ตั้งแต่กลับมาปั่นจักรยานอย่างจริงจังอีกครั้ง เมื่อช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทริปปั่นรายการหนึ่งที่ผมได้แต่แอบมองมาตั้งแต่ทราบข่าวครั้งแรกว่ามีทริปนี้ด้วย คือ ทริปปั่นขึ้นยอดดอยอินทนนท์ ดอยที่สูงที่สุดของประเทศไทย ที่ความสูง 2565 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมคุ้นเคยกับดอยแห่งนี้เป็นอย่างดี จากการขึ้นไปเยี่ยมเยือนแบบนับครั้งไม่ถ้วน จนแทบจะจำเส้นทางได้หมดทุกโค้งและทุกเนิน
แต่ .... แต่ทุกครั้งที่ผ่านมา ผมเดินทางถึงยอดดอยด้วยกำลังเครื่องยนต์ ทั้งด้วยรถยนต์และรถมอเตอร์ไซต์
เมื่อมานั่งคิดว่า ถ้าเราขึ้นด้วยจักรยานดูบ้างล่ะ ก็น่าจะพอได้มั้ง มันก็มีล้อเหมือนรถยนต์ รถมอเตอร์ไซต์ เหนื่อยเพิ่มอีกหน่อย ก็น่าจะถึงยอดได้ไม่ยากนะ เราก็ปั่นมาเยอะพอสมควร ร้อยโล 2ร้อยโล ก็ปั่นมาแล้ว งานไหนๆก็ไปมาแทบจะทั่วประเทศแล้ว ขึ้นยอดดอยอินทนนท์มันจะซักเท่าไหร่กัน เห็นใครๆเค้าก็ไปกันได้ทั้งนั้น แอบไปหาข้อมูลอ่าน เฮ้ย ไม่เบาเหมือนกันแฮะ ทั้งกราฟระดับความชัน และคำบ่นของเพื่อนนักปั่นแต่ละคนที่เคยไปรายการนี้มาแล้ว
วันที่สมัครลงปั่นรายการนี้ ก็ยังแอบหวั่นๆอยู่เล็กน้อย แต่เอาน่า อายุขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่รีบทำตามความตั้งใจซะตั้งแต่วันนี้ เมื่อไหร่จะได้ทำ ปีหน้าเหรอ อายุก็เพิ่มขึ้น แถมไม่รู้อนาคตอีก คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกซักกี่วัน เอาวะ ลุยๆๆๆ รวบรวมสมัครพรรคพวกได้จำนวนหนึ่ง ไปๆ เราไปพิชิตยอดดอยอินกันเถอะ
แต่ด้วยความที่วินัยของคนเรามีไม่เท่ากัน เพื่อนบางคนมุมานะพยายามซุ่มซ้อม ขึ้นเนินลงเนินชันๆวันละเป็นร้อยรอบ เพื่อฝึกกำลังขาของตัวเอง บางคนซ้อมทางราบ ใช้แต่เกียร์หนักสุด เพื่อเพิ่มแรงกดของขาตัวเอง ส่วนผม ... เมาบ้าง ซ้อมบ้าง ปั่นฟรุ้งฟริ้งบ้าง ออกทริปไกลๆบ้าง ตามแต่เวลาจะเอื้ออำนวย
และเมื่อมาถึงวันที่รอคอย 15 กุมภาพันธ์ 2558 ผมและเพื่อนๆในกลุ่มทุกคน ตื่นเต้นที่จะได้พบกับความท้าทายที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต (และเชื่อว่าเพื่อนนักปั่นในงานอีกเกือบ 3000 คนก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน)
7.00 ที่ลานหน้าวัดพระธาตุจอมทอง คือเวลาปล่อยตัว กลุ่มหน้าทยอยออกตัวกันไปด้วยความคึกคักและกระหายที่จะพบกับความท้าทายบนเส้นทางสู่ยอดดอย ส่วนกลุ่มของผมยังโอ้เอ้ยืนคุยและถ่ายภาพกันอยู่ น้องคนนึงในทีม โซ่หลุดจากจานไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ตกลงไปด้านล่าง งัดยังไงก็ไม่ขึ้น ต้องลำบากเดินไปที่ร้านค้าใกล้ๆเพื่อขอยืมอุปกรณ์มาช่วยแก้ไข และในที่สุดเราก็ได้เวลาสตาร์ท (ประมาณ 7.30 น.) เรียกว่าต่อให้เค้าไปตั้งครึ่งชั่วโมง เท่านั้นยังไม่พอ ตอนปั่นผ่านกม.ที่ 8 ยังต้องแวะเข้ารีสอร์ทที่พักเพื่อนำเสื้อกันหนาวไปเก็บอีก กว่าจะได้ออกตัวกันจริงๆ ล่อไป 8.00 น.แล้ว
ระยะทางทั้งหมดประมาณ 50 กม. ในช่วง 10 โลแรกยังเป็นทางราบสลับเนินเล็กๆ จนเริ่มผ่านด่านแรก (ด่านเก็บเงินเข้าอุทยานแห่งชาติ) ก็จะเริ่มเจอเนินรับแขก ค่อยๆชันขึ้น ทำให้เราได้ทดสอบการใช้เกียร์กันในระดับเบื้องต้นก่อน หลังจากนั้นก็ชันมากบ้างน้อยบ้างสลับกันไป จนถึงช่วงกม.ที่ 20 ช่วงก่อนถึงน้ำตกวชิรธาร เราก็เริ่มเห็นชาวเสือหอบและเสือภูเข็นประปรายบ้างแล้ว แต่ที่หนักสุดคือเนินหลังจากช่วงกม.25 (บ้านแม่กลางหลวง) ก่อนจะถึงกม. 31 (ที่ทำการอช.) จะมีเนินหนักๆชันมากๆและช่วงยาวๆอยู่ หลายคนตะคริวเริ่มถามหากันที่จุดนี้ และนักปั่นหลายคนก็เริ่มพบกับบททดสอบ"ของจริง"ที่จุดนี้เช่นกัน พอผ่านเนินนี้ไปได้ จะมีช่วงให้ไหลลง ไปยังแอ่งที่ทำการ กม.31 ผมมาถึงตรงนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว หิวข้าว เอาวะ ไม่ได้รีบไปไหน ยังไงก็เข้าที่ 1 ไมไ่ด้อยู่แล้ว แวะกินข้าวซะเลยดีกว่า
ผมใช้เวลากับข้าวผัดกระเพราไข่ดาวราวครึ่ีงชั่วโมง เข้าห้องน้ำ นั่งพักรออาหารย่อยอีกซักครู่ ก็เริ่มออกปั่นต่อ
จากจุดนี้ ไปอีกประมาณ 10 โลก็จะถึงด่านสอง เราจะได้ไต่ระดับความชันขึ้นเรื่อยๆ มีจุดให้แวะชมวิวได้ตลอดทาง ผมเริ่มหยุดพักบ้าง เพราะเพิ่งกินอิ่ม ไม่อยากอัดแรงนัก กลัวจะจุกซะก่อน แวะพักพูดคุยกับนักปั่นท่านอื่นระหว่างทาง เป็นมิตรภาพที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ แวะพักซัก 1-2 นาทีพอหายเหนื่อย ก็ค่อยๆกดบันไดไปต่อ แต่ยังกัดฟันไม่ยอมลงเข็น จะพยายามทำตามความตั้งใจให้ได้ (ด้วยการไม่ลงเข็นเลย)
พอผ่านด่านเก็บเงินที่สอง (ทางแยกไปอ.แม่แจ่ม) ผมปั่นมาคนเดียวเรื่อยๆ คือเพื่อนในกลุ่มก็แยกย้ายกันไปตามเรี่ยวแรงของตัวเอง บางคนก็นำหน้าผมไป บางคนก็ยังนั่งพักไล่ตะคริวกันอยู่ทางด้านหลังโน่น
ลืมบอกไปอย่าง ตลอดทางผมจะคอยมองหลักกิโลทุกหลัก นับถอยหลังไปเรื่อย จากหลักที่บอกว่ายอดดอย 47 โล (จากพื้นราบโน่น) นับมาเรื่อยจนถึงตอนนี้ เหลืออีก 10 กิโลเท่านั้น แรงผมเริ่มใกล้จะหมดแล้ว ถึงแม้ว่าจะเพิ่งกินข้าวมาก็ตาม ด้วยเพราะความชันที่มากขึ้นและอากาศที่เบาบางลง แต่ก็ยังกัดฟันไปเรื่อยๆ หยุดพักบ่อยขึ้น (แต่ก็ยังไม่ลงเข็นอยู่ดี)
จนกระทั่งถึงหลัก 8 กิโลก่อนถึงยอดดอย โอยยยย ใครๆก็เข็นทั้งนั้นเลยว่ะ ขาเริ่มไม่มีแรงกดบันไดแล้ว ขึ้นรถกดไปได้ไม่ถึง 10 เมตรก็หมดอีก เข็นก็เข็นวะ อย่างน้อยก็ยังไม่ผิดกติกาของงานอยู่ดี
ผมเริ่มเข็นเมื่อ 8 กิโลก่อนถึงเส้นชัย ความชันของเส้นทางก็หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ หลายๆคนบอกว่า ตั้งแต่ด่านสองขึ้นมา คือ"ของจริง"ล้วนๆแล้ว ผมเข็นสลับพักสลับขึ้นปั่นมาเรื่อยจนถึงเนินก่อนถึงพระธาตุ แหงนหน้ามองเห็นพระธาตุ ในใจตอนนั้นไม่มีความคิดท้อถอยเลยซักนิด กลับคิดแต่ว่า เราจะต้องไปให้ถึงพระธาตุให้ได้ (ขอแค่จุดหมายแรกก่อน) เห็นนักปั่นหลายท่านเริ่มไหลลงสวนทางกันไปแล้ว เจอเพื่อนก็ทักทาย เจอคนเข็นก็คุยกัน ใจนึกอิจฉาพวกที่ปั่นลงไป
ทำไมเขาเก่งกันจังวะ เอาน่า เดี๋ยวเราก็ถึง ค่อยๆเข็น+ปั่นไปเรื่อยๆ
คำพูดที่ได้ยินมากที่สุดในช่วงนั้นคือ สู้ๆครับ สู้ๆครับ ทั้งจากเพื่อนที่ปั่นลงมา และให้กำลังใจกันเองระหว่างคนเข็นด้วยกัน (ฮาาาา)
เนินก่อนถึงพระธาตุน่าจะเป็นเนินที่หนักที่สุดแล้ว ชันสุดๆและยาวๆแบบไม่มีจุดให้พักได้เลย ถ้าคุณปั่นก็ต้องกดแบบสุดพลังตีน ถ้าคุณเข็นก็เข็นกันแบบก้มหน้าก้มตาเข็นไป รายทางมีนักเข็นจอดหยุดชมวิวเป็นระยะๆ กัดฟ้นเข็นกันไปจนถึงหน้าพระธาตุ ได้แวะนั่งพักซักครู่เดียว ก็ออกลุยกันต่อเพื่อให้ถึงจุดให้น่ำที่หน้ากิ่วแม่ปาน ตรงนี้จะมีร้านค้าสามารถแวะดื่มน้ำปัสสาวะหรือรับประทานอาหารด้วยก็ยังได้ เตรียมตัวเอาไว้ลุยต่อในช่วงสุดท้ายก่อนถึงยอดดอย
ออกจากกิ่วแม่ปาน ยังมีเนินชันๆยาวๆอีกลูกสองลูก คำทักทายเริ่มเปลี่ยนจา่ก สู้ๆครับ เป็น อีกนิดเดียวๆๆๆ เรายังคงเข็นสลับปั่นไปเรื่อย จนถึงบริเวณหน้าหอดูดาว มองหลักกิโลมาตลอด เหลืออีก 3 โล 2 โล และที่สุดก็ถึงกิโลสุดท้าย เส้นทางเริ่มชันน้อยลง ก่อนถึงเส้นชัยจะมีแอ่งให้ไหลลงไปนิดนึง จากจุดนี้เรี่ยวแรงที่หายไปเริ่มกลับมาแล้ว ควบรถคู่ชีพเข้าเส้นชัยอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
