: จากออมเงินมาเป็นออมหุ้น ต้องเริ่มยังไง..
แอดมินเคยเขียนบทความเกี่ยวกับการออมเงินมาแล้ว เราหาวิธีเอาเงินมาต่อยอดดีกว่า (ลองย้อนดูบทความเก่าๆเกี่ยวกับการออมเงิน ใน pantip ก็เคยโพสต์ไว้)
การออมในหุ้นทำได้หลายวิธี ทั้งแบบ DCA (dollar cost average)คือซื้อหุ้นดีจำนวนเท่าๆกันไปทุกเดือน และ การรอช้อนซื้อในวิกฤติ หมายความว่า ซื้อเป็นไม้ใหญ่ๆเมื่อตลาดปรับฐาน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้เชียร์ให้มาออมหุ้นกันช่วงตลาด 1600 กว่าจุดนะ เพราะจะได้แต่ของแพง นักลงทุนที่ดี ควรรอได้..
ระหว่างนี้เรามาตอบคำถามที่มือใหม่ หัดเล่นหุ้นอยากรู้..
1. จะใช้บริการ broker ไหน??
เริ่มแรกเลยคือการหาโบรคเกอร์ที่ดี จะต้องเป็นโบรคเกอร์ที่ระบบโอนเงินทำได้ง่าย รวดเร็ว มีบทวิเคราะห์ที่ดี เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ไม่ใช่เชียร์ให้ซื้อๆๆ อย่างเดียว.. ลองดูรายชื่อโบรคเกอร์ได้ใน
http://www.settrade.com/C00_BeginnerRedirect.jsp?txtPage=beginnerZone/th/beginner-broker-list.html
ถ้างบน้อยลองเริ่มