ทริปนี้เกิดจากการรวมตัวแบบงงๆของพวกเราทั้ง 5 คน เพียงแค่อยากไปพักผ่อน อยากไปให้ไกลจากความวุ่นวายในกรุงเทพ อยากไปในที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์... งั้นเราไป “เขื่อนเชี่ยวหลาน” กันไหมละ? “ไปสิ” ตอบแบบไม่ต้องคิดเลย เคยเห็นแต่ในรูปมันดูสวยและเงียบสงบมาก ครั้งนี้นี่แหละที่จะได้ไปสัมผัสด้วยตัวเองสักที เอาล่ะ... ไปลอยแพกัน!
เราเลยหาข้อมูลเรื่องห้องพักและเรือรับ-ส่ง สรุปกับเพื่อนๆว่า เราจะพักแพ 500 ไร่ แพที่อยู่ลึกที่สุดในเขื่อนเชี่ยวหลาน แหม่แต่ลึกที่สุดก็ตามมาด้วยราคาที่แพงที่สุดเช่นกัน แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองสักครั้งในชีวิตเถอะ (แต่จริงๆแล้ว “แพ 500 ไร่” จะมีแพ็คเกจท่องเที่ยวอยู่แล้ว ซึ่งเราสามารถเลือกตามแพ็คเกจที่เราสะดวกได้เลย มีรถรับ-ส่งจากสนามบินและมีเรือรับ-ส่งเข้ามายังแพ 500 ไร่ด้วย)
แต่ของพวกเรา 5 เสือ (แหะๆ “5เสือ” คือชื่อกลุ่มเราเอง มีชาย 2 หญิง 3) ไม่ได้ซื้อเป็นแพ็คเกจ อาศัยหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเป็นหลักว่าต้องติดต่อเรือที่ไหน อย่างไรแล้วนัดเรือเองก่อนวันเดินทางสัก 1 อาทิตย์หลังจากได้ที่พักและเรือรับส่งแล้ว เราก็พร้อมออกเดินทาง
พวกเราออกเดินทางคืนวันศุกร์เวลาเที่ยงคืนโดยประมาณ เพราะคำนวณจากคนขับรถสุดหล่อและสุดสวยว่าขับรถไปสุราษฎร์ใช้เวลา 8-10 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความเร็วของการขับรถ เราตั้งใจให้ไปถึงประมาณ 10 โมงเช้า เพื่อไปขึ้นเรือตามเวลาที่นัดไว้ที่ท่าเรือ... (แต่ขอไม่แนะนำเรือที่เรานั่งเท่าไหร่ มันไม่ได้แย่หรอก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ประทับใจ)ไปถึงตามที่นัดหมาย 10 โมงพอดิบพอดี
เตรียมขึ้นเรือ
พี่เจ้าของเรือถามว่าอยากไปไหนบ้าง อยากเข้าที่พักเลยหรือจะไปเที่ยวที่ถ้ำปะการังก่อน เราทั้งหมดเลยตกลงกันว่าจะไปเที่ยวถ้ำปะการังก่อนเข้าที่พัก โดยค่าเรือไปแพ 500 ไร่ อย่างเดียวจะอยู่ที่ 2,800 บาท/1 ลำ แต่ถ้าไปเที่ยวถ้ำปะการังด้วยจะต้องเพิ่มเงินอีก 1,500 บาท เพราะระยะทางค่อนข้างไกล (1,500 บาทรวมค่าเรือ กับค่าเจ้าหน้าที่นำทางเรียบร้อยแล้วนะ เราไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีก) รวมค่าเสียหายทั้งหมดอยู่ที่ 4,300 บาทถ้วน เราไปกันทั้งหมด 5 คน ก็ตกคนละ 860 บาทจ้า จะรอช้าอยู่ทำไม...โดดขึ้นเรือกัน
แหม่.. วิวที่นั่งที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นตรงนี้สินะ
เรือก็แล่นไปเรื่อยๆ ลมพัดโกรกหน้า น้ำกระเซ็นมาโดนตัวบ้างบางครั้ง ทำเอาสดชื่นอยู่ไม่น้อย
นั่งมาได้เกือบ 1 ชั่วโมงก็เจอกับเจ้าหอยทากเฉย
ยิ่งลึกเข้าไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเจอแพเพื่อนบ้านหลายแพ
เย่!!! ในที่สุดเรือก็เทียบฝั่งแล้ว
อ้าวๆๆ ไหนถ้ำปะการัง
พี่ไกด์ก็คลายความสงสัยให้พวกเราทันทีว่าก่อนที่จะไปถึงตัวถ้ำนั้น เราจะต้องเดินเท้าเข้าป่าอีก 1.5 กิโลเมตร แต่ระยะทางไม่ลำบาก ผู้สูงอายุก็ยังสามารถเดินได้สบาย โอเค.. งั้นเริ่มเดินปฏิบัติ!
หลังจากนั้นก็ต้องมาต่อแพไม้ไผ่
เพื่อเข้ามายัง "ทะเลใน"
สีน้ำสวยจนไม่อาจละสายตา
จนตัวเราดูเล็กไปเลย เมื่อถูกธรรมชาติโอบล้อม
เลยต้องถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระทึก เย้ย! ระลึก
แพเคลื่อนตัวได้ประมาณ 5 นาที ก็มาถึง "ถ้ำปะการัง" แล้ว ซึ่งระหว่างเดินสำรวจถ้ำจะมีเจ้าหน้าที่นำทางตลอด เพราะภายในถ้ำค่อนข้างมืด
ไฟฉายมีประโยชน์มาก ณ จุดนี้ (แต่เราไม่ต้องเตรียมมานะ ทางพี่เจ้าหน้าที่เขาเตรียมให้แล้ว ^^)
รู้แล้วละว่าทำไมถ้ำนี้ถึงถูกเรียกว่า "ถ้ำปะการัง"
เพราะหินแต่ละก้อนมันเหมือนปะการังในท้องทะเลจริงๆ
เสร็จจากการเดินสำรวจในถ้ำปะการัง ก็กลับตามวิธีเดิม
แล้วเราก็นั่งเรือมุ่งตรงมายัง แพ500ไร่ ที่นอนของเราคืนนี้
ขากลับจากถ้ำก็เจอหอยทากอีกครั้ง
นั่งเรือไปสักพักพี่คนขับเรือก็ตะโกนบอกพวกเราว่า "ใกล้ถึงแล้วนะ" จะอดใจไม่ไหวแล้ว เมื่อเรือเข้าใกล้เป้าหมาย เราก็เห็นความโดดเด่นของ แพ 500ไร่ เป็นแพที่มีห้องเรียงๆกันประมาณ10 ห้อง แบ่งเป็นห้อง Deluxe, Villa, Family
บริเวณหน้าแพมีสระว่ายน้ำส่วนกลางของแพยื่นออกมา
ดูท่าทางเหมือนเป็นคอนโดหรูๆ ซะนี่
แต่ใครที่จะว่ายน้ำในสระนี้ต้องเตรียมชุดว่ายน้ำมาด้วยนะ ไม่งั้นอดลงเล่นแน่นอน
พอเรือเทียบฝั่ง เราก็ขึ้นไปเช็คอินกันทันที เดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์แต่ก็สะดุดตากับส่วนที่อยู่ใจกลางห้องอาหาร ที่มีไม้พาดให้เป็นทางเดิน และสองข้างก็เอาพื้นออก มองลงไปเห็นปลาในเขื่อนมาว่ายอยู่เต็มไปหมด ทำให้เหมือนว่าส่วนนี้กลายเป็นบ่อปลาดีๆนี่เอง
มีอาหารปลาขายเป็นข้าวโพดแห้งถุงละ 20 บาท ซึ่งปลาเยอะมาก และปลาที่นี่อ้วนมาก ท่าทางฉลาดมากอีกด้วย
ใครที่อยากจะไปสปาเท้า รับรองมาที่นี่ไม่ผิดหวัง นอกจากมันจะตอดแล้ว มันยังอมนิ้วเท้าเราอีกด้วย ทำให้พวกเรากรี๊ดแล้วกรี๊ดอีก แต่มันสนุกดีนะ
ส่วนใครที่อยากสปาตัวทั้งตัวโดดลงน้ำตู้มทันที คงจะต้องผิดหวัง เพราะปลามันจะหายวับอย่างรวดเร็วราวกับส่งสัญญาณเน็ต 4G บอกต่อกันเป็นทอดๆ ว่าอันตรายนะ ไอ้คนมันลงมาแล้ว หนีเร็ว
เมื่อเล่นกับปลาเสร็จ เช็คอินเสร็จก็เดินตรงดิ่งมายังห้องพัก ห้องพักของเราเป็นแบบ Family สามารถนอนได้ 8 คน
โดยเป็นบ้านแฝดติดกัน 2 หลัง ประตูเปิดหากันได้ ภายในบ้าน 1 หลัง จะมี 2 ชั้น ชั้นล่างจะเป็นเตียงคิงไซส์ 1 เตียง ห้องน้ำ 1 ห้อง
ส่วนชั้นบนจะเป็นเตียงเดี่ยว 2 เตียงอยู่ติดกันริมกระจกซึ่งสามารถมองออกมาเห็นวิวเขื่อนเชี่ยวหลานในมุมสูง