ที่เส้นชัย เสียงต้อนรับ เสียงโห่ร้อง เสียงตบมือ รอนักปั่นทุกคนอยู่ ผมเข้าเส้นที่เวลา 8.20 ชั่วโมง (รวมเวลาโอ้เอ้ตอนปล่อยตัว ตอนกินข้าว ทั้งหมดแล้ว) ถือว่าเป็นเวลาที่สามารถทำได้ตามกรอบที่กำหนดไว้ คือ 8.30 ชั่วโมง (ยังจะคุย - -' )
ถามว่าปีนี้ใช้เวลาไปเยอะ แถมต้องลงเข็นอีกตั้งหลายกิโล แล้วปีหน้าจะมาอีกมั้ย ตอบได้ตอนนี้เลยว่า ไม่ !!! เลิกแล้ว เข็ดแล้ว บอกลาทางเขาแล้ว ให้ปั่น 200 โลยังจะสบายซะกว่า แต่นั่น....ก็เป็นความรู้สึก ณ เวลาที่เพิ่งเข้าเส้นชัยในตอนนั้น ปีหน้าก็ยังไม่รุ้ว่า ถึงเวลาแล้วจะ "คัน" อีกหรือเปล่า ถ้ามันคัน ยังไงก็ต้องหาเรื่องเกาอีกอยู่ดี
ปล.ขอแสดงความยินดีและนับถือหัวใจของนักปั่นทุกท่านที่ขึ้นถึงยอดดอยด้วยสองแรงขากับหนึ่งหัวใจสู้ของท่าน ไม่ว่าจะลงเข็นหรือไม่เข็นก็ตาม สิ่งที่สำคัญกว่าวิธีการไปถึงเส้นชัยคือหัวใจสู้ของทุกคน จุดหมายปลายทางไม่ใช่ที่สุดของการเดินทาง หากแต่เป็นประสบการณ์สองข้างทางต่างหาก ที่จะสอนให้รู้ว่า ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยบ้าง แต่เมื่อผ่านมันไปได้แล้ว ความสวยงามจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราเสมอ
ปล.ภาพประกอบหลายๆภาพจากในเน็ทและในเฟซบุคของเพื่อนๆ ขออนุญาต ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
จากพื้นราบถึงยอดดอยอินทนนท์ด้วยจักรยาน ครั้งแรก และ(น่าจะ)ครั้งเดียวของผม
ช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมคุ้นเคยกับดอยแห่งนี้เป็นอย่างดี จากการขึ้นไปเยี่ยมเยือนแบบนับครั้งไม่ถ้วน จนแทบจะจำเส้นทางได้หมดทุกโค้งและทุกเนิน
แต่ .... แต่ทุกครั้งที่ผ่านมา ผมเดินทางถึงยอดดอยด้วยกำลังเครื่องยนต์ ทั้งด้วยรถยนต์และรถมอเตอร์ไซต์
เมื่อมานั่งคิดว่า ถ้าเราขึ้นด้วยจักรยานดูบ้างล่ะ ก็น่าจะพอได้มั้ง มันก็มีล้อเหมือนรถยนต์ รถมอเตอร์ไซต์ เหนื่อยเพิ่มอีกหน่อย ก็น่าจะถึงยอดได้ไม่ยากนะ เราก็ปั่นมาเยอะพอสมควร ร้อยโล 2ร้อยโล ก็ปั่นมาแล้ว งานไหนๆก็ไปมาแทบจะทั่วประเทศแล้ว ขึ้นยอดดอยอินทนนท์มันจะซักเท่าไหร่กัน เห็นใครๆเค้าก็ไปกันได้ทั้งนั้น แอบไปหาข้อมูลอ่าน เฮ้ย ไม่เบาเหมือนกันแฮะ ทั้งกราฟระดับความชัน และคำบ่นของเพื่อนนักปั่นแต่ละคนที่เคยไปรายการนี้มาแล้ว
