เคยสังเกตไหมว่าคนจำนวนมากรักแล้วทุกข์ เพราะเชื่อว่ารักแล้วจะไม่ทุกข์





ความรักระหว่างคนสองคน เป็นความรักประเภทที่สังคมให้ความสนใจมากทีเดียว
หนัง ละคร นวนิยาย นิทาน ภาพโฆษณารอบตัว ล้วนแต่ชวนให้เข้าใจว่า ความรักแบบนี้แหละ คือสุดยอดของชีวิต
ชีวิตใครไม่มีก็ไม่สมบูรณ์ น่าเศร้า

อย่างไรก็ตาม ถ้าใครยอมหยุดพัก คิดไตร่ตรองสักหน่อยนึง น่าจะเห็นได้ว่า ความรักโรแมนติกในชีวิตของตน
ถึงจะเทียบกับความรักในนวนิยายได้ก็ตาม ยังไม่ใช่ยาแก้สารพัดโรค

ความรักบรรเทาทุกข์ได้บางประการในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถดับความทุกข์โดยสิ้นเชิงได้

จะรักใครสุดหัวใจ จนดินฟ้าสลาย หรือนานกว่านั้นอีก ยังไม่พอ
ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้ว จะเห็นว่าการแต่งงานกับคนต่างศาสนาและยอมเปลี่ยนศาสนาตามสามีหรือภรรยา

เป็นการเสียสละหรือการเบียดเบียนตัวเองขนาดไหน ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเหมือนที่ชาวพุทธหลายคนจะพึงคิดกัน

หนุ่มสาวชอบมองความรักว่าเป็นคำตอบปัญหาชีวิตทุกอย่าง แค่รักและเป็นที่รักอย่างเดียวแล้ว ในที่สุดทุกอย่างจะดีไปเอง

แต่ในชีวิตจริงสิ่งที่กำหนดความสุขในระยะยาว คือ การกระทำทางกาย วาจา ใจ ไม่ใช่ความรัก

การถือความรักเป็นที่พึ่งของผู้ที่ยังเฉยเมยต่อการฝึกตน ย่อมก่อให้เกิดความผิดหวังและความซึมเศร้าหรือระทมขมขื่นในที่สุด

เคยสังเกตไหมว่าคนจำนวนมากรักแล้วทุกข์เพราะเชื่อว่ารักแล้วจะไม่ทุกข์





ขอขยายความหน่อยว่า ใครมีทุกข์ (อย่างน้อยที่สุดในลักษณะว่ารู้สึกว่าชีวิตไม่พอ ไม่สมบูรณ์ ไม่มีแก่นสาร หรือขาดอะไรสักอย่าง)

เชื่อและหวังว่า ถ้าเขารักใครสักคนและคนนั้นรักเขา ความทุกข์ในชีวิตจะดับไป จะมีความสุขถาวร
ผลก็คือ ถ้าเขาได้สมปรารถนาในความรักแล้ว ปรากฏว่า เมื่อความตื่นเต้นในเบื้องต้นของความรักอ่อนลงไปแล้ว ความทุกข์ในชีวิตคงยังมีอยู่

คนที่ตั้งความหวังไว้สูง มักจะเศร้าหรือน้อยใจ ว่ามันไม่ยุติธรรม ถูกหลอก เราน่าจะมีความสุขมากกว่านี้ โทษแฟนก็มี

การมีที่รัก และการเป็นที่รักของคนที่รักเรา คือ ความรู้สึกที่อบอุ่นอยู่ก็จริง แต่ความทุกข์จะดับไปด้วยการดับอวิชชาเท่านั้น

ทุกข์ดับเพราะอวิชชาดับ เพราะตัณหาดับ ไม่ใช่เพราะฉันรักเธอและเธอรักฉัน

การหวังความดับทุกข์จากความรัก คือการตั้งต้นไว้ผิด และย่อมมีความผิดหวังเป็นผล


แต่ที่ควรสังเกตก็คือ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความบกพร่องของความรักเท่านั้น

จุดสำคัญคือความไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจชีวิตของตัวเองและของคู่รัก เราอดไม่ได้ที่จะหวังจากความรัก

สิ่งที่ความรักให้เราไม่ได้เพราะไม่รู้เท่าทันตัวเอง ไม่รู้เท่าทันความรักก็เลยมีปัญหา





ละคร หนังสือ เพลง หลายสิ่งหลายอย่างชวนให้เราเข้าใจว่าความรักดับทุกข์ได้

แต่ชีวิตของเราแต่ละคน ฟ้องกลับมาว่าไม่ใช่

เมื่อผู้รัก ผู้เป็นที่รักและตัวความรักเป็นสังขาร คือทนอยู่ในสภาพเดิมไปเรื่อยๆไม่ได้

คนเราต้องเจอความพลัดพรากเป็นธรรมดา ไม่วันใดก็วันหนึ่งเราจะต้องพลัดพรากจากคนที่เรารักทุกคนอย่างแน่นอน

ความตายเป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์ทั้งหลายในโลกไม่มียกเว้น

สำหรับผู้ที่ไม่เคยให้เวลากับการพิจารณาธรรมชาติของชีวิต ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการพลัดพรากนั้น มักจะเป็นไปตามอัตราความผูกพันที่มีอยู่

รักมากก็ทุกข์มาก รักน้อยก็ทุกข์น้อย บางทียังไม่ตายจากกันความเจ็บไข้ได้ป่วยอาจทำให้รู้สึกขาดจากกันไปได้ เช่นโรคจิตบางอย่าง หรือในวัยชรา

โรคสมองเสื่อมสามารถทำให้คนที่เคนรักเราสุดชีวิตจำหน้าเราไม่ได้เลย

ธรรมชาติแห่งความเปลี่ยนแปลงตามเหตุและปัจจัยไม่สนใจความต้องการของใครเลย
เราจะบวงสรวง บนบาน อ้อนวอนสวดมนต์ย่างไรก็ตาม ความพลัดพรากคงมีเหมือนเดิม จะเร็วหรือช้าเท่านั้นเอง

ใครอุตริไปขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จงดลบันดาลให้พระอาทิตย์ไม่ตกดินวันนี้เลย เราคงจะขำ
แต่ที่จริงการไม่ยอมรับความจริงแห่งความตายก็ไม่ต่างกันเท่าไหรกับความปรารภเช่นนั้น

คนรักกันมักจะชอบยืนยันอยู่บ่อยๆว่า รัก รักจริง

ตอนหนุ่มสาวคงจะต้องบอกทุกครั้งที่พบ ในยุคโทรศัพท์มือถืออาจพูดได้หรือ ส่งข้อความได้วันละหลายครั้ง จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปเลย

ยิ่งกว่านั้น คือ ภาวะภาษาเฟ้อ เช่น สัญญาด้วยว่าจะรักตลอดกาลนาน
หรือทั้งๆที่ไม่เคยนั่งสมาธิจนสงบระลึกชาติได้ ยังอวดอุตริมนุสธรรมว่าเคยรักกันหลายภพ หลายชาติแล้วแน่ๆ

คนพูดอย่างนี้น่าจะหมายความว่าในขณะที่พูดนั้น (หากไม่พูดเท็จ) เขารักมาก และในขณะนั้นเขามั่นใจว่าเขาจะรู้สึกอย่างนั้นตลอดไป
แต่ใครจะรับรองความรู้สึกของตัวเองได้ขนาดนั้น

เพราะความเข้มข้นของความรู้สึก ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์ความทนทานของมัน

จาก หลักรัก ชยสาโรภิกขุ หน้าที่ ๑๓ – ๑๗
ภาพโดยคุณ Oradol On





เชิญดาวโหลดหนังสือ หลักรัก เป็น pdf  EBOOK ได้ที่
http://www.ebooks.in.th/543/หลักรัก_%5Bชยสาโร%5D/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่