ส่วนชั้นล่างปลายเตียงจะหันเข้าหาเขื่อนที่มีวิวเป็นภูเขาโอบล้อมน้ำอยู่ ข้างหน้าห้องจะมีระเบียงยื่นออกมาหาน้ำเหมือนเป็นทางลงสระว่ายน้ำส่วนตัว พร้อมกับที่นั่ง มีเรือคายัค 2 ลำจอดรอให้เราไปพายเล่นกัน และมีชูชีพเพื่อความปลอดภัยตามจำนวนคนที่เข้าอยู่อาศัย
เรียกได้ว่าจะนอนในห้องแล้วมองออกไปเห็นวิวก็เพลินตา หรือจะวิ่งออกจากเตียงไปกระโดดน้ำเลยก็ทำได้
ข้อแนะนำของการมาอยู่บนแพอีกอย่างหนึ่งคือ ข้าว อาหาร เครื่องดื่ม ราคาค่อนข้างแพง ถ้าไม่เหนือบากกว่าแรงมากนักก็แบกมาจากฝั่งกันเลยก็ได้ แต่ถ้าอยากชิลๆแบบไม่ต้องคิดมาก ก็มาซื้อที่นี่แหละเขามีบริการพร้อมทุกอย่าง
พอแดดร่มลมตก จากที่นอนเหยียดพุงสบายๆ บนเตียง เราก็เริ่มเปลี่ยนชุดให้พร้อมเพื่อลงเล่นน้ำในเขื่อนเชี่ยวหลานกัน
นอกจากจะดำผุดดำว่ายแล้ว ยังแข่งกันพายเรือคายัคอีกด้วย
ทั้งสนุก
ทั้งเหนื่อยเลย
ดวงอาทิตย์ค่อยๆลับขอบเขา
บรรยากาศตอนเย็นกับท้องน้ำที่โอบล้อมด้วยภูเขานี่มันช่างโรแมนติกเสียจริง
ดวงอาทิตย์ลับขอบเขาไปแล้ว ยังพอเหลือแสงให้มองเห็นบ้างเราก็กลับขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อกินข้าวแล้วก็ถึงเวลาสังสรรค์กับเพื่อนฝูง มาแพกับเพื่อนนี่มันสนุกจริงๆ มีเรื่องคุย เฮฮาปาร์ตี้กันตลอดเวลา แต่พวกเราไม่นอนดึกมาก เพราะพรุ่งนี้เรามีนัดกับไปชมความงามคุณดวงอาทิตย์ตอนกำลังขึ้น และกุ้ยหลินเมืองไทย แต่ก่อนนอนขอแว๊บออกมาถ่ายดาวที่หน้าแพก่อน อดใจไม่ไหวจริงๆ
ตีห้าเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น เรางัวเงียออกมาหน้าแพดูท้องฟ้าที่เริ่มจะสว่างขึ้นทีละน้อย พื้นน้ำเงียบสงบ คนส่วนใหญ่ที่แพยังคงหลับใหล
แต่ห้องเราตื่นมาทำภารกิจส่วนตัวกันแล้ว เพราะนัดกับพี่คนขับเรือไว้ว่าจะไปตามล่าพระอาทิตย์ขึ้น พร้อมกับไปดูของดีเมืองไทย
ประมาณ 7 โมง เรือออก พวกเรา 5 เสือนั่งไปกับเรือที่ล่องไปในน้ำเรื่อยๆ มองเห็นฝูงนกที่บินออกหากินขณะที่ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ไม่นานนักพระอาทิตย์ก็มาตามนัด
ระหว่างทางเราเห็น นกเงือก ชะนี ตามเกาะต่างๆที่อยู่บนเขื่อน พี่ไกด์ของแพ 500 ไร่ เริ่มอธิบายเส้นทางต่างๆ สอนมองภูเขารูปต่างๆ เช่น รูปคนอ้วน รูปสาวญี่ปุ่นใช้จินตนาการกันหน่อยก็จะรู้สึกว่าเออก็เป็นอย่างที่พี่เขาบอกจริงๆ นะ
พระอาทิตย์เริ่มขึ้นเต็มที่ เรือก็วกกลับมายังแพ 500 ไร่ แต่ระหว่างทางก็เจอแพเพื่อนบ้านอีกแล้ว ส่วนมากแพนี้จะมีแต่ฝรั่ง
[CR] เอาตัวเองไปลอยแพที่ "เขื่อนรัชชประภา" (เชี่ยวหลาน)
เราเลยหาข้อมูลเรื่องห้องพักและเรือรับ-ส่ง สรุปกับเพื่อนๆว่า เราจะพักแพ 500 ไร่ แพที่อยู่ลึกที่สุดในเขื่อนเชี่ยวหลาน แหม่แต่ลึกที่สุดก็ตามมาด้วยราคาที่แพงที่สุดเช่นกัน แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองสักครั้งในชีวิตเถอะ (แต่จริงๆแล้ว “แพ 500 ไร่” จะมีแพ็คเกจท่องเที่ยวอยู่แล้ว ซึ่งเราสามารถเลือกตามแพ็คเกจที่เราสะดวกได้เลย มีรถรับ-ส่งจากสนามบินและมีเรือรับ-ส่งเข้ามายังแพ 500 ไร่ด้วย)
แต่ของพวกเรา 5 เสือ (แหะๆ “5เสือ” คือชื่อกลุ่มเราเอง มีชาย 2 หญิง 3) ไม่ได้ซื้อเป็นแพ็คเกจ อาศัยหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเป็นหลักว่าต้องติดต่อเรือที่ไหน อย่างไรแล้วนัดเรือเองก่อนวันเดินทางสัก 1 อาทิตย์หลังจากได้ที่พักและเรือรับส่งแล้ว เราก็พร้อมออกเดินทาง
พวกเราออกเดินทางคืนวันศุกร์เวลาเที่ยงคืนโดยประมาณ เพราะคำนวณจากคนขับรถสุดหล่อและสุดสวยว่าขับรถไปสุราษฎร์ใช้เวลา 8-10 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความเร็วของการขับรถ เราตั้งใจให้ไปถึงประมาณ 10 โมงเช้า เพื่อไปขึ้นเรือตามเวลาที่นัดไว้ที่ท่าเรือ... (แต่ขอไม่แนะนำเรือที่เรานั่งเท่าไหร่ มันไม่ได้แย่หรอก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ประทับใจ)ไปถึงตามที่นัดหมาย 10 โมงพอดิบพอดี
เตรียมขึ้นเรือ
พี่เจ้าของเรือถามว่าอยากไปไหนบ้าง อยากเข้าที่พักเลยหรือจะไปเที่ยวที่ถ้ำปะการังก่อน เราทั้งหมดเลยตกลงกันว่าจะไปเที่ยวถ้ำปะการังก่อนเข้าที่พัก โดยค่าเรือไปแพ 500 ไร่ อย่างเดียวจะอยู่ที่ 2,800 บาท/1 ลำ แต่ถ้าไปเที่ยวถ้ำปะการังด้วยจะต้องเพิ่มเงินอีก 1,500 บาท เพราะระยะทางค่อนข้างไกล (1,500 บาทรวมค่าเรือ กับค่าเจ้าหน้าที่นำทางเรียบร้อยแล้วนะ เราไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีก) รวมค่าเสียหายทั้งหมดอยู่ที่ 4,300 บาทถ้วน เราไปกันทั้งหมด 5 คน ก็ตกคนละ 860 บาทจ้า จะรอช้าอยู่ทำไม...โดดขึ้นเรือกัน
แหม่.. วิวที่นั่งที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นตรงนี้สินะ
เรือก็แล่นไปเรื่อยๆ ลมพัดโกรกหน้า น้ำกระเซ็นมาโดนตัวบ้างบางครั้ง ทำเอาสดชื่นอยู่ไม่น้อย
นั่งมาได้เกือบ 1 ชั่วโมงก็เจอกับเจ้าหอยทากเฉย
ยิ่งลึกเข้าไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเจอแพเพื่อนบ้านหลายแพ
เย่!!! ในที่สุดเรือก็เทียบฝั่งแล้ว
อ้าวๆๆ ไหนถ้ำปะการัง
พี่ไกด์ก็คลายความสงสัยให้พวกเราทันทีว่าก่อนที่จะไปถึงตัวถ้ำนั้น เราจะต้องเดินเท้าเข้าป่าอีก 1.5 กิโลเมตร แต่ระยะทางไม่ลำบาก ผู้สูงอายุก็ยังสามารถเดินได้สบาย โอเค.. งั้นเริ่มเดินปฏิบัติ!
หลังจากนั้นก็ต้องมาต่อแพไม้ไผ่
เพื่อเข้ามายัง "ทะเลใน"
สีน้ำสวยจนไม่อาจละสายตา
จนตัวเราดูเล็กไปเลย เมื่อถูกธรรมชาติโอบล้อม
เลยต้องถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระทึก เย้ย! ระลึก
แพเคลื่อนตัวได้ประมาณ 5 นาที ก็มาถึง "ถ้ำปะการัง" แล้ว ซึ่งระหว่างเดินสำรวจถ้ำจะมีเจ้าหน้าที่นำทางตลอด เพราะภายในถ้ำค่อนข้างมืด
ไฟฉายมีประโยชน์มาก ณ จุดนี้ (แต่เราไม่ต้องเตรียมมานะ ทางพี่เจ้าหน้าที่เขาเตรียมให้แล้ว ^^)
รู้แล้วละว่าทำไมถ้ำนี้ถึงถูกเรียกว่า "ถ้ำปะการัง"
เพราะหินแต่ละก้อนมันเหมือนปะการังในท้องทะเลจริงๆ
เสร็จจากการเดินสำรวจในถ้ำปะการัง ก็กลับตามวิธีเดิม
แล้วเราก็นั่งเรือมุ่งตรงมายัง แพ500ไร่ ที่นอนของเราคืนนี้
ขากลับจากถ้ำก็เจอหอยทากอีกครั้ง
นั่งเรือไปสักพักพี่คนขับเรือก็ตะโกนบอกพวกเราว่า "ใกล้ถึงแล้วนะ" จะอดใจไม่ไหวแล้ว เมื่อเรือเข้าใกล้เป้าหมาย เราก็เห็นความโดดเด่นของ แพ 500ไร่ เป็นแพที่มีห้องเรียงๆกันประมาณ10 ห้อง แบ่งเป็นห้อง Deluxe, Villa, Family
บริเวณหน้าแพมีสระว่ายน้ำส่วนกลางของแพยื่นออกมา
ดูท่าทางเหมือนเป็นคอนโดหรูๆ ซะนี่
แต่ใครที่จะว่ายน้ำในสระนี้ต้องเตรียมชุดว่ายน้ำมาด้วยนะ ไม่งั้นอดลงเล่นแน่นอน
พอเรือเทียบฝั่ง เราก็ขึ้นไปเช็คอินกันทันที เดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์แต่ก็สะดุดตากับส่วนที่อยู่ใจกลางห้องอาหาร ที่มีไม้พาดให้เป็นทางเดิน และสองข้างก็เอาพื้นออก มองลงไปเห็นปลาในเขื่อนมาว่ายอยู่เต็มไปหมด ทำให้เหมือนว่าส่วนนี้กลายเป็นบ่อปลาดีๆนี่เอง
มีอาหารปลาขายเป็นข้าวโพดแห้งถุงละ 20 บาท ซึ่งปลาเยอะมาก และปลาที่นี่อ้วนมาก ท่าทางฉลาดมากอีกด้วย
ใครที่อยากจะไปสปาเท้า รับรองมาที่นี่ไม่ผิดหวัง นอกจากมันจะตอดแล้ว มันยังอมนิ้วเท้าเราอีกด้วย ทำให้พวกเรากรี๊ดแล้วกรี๊ดอีก แต่มันสนุกดีนะ
ส่วนใครที่อยากสปาตัวทั้งตัวโดดลงน้ำตู้มทันที คงจะต้องผิดหวัง เพราะปลามันจะหายวับอย่างรวดเร็วราวกับส่งสัญญาณเน็ต 4G บอกต่อกันเป็นทอดๆ ว่าอันตรายนะ ไอ้คนมันลงมาแล้ว หนีเร็ว
เมื่อเล่นกับปลาเสร็จ เช็คอินเสร็จก็เดินตรงดิ่งมายังห้องพัก ห้องพักของเราเป็นแบบ Family สามารถนอนได้ 8 คน
โดยเป็นบ้านแฝดติดกัน 2 หลัง ประตูเปิดหากันได้ ภายในบ้าน 1 หลัง จะมี 2 ชั้น ชั้นล่างจะเป็นเตียงคิงไซส์ 1 เตียง ห้องน้ำ 1 ห้อง
ส่วนชั้นบนจะเป็นเตียงเดี่ยว 2 เตียงอยู่ติดกันริมกระจกซึ่งสามารถมองออกมาเห็นวิวเขื่อนเชี่ยวหลานในมุมสูง
ส่วนชั้นล่างปลายเตียงจะหันเข้าหาเขื่อนที่มีวิวเป็นภูเขาโอบล้อมน้ำอยู่ ข้างหน้าห้องจะมีระเบียงยื่นออกมาหาน้ำเหมือนเป็นทางลงสระว่ายน้ำส่วนตัว พร้อมกับที่นั่ง มีเรือคายัค 2 ลำจอดรอให้เราไปพายเล่นกัน และมีชูชีพเพื่อความปลอดภัยตามจำนวนคนที่เข้าอยู่อาศัย
เรียกได้ว่าจะนอนในห้องแล้วมองออกไปเห็นวิวก็เพลินตา หรือจะวิ่งออกจากเตียงไปกระโดดน้ำเลยก็ทำได้
ข้อแนะนำของการมาอยู่บนแพอีกอย่างหนึ่งคือ ข้าว อาหาร เครื่องดื่ม ราคาค่อนข้างแพง ถ้าไม่เหนือบากกว่าแรงมากนักก็แบกมาจากฝั่งกันเลยก็ได้ แต่ถ้าอยากชิลๆแบบไม่ต้องคิดมาก ก็มาซื้อที่นี่แหละเขามีบริการพร้อมทุกอย่าง
พอแดดร่มลมตก จากที่นอนเหยียดพุงสบายๆ บนเตียง เราก็เริ่มเปลี่ยนชุดให้พร้อมเพื่อลงเล่นน้ำในเขื่อนเชี่ยวหลานกัน
นอกจากจะดำผุดดำว่ายแล้ว ยังแข่งกันพายเรือคายัคอีกด้วย
ทั้งสนุก
ทั้งเหนื่อยเลย
ดวงอาทิตย์ค่อยๆลับขอบเขา
บรรยากาศตอนเย็นกับท้องน้ำที่โอบล้อมด้วยภูเขานี่มันช่างโรแมนติกเสียจริง
ดวงอาทิตย์ลับขอบเขาไปแล้ว ยังพอเหลือแสงให้มองเห็นบ้างเราก็กลับขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อกินข้าวแล้วก็ถึงเวลาสังสรรค์กับเพื่อนฝูง มาแพกับเพื่อนนี่มันสนุกจริงๆ มีเรื่องคุย เฮฮาปาร์ตี้กันตลอดเวลา แต่พวกเราไม่นอนดึกมาก เพราะพรุ่งนี้เรามีนัดกับไปชมความงามคุณดวงอาทิตย์ตอนกำลังขึ้น และกุ้ยหลินเมืองไทย แต่ก่อนนอนขอแว๊บออกมาถ่ายดาวที่หน้าแพก่อน อดใจไม่ไหวจริงๆ
ตีห้าเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น เรางัวเงียออกมาหน้าแพดูท้องฟ้าที่เริ่มจะสว่างขึ้นทีละน้อย พื้นน้ำเงียบสงบ คนส่วนใหญ่ที่แพยังคงหลับใหล
แต่ห้องเราตื่นมาทำภารกิจส่วนตัวกันแล้ว เพราะนัดกับพี่คนขับเรือไว้ว่าจะไปตามล่าพระอาทิตย์ขึ้น พร้อมกับไปดูของดีเมืองไทย
ประมาณ 7 โมง เรือออก พวกเรา 5 เสือนั่งไปกับเรือที่ล่องไปในน้ำเรื่อยๆ มองเห็นฝูงนกที่บินออกหากินขณะที่ฟ้าเริ่มสว่างแล้ว ไม่นานนักพระอาทิตย์ก็มาตามนัด
ระหว่างทางเราเห็น นกเงือก ชะนี ตามเกาะต่างๆที่อยู่บนเขื่อน พี่ไกด์ของแพ 500 ไร่ เริ่มอธิบายเส้นทางต่างๆ สอนมองภูเขารูปต่างๆ เช่น รูปคนอ้วน รูปสาวญี่ปุ่นใช้จินตนาการกันหน่อยก็จะรู้สึกว่าเออก็เป็นอย่างที่พี่เขาบอกจริงๆ นะ
พระอาทิตย์เริ่มขึ้นเต็มที่ เรือก็วกกลับมายังแพ 500 ไร่ แต่ระหว่างทางก็เจอแพเพื่อนบ้านอีกแล้ว ส่วนมากแพนี้จะมีแต่ฝรั่ง