วันที่สมัครลงปั่นรายการนี้ ก็ยังแอบหวั่นๆอยู่เล็กน้อย แต่เอาน่า อายุขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่รีบทำตามความตั้งใจซะตั้งแต่วันนี้ เมื่อไหร่จะได้ทำ ปีหน้าเหรอ อายุก็เพิ่มขึ้น แถมไม่รู้อนาคตอีก คนเราจะมีพรุ่งนี้ได้อีกซักกี่วัน เอาวะ ลุยๆๆๆ รวบรวมสมัครพรรคพวกได้จำนวนหนึ่ง ไปๆ เราไปพิชิตยอดดอยอินกันเถอะ
แต่ด้วยความที่วินัยของคนเรามีไม่เท่ากัน เพื่อนบางคนมุมานะพยายามซุ่มซ้อม ขึ้นเนินลงเนินชันๆวันละเป็นร้อยรอบ เพื่อฝึกกำลังขาของตัวเอง บางคนซ้อมทางราบ ใช้แต่เกียร์หนักสุด เพื่อเพิ่มแรงกดของขาตัวเอง ส่วนผม ... เมาบ้าง ซ้อมบ้าง ปั่นฟรุ้งฟริ้งบ้าง ออกทริปไกลๆบ้าง ตามแต่เวลาจะเอื้ออำนวย
และเมื่อมาถึงวันที่รอคอย 15 กุมภาพันธ์ 2558 ผมและเพื่อนๆในกลุ่มทุกคน ตื่นเต้นที่จะได้พบกับความท้าทายที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต (และเชื่อว่าเพื่อนนักปั่นในงานอีกเกือบ 3000 คนก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน)
7.00 ที่ลานหน้าวัดพระธาตุจอมทอง คือเวลาปล่อยตัว กลุ่มหน้าทยอยออกตัวกันไปด้วยความคึกคักและกระหายที่จะพบกับความท้าทายบนเส้นทางสู่ยอดดอย ส่วนกลุ่มของผมยังโอ้เอ้ยืนคุยและถ่ายภาพกันอยู่ น้องคนนึงในทีม โซ่หลุดจากจานไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ตกลงไปด้านล่าง งัดยังไงก็ไม่ขึ้น ต้องลำบากเดินไปที่ร้านค้าใกล้ๆเพื่อขอยืมอุปกรณ์มาช่วยแก้ไข และในที่สุดเราก็ได้เวลาสตาร์ท (ประมาณ 7.30 น.) เรียกว่าต่อให้เค้าไปตั้งครึ่งชั่วโมง เท่านั้นยังไม่พอ ตอนปั่นผ่านกม.ที่ 8 ยังต้องแวะเข้ารีสอร์ทที่พักเพื่อนำเสื้อกันหนาวไปเก็บอีก กว่าจะได้ออกตัวกันจริงๆ ล่อไป 8.00 น.แล้ว
ระยะทางทั้งหมดประมาณ 50 กม. ในช่วง 10 โลแรกยังเป็นทางราบสลับเนินเล็กๆ จนเริ่มผ่านด่านแรก (ด่านเก็บเงินเข้าอุทยานแห่งชาติ) ก็จะเริ่มเจอเนินรับแขก ค่อยๆชันขึ้น ทำให้เราได้ทดสอบการใช้เกียร์กันในระดับเบื้องต้นก่อน หลังจากนั้นก็ชันมากบ้างน้อยบ้างสลับกันไป จนถึงช่วงกม.ที่ 20 ช่วงก่อนถึงน้ำตกวชิรธาร เราก็เริ่มเห็นชาวเสือหอบและเสือภูเข็นประปรายบ้างแล้ว แต่ที่หนักสุดคือเนินหลังจากช่วงกม.25 (บ้านแม่กลางหลวง) ก่อนจะถึงกม. 31 (ที่ทำการอช.) จะมีเนินหนักๆชันมากๆและช่วงยาวๆอยู่ หลายคนตะคริวเริ่มถามหากันที่จุดนี้ และนักปั่นหลายคนก็เริ่มพบกับบททดสอบ"ของจริง"ที่จุดนี้เช่นกัน พอผ่านเนินนี้ไปได้ จะมีช่วงให้ไหลลง ไปยังแอ่งที่ทำการ กม.31 ผมมาถึงตรงนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว หิวข้าว เอาวะ ไม่ได้รีบไปไหน ยังไงก็เข้าที่ 1 ไมไ่ด้อยู่แล้ว แวะกินข้าวซะเลยดีกว่า
ผมใช้เวลากับข้าวผัดกระเพราไข่ดาวราวครึ่ีงชั่วโมง เข้าห้องน้ำ นั่งพักรออาหารย่อยอีกซักครู่ ก็เริ่มออกปั่นต่อ
จากจุดนี้ ไปอีกประมาณ 10 โลก็จะถึงด่านสอง เราจะได้ไต่ระดับความชันขึ้นเรื่อยๆ มีจุดให้แวะชมวิวได้ตลอดทาง ผมเริ่มหยุดพักบ้าง เพราะเพิ่งกินอิ่ม ไม่อยากอัดแรงนัก กลัวจะจุกซะก่อน แวะพักพูดคุยกับนักปั่นท่านอื่นระหว่างทาง เป็นมิตรภาพที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ แวะพักซัก 1-2 นาทีพอหายเหนื่อย ก็ค่อยๆกดบันไดไปต่อ แต่ยังกัดฟันไม่ยอมลงเข็น จะพยายามทำตามความตั้งใจให้ได้ (ด้วยการไม่ลงเข็นเลย)
พอผ่านด่านเก็บเงินที่สอง (ทางแยกไปอ.แม่แจ่ม) ผมปั่นมาคนเดียวเรื่อยๆ คือเพื่อนในกลุ่มก็แยกย้ายกันไปตามเรี่ยวแรงของตัวเอง บางคนก็นำหน้าผมไป บางคนก็ยังนั่งพักไล่ตะคริวกันอยู่ทางด้านหลังโน่น
ลืมบอกไปอย่าง ตลอดทางผมจะคอยมองหลักกิโลทุกหลัก นับถอยหลังไปเรื่อย จากหลักที่บอกว่ายอดดอย 47 โล (จากพื้นราบโน่น) นับมาเรื่อยจนถึงตอนนี้ เหลืออีก 10 กิโลเท่านั้น แรงผมเริ่มใกล้จะหมดแล้ว ถึงแม้ว่าจะเพิ่งกินข้าวมาก็ตาม ด้วยเพราะความชันที่มากขึ้นและอากาศที่เบาบางลง แต่ก็ยังกัดฟันไปเรื่อยๆ หยุดพักบ่อยขึ้น (แต่ก็ยังไม่ลงเข็นอยู่ดี)
จนกระทั่งถึงหลัก 8 กิโลก่อนถึงยอดดอย โอยยยย ใครๆก็เข็นทั้งนั้นเลยว่ะ ขาเริ่มไม่มีแรงกดบันไดแล้ว ขึ้นรถกดไปได้ไม่ถึง 10 เมตรก็หมดอีก เข็นก็เข็นวะ อย่างน้อยก็ยังไม่ผิดกติกาของงานอยู่ดี
ผมเริ่มเข็นเมื่อ 8 กิโลก่อนถึงเส้นชัย ความชันของเส้นทางก็หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ หลายๆคนบอกว่า ตั้งแต่ด่านสองขึ้นมา คือ"ของจริง"ล้วนๆแล้ว ผมเข็นสลับพักสลับขึ้นปั่นมาเรื่อยจนถึงเนินก่อนถึงพระธาตุ แหงนหน้ามองเห็นพระธาตุ ในใจตอนนั้นไม่มีความคิดท้อถอยเลยซักนิด กลับคิดแต่ว่า เราจะต้องไปให้ถึงพระธาตุให้ได้ (ขอแค่จุดหมายแรกก่อน) เห็นนักปั่นหลายท่านเริ่มไหลลงสวนทางกันไปแล้ว เจอเพื่อนก็ทักทาย เจอคนเข็นก็คุยกัน ใจนึกอิจฉาพวกที่ปั่นลงไป ทำไมเขาเก่งกันจังวะ เอาน่า เดี๋ยวเราก็ถึง ค่อยๆเข็น+ปั่นไปเรื่อยๆ
คำพูดที่ได้ยินมากที่สุดในช่วงนั้นคือ สู้ๆครับ สู้ๆครับ ทั้งจากเพื่อนที่ปั่นลงมา และให้กำลังใจกันเองระหว่างคนเข็นด้วยกัน (ฮาาาา)
เนินก่อนถึงพระธาตุน่าจะเป็นเนินที่หนักที่สุดแล้ว ชันสุดๆและยาวๆแบบไม่มีจุดให้พักได้เลย ถ้าคุณปั่นก็ต้องกดแบบสุดพลังตีน ถ้าคุณเข็นก็เข็นกันแบบก้มหน้าก้มตาเข็นไป รายทางมีนักเข็นจอดหยุดชมวิวเป็นระยะๆ กัดฟ้นเข็นกันไปจนถึงหน้าพระธาตุ ได้แวะนั่งพักซักครู่เดียว ก็ออกลุยกันต่อเพื่อให้ถึงจุดให้น่ำที่หน้ากิ่วแม่ปาน ตรงนี้จะมีร้านค้าสามารถแวะดื่มน้ำปัสสาวะหรือรับประทานอาหารด้วยก็ยังได้ เตรียมตัวเอาไว้ลุยต่อในช่วงสุดท้ายก่อนถึงยอดดอย
ออกจากกิ่วแม่ปาน ยังมีเนินชันๆยาวๆอีกลูกสองลูก คำทักทายเริ่มเปลี่ยนจา่ก สู้ๆครับ เป็น อีกนิดเดียวๆๆๆ เรายังคงเข็นสลับปั่นไปเรื่อย จนถึงบริเวณหน้าหอดูดาว มองหลักกิโลมาตลอด เหลืออีก 3 โล 2 โล และที่สุดก็ถึงกิโลสุดท้าย เส้นทางเริ่มชันน้อยลง ก่อนถึงเส้นชัยจะมีแอ่งให้ไหลลงไปนิดนึง จากจุดนี้เรี่ยวแรงที่หายไปเริ่มกลับมาแล้ว ควบรถคู่ชีพเข้าเส้นชัยอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
ที่เส้นชัย เสียงต้อนรับ เสียงโห่ร้อง เสียงตบมือ รอนักปั่นทุกคนอยู่ ผมเข้าเส้นที่เวลา 8.20 ชั่วโมง (รวมเวลาโอ้เอ้ตอนปล่อยตัว ตอนกินข้าว ทั้งหมดแล้ว) ถือว่าเป็นเวลาที่สามารถทำได้ตามกรอบที่กำหนดไว้ คือ 8.30 ชั่วโมง (ยังจะคุย - -' )
ถามว่าปีนี้ใช้เวลาไปเยอะ แถมต้องลงเข็นอีกตั้งหลายกิโล แล้วปีหน้าจะมาอีกมั้ย ตอบได้ตอนนี้เลยว่า ไม่ !!! เลิกแล้ว เข็ดแล้ว บอกลาทางเขาแล้ว ให้ปั่น 200 โลยังจะสบายซะกว่า แต่นั่น....ก็เป็นความรู้สึก ณ เวลาที่เพิ่งเข้าเส้นชัยในตอนนั้น ปีหน้าก็ยังไม่รุ้ว่า ถึงเวลาแล้วจะ "คัน" อีกหรือเปล่า ถ้ามันคัน ยังไงก็ต้องหาเรื่องเกาอีกอยู่ดี
ปล.ขอแสดงความยินดีและนับถือหัวใจของนักปั่นทุกท่านที่ขึ้นถึงยอดดอยด้วยสองแรงขากับหนึ่งหัวใจสู้ของท่าน ไม่ว่าจะลงเข็นหรือไม่เข็นก็ตาม สิ่งที่สำคัญกว่าวิธีการไปถึงเส้นชัยคือหัวใจสู้ของทุกคน จุดหมายปลายทางไม่ใช่ที่สุดของการเดินทาง หากแต่เป็นประสบการณ์สองข้างทางต่างหาก ที่จะสอนให้รู้ว่า ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยบ้าง แต่เมื่อผ่านมันไปได้แล้ว ความสวยงามจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราเสมอ
ปล.ภาพประกอบหลายๆภาพจากในเน็ทและในเฟซบุคของเพื่อนๆ ขออนุญาต ณ ที่นี้ด้วยนะครับ