทางข้ามเวลามายังประเทศจีนในอดีต และก็ต้องร่วมเดินทางกับยาจกขี้เมา (เฉินหลง) และนักพรต (เจ็ท ลี) ในการปลดปล่อย หงอคง เพื่อมาช่วยกำจัดจักรพรรดิหยก โดยนอกจากที่หนังประสบความสำเร็จในเรื่องรายได้และเสียงวิจารณ์ มันก็ยังถูกจารึกว่า เฉินหลง และ เจ็ท ลี ต่อสู้กันในหนังเป็นครั้งแรก ซึ่งก็ทำให้ความฝันของนักดูหนังทั่วโลกกลายเป็นจริง
เรื่องที่ 100: 1911 (2011)
1911 สร้างจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกเรียกว่า "การปฏิวัติซินไฮ่" ซึ่งบทสรุปก็คือการสิ้นสุดระบอบศักดินาของราชวงค์ชิง และเป็นการเข้าสู่ระบบสาธารณรัฐของชาติจีน โดย เฉินหลง ได้ทำหน้าที่ทั้งกำกับ / อำนวยการสร้าง รวมถึงแสดงนำ โดยรับบทเป็น หวงซิ่น นายพลที่มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติ เขาเผยถึงความรู้สึกที่ได้ทำหนังเรื่องที่ 100 นี้ว่า "ผม รู้สึกภูมิใจที่ตัวเองเกิดเป็นคนจีน ภูมิใจที่บรรพบุรุษของเราต่อสู้เพื่อประชาชน และการปฏิวัติซินไฮ่ก็ถือเป็นจุดกำเนิดของจีนยุคใหม่ ผมคิดว่านี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการสร้าง ชาวจีนอย่างเราถือว่าทุกตัวเลขล้วนมีความหมาย นี่คือโอกาสพิเศษเพราะเป็นการครบรอบ 100 ปีของการปฏิวัติซินไฮ่ และยังเป็นการที่ผมแสดงหนังครบ 100 เรื่องพอดีด้วย ผมคิดว่ามันคือสัญญาณบางอย่างที่ทำให้ต้องทำหนังเรื่องนี้"
ผลงานล่าสุด Dragon Blade ดาบมังกรฟัด
Dragon Blade ดาบมังกรฟัด หนังแอ็คชั่นอิงประวัติศาสตร์สุดยิ่งใหญ่ผลงานการแสดงเรื่องใหม่ล่าสุดของ เฉินหลง ถ่ายทอดเรื่องราวออกศึกสู้รบระหว่างกองทัพทหารโรมันกับกองทัพทหารแห่งราชวงศ์ฮั่นบนดินแดนทะเลทรายที่ร้อนดั่งไฟ หนังบู๊ลุ้นระทึกกับการต่อสู้เสี่ยงอันตรายสไตล์เฉินหลง แฟนคลับเฉินหลงห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
แล้วเพื่อนๆชอบผลงานเรื่องไหนของเฉินหลงบ้าง ? มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้
อ้างอิงจาก :
http://movie.sanook.com
จากเรื่องแรกถึงปัจจุบันกับผลงานการแสดงของ เฉินหลง บนโลกภาพยนตร์
เฉินหลง อยู่ในวงการมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 60 และยังเป็นนักแสดงเอเชียเพียงคนเดียวในปัจจุบัน ที่มีผลงานในฮอลลิวู้ดมานานกว่า 20 ปี วันนี้ เรามาย้อนกลับไปดูตั้งแต่เรื่องที่ 1 ถึง ปัจจุบัน ว่าภาพยนตร์เรื่องไหนบ้างที่ประสบความสำเร็จ ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตของ เฉินหลง และทำให้เขากลายมาเป็นแอ็คชั่นสตาร์ดาวค้างฟ้าจนถึงปัจจุบัน
ถึงแม้ เฉินหลง จะเข้าวงการในฐานะสตันท์แมนและตัวประกอบมาตั้งแต่ยังเด็ก แต่ Master With Cracked Fingers (มังกรหมัดเทวดา) ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาแสดงนำ โดยเขารับบทเป็นเด็กหนุ่มที่ฝึกฝนวิขาการต่อสู้จากยาจกเฒ่า และก็ใช้มันเพื่อจัดการกับแก๊งค์เรียกค่าคุ้มครองในเมือง โดยนี่ถือเป็นบทบาทที่ฉายแววให้เห็นความสามารถของนักแสดงหนุ่ม ซึ่งในอีกสองปีต่อมาฝันของเขาก็เป็นจริง เมื่อ เฉินหลง ได้เป็นส่วนหนึ่งในหนัง บรูซ ลี เรื่อง Enter the Dragon ซึ่งในเรื่องนี้ก็มีการผิดคิวเมื่อ เฉินหลง ถูก บรูซ ลี เอาไม้ตีหน้าเข้าอย่างจัง ซึ่ง บรูซ ได้ขอโทษและสัญญาว่าจะให้ทำงานในหนังของเขาทุกเรื่อง แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะไม่นานหลังจากนั้น บรูซ ลี ก็ได้เสียชีวิตลง
ทศวรรษที่ 70 ถือเป็นยุครุ่งเรืองของหนังกำลังภายในฮ่ององ แต่มีไม่กี่เรื่องที่โดดเด่น Drunken Master (ไอ้หนุ่มหมัดเมา) ถือเป็นหนึ่งในนั้น โดย เฉินหลง รับบทเป็น อาหวง ที่ก่อความวุ่นวายในหมู่บ้าน จนทำให้พ่อส่งไปบ่มนิสัยกับยาจกเฒ่า ซึ่งก็เป็นที่มาของฉากการฝึกวิชาสุดคลาสสิก ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ เฉินหลง ยังไม่ได้พัฒนาการแสดงฉากแอ็คชั่นที่เป็นลายเซ็นของเขา แต่ในอีก 15 ปีต่อมาเขาก็แสดงในภาคต่อที่ชื่อ The Legend of Drunken Master (ไอ้หนุ่มหมัดเมา 2) ซึ่งก็ได้เพิ่มเติมมุขตลกเข้าไปมากมาย โดยไฮไลท์ตรงฉากต่อสู้สุดท้ายที่มีความยาวกว่า 20 นาที ซึ่งทำให้ทุกคนต้องรู้สึกทึ่ง
Project A (เอไกหว่า) เป็นจุดเริ่มต้นของ 3 พี่น้องร่วมสาบาน นั้นคือ เฉินหลง, หงจินเป่า และ หยวนเปียว ที่เล่าเรื่องนายตำรวจ (เฉินหลง) ที่เข้าไปพัวพันกับพวกโจรสลัดช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยหนังถูกจำรึกเอาไว้ว่ามีฉากสตันท์ที่น่าจดจำที่สุดครั้งหนึ่ง นั้นคือตอนที่ เฉินหลง ต้องห้อยอยู่บนหอนาฬิกา ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก Safety Last! หนังคลาสสิกของ ฮาโรล์ด ลอยด์ Project A ได้รับความนิยมและทำให้ 3 พี่น้องร่วมสาบาน ได้ร่วมงานกันอย่างต่อเนื่องตลอดยุค 80 และ 90 ไม่ว่าจะเป็นภาคต่อปี 1987 อย่าง Project A Part II (เอไกหว่า 2), Wheels on Meals (ขาตั้งสู้) และ Dragons Forever (มังกรหนวดทอง) โดย Project A ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ทุกคนได้เห็นลายเซ็นที่เป็นเอกลักษณ์ของ เฉินหลง ในการแสดงฉากแอ็คชั่นปนกับอารมณ์ขัน
เฉิน หลง ได้ก้าวเข้าสู่โลกของหนังแอ็คชั่นร่วมสมัยกับ Police Story (วิ่งสู้ฟัด) ซึ่งกลายเป็นแฟรนไชส์หนังที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเขา โดยนี่คือหนังแอ็คชั่น-คอมเมดี้เรื่องแรกที่ได้รับรางวัล Hong Kong Film Awards โดยเป็นเรื่องของนายตำรวจที่ต้องจัดการหัวหน้าแก๊งค์มาเฟีย ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ได้ไปปลดปล่อยความมันกันในห้างสรรพสินค้า รวมถึงฉากเสี่ยงตายชื่อดังที่ เฉินหลง ต้องรูดลงจากเสาที่พันด้วยสายไฟฟ้า Police Story ประสบความสำเร็จอย่างสูงทั่วทั้งเอเชีย มันทำให้มีภาค 2 ตามออกมาในปี 1987 ภาคสามในปี 1992 ที่เขารับบทนำคู่กับ มิเชล โหยว และภาคล่าสุดในปี 2004 อย่าง New Police Story (เหินสู้ฟัด) ที่ร่วมแสดงโดย เซียะถิงฟง และ แดเนียล วู
The Armour of the Gods (ฟัดข้ามโลก ล่าสุดแผ่นดิน) คือหนังแอ็คชั่น-ผจญภัยเรื่องแรกของ เฉินหลง โดยเขารับบทเป็นนักล่าสมบัติในสไตล์ อินเดียน่า โจนส์ ที่ออกเดินทางตามหาดาบและชุดเกราะในตำนาน เพื่อช่วยอดีตแฟนสาวที่ถูกองค์กรชั่วลักพาตัว หนังเดินทางไปถ่ายทำถึงประเทศยูโกสลาเวีย ซึ่งเปิดโอกาสให้ เฉินหลง ได้เจอกับสถานการณ์สุ่มเสี่ยงและการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น และนี่ก็ยังเป็นหนังที่เกือบทำให้เขาต้องลาโลก เมื่อฉากที่ เฉินหลง ต้องกระโดดไปเกาะต้นไม้ แต่เกิดผิดคิวพลาดตกลงมาหัวกระแทกหิน ทำให้กระโหลกร้าวและหูซ้ายสูญเสียการได้ยินไปส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตามหนังก็ประสบความสำเร็จ และมีภาคต่อที่ตื่นเต้นไม่แพ้กันอย่าง Armour of God II: Operation Condor (ฟัดข้ามโลก ล่าขุมทองนาซี) ที่ฉายในปี 1990
ถือ เป็นความแตกต่างจากสไตล์ถนัดของ เฉินหลง เมื่อ Crime Story (วิ่งสู้ฟัด : ภาคพิเศษ) เป็นหนังแอ็คชั่นตรงๆ ไม่มีตลกมาเจือปน โดยเรื่องราวได้แรงบันดาลใจจากคดีลักพาตัวนักธุรกิจฮ่องกง ซึ่งนายตำรวจที่รับบทโดย เฉินหลง ต้องออกตามหาและช่วยเหลือกลับมาให้ได้ ถึงแม้หนังจะไม่ได้สร้างออกมาตามความต้องการของแฟนๆ แต่มันก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เฉินหลง สามารถแสดงหนังแอ็คชั่นเพียวๆได้อย่างยอดเยี่ยม และยังสามารถสร้างฉากเสี่ยงตายที่ตื่นเต้นเร้าใจ โดยเฉพาะฉากการช่วยเหลือในตอนสุดท้าย ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในผลงานของ เฉินหลง ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีที่สุด
Rumble in the Bronx (ใหญ่ฟัดโลก) ถือเป็นก้าวแรกที่ประสบความสำเร็จในเส้นทางสู่ฮอลลิวู้ดของ เฉินหลง เมื่อหนังที่ถ่ายทำในอเมริกาเรื่องนี้ทำให้ทุกคนแปลกใจ เมื่อขึ้นอันดับหนึ่งตารางอันดับทำเงินในอาทิตย์แรก โดย เฉินหลง ปฏิเสธบทบาทตัวร้ายใน Demolition Man ของ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน เพื่อมารับบทเป็นตำรวจฮ่องกง ที่เดินทางร่วมงานแต่งงานในนิวยอร์ค แต่ก็ต้องพัวพันกับความขัดแย้งของแก๊งค์ท้องถิ่น หนังผสมผสานฉากแอ็คชั่นกับมุขตลกได้ตามแบบฉบับของ เฉินหลง และพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาพร้อมสำหรับการเป็นซุปเปอร์สตาร์ระดับนานาชาติ
Rush Hour คือแฟรนไชส์หนังที่ประสบความสำเร็จในเรื่องรายได้ที่สุดของ เฉินหลง ผลงานของผู้กำกับ เบรทท์ แรทเนอร์ และส่วนผสมที่ลงตัวอย่างน่าประหลาดระหว่าง เฉินหลง และ คริส ทัคเกอร์ เรื่องราวของตำรวจฮ่องกงที่เดินทางไปอเมริกา เพื่อสืบคดีการถูกลักพาตัวของทูตฮ่องกง และได้รับความช่วยเหลือจากตำรวจท้องถิ่น (คริส ทัคเกอร์) หนังเข้าถึงผู้ชมในวงกว้างและทำเงินทั่วโลกไปมากกว่า 244 ล้านเหรียญ จนทำให้มีภาค 2 ในปี 2001 ที่ตัวละครของ คริส ทัคเกอร์ เดินทางไปยังฮ่องกง (รายได้รวม 345 ล้านเหรียญ) และภาคล่าสุดในปี 2007 ที่ทั้งคู่ต้องผจญภัยในมหานครปารีส (รายได้รวม 257 ล้านเหรียญ)
ทั้ง เฉินหลง และ เจ็ท ลี พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาประสบความสำเร็จในการทำงานในฮอลลิวู้ด แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้เข้ามาแสดงคู่กัน โดยหนังดัดแปลงจากนวนิยายไซอิ๋ว เมื่อเด็กหนุ่มชาวอเมริกันเดินทางข้ามเวลามายังประเทศจีนในอดีต และก็ต้องร่วมเดินทางกับยาจกขี้เมา (เฉินหลง) และนักพรต (เจ็ท ลี) ในการปลดปล่อย หงอคง เพื่อมาช่วยกำจัดจักรพรรดิหยก โดยนอกจากที่หนังประสบความสำเร็จในเรื่องรายได้และเสียงวิจารณ์ มันก็ยังถูกจารึกว่า เฉินหลง และ เจ็ท ลี ต่อสู้กันในหนังเป็นครั้งแรก ซึ่งก็ทำให้ความฝันของนักดูหนังทั่วโลกกลายเป็นจริง
1911 สร้างจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกเรียกว่า "การปฏิวัติซินไฮ่" ซึ่งบทสรุปก็คือการสิ้นสุดระบอบศักดินาของราชวงค์ชิง และเป็นการเข้าสู่ระบบสาธารณรัฐของชาติจีน โดย เฉินหลง ได้ทำหน้าที่ทั้งกำกับ / อำนวยการสร้าง รวมถึงแสดงนำ โดยรับบทเป็น หวงซิ่น นายพลที่มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติ เขาเผยถึงความรู้สึกที่ได้ทำหนังเรื่องที่ 100 นี้ว่า "ผม รู้สึกภูมิใจที่ตัวเองเกิดเป็นคนจีน ภูมิใจที่บรรพบุรุษของเราต่อสู้เพื่อประชาชน และการปฏิวัติซินไฮ่ก็ถือเป็นจุดกำเนิดของจีนยุคใหม่ ผมคิดว่านี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการสร้าง ชาวจีนอย่างเราถือว่าทุกตัวเลขล้วนมีความหมาย นี่คือโอกาสพิเศษเพราะเป็นการครบรอบ 100 ปีของการปฏิวัติซินไฮ่ และยังเป็นการที่ผมแสดงหนังครบ 100 เรื่องพอดีด้วย ผมคิดว่ามันคือสัญญาณบางอย่างที่ทำให้ต้องทำหนังเรื่องนี้"
Dragon Blade ดาบมังกรฟัด หนังแอ็คชั่นอิงประวัติศาสตร์สุดยิ่งใหญ่ผลงานการแสดงเรื่องใหม่ล่าสุดของ เฉินหลง ถ่ายทอดเรื่องราวออกศึกสู้รบระหว่างกองทัพทหารโรมันกับกองทัพทหารแห่งราชวงศ์ฮั่นบนดินแดนทะเลทรายที่ร้อนดั่งไฟ หนังบู๊ลุ้นระทึกกับการต่อสู้เสี่ยงอันตรายสไตล์เฉินหลง แฟนคลับเฉินหลงห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง
แล้วเพื่อนๆชอบผลงานเรื่องไหนของเฉินหลงบ้าง ? มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้
อ้างอิงจาก : http://movie.sanook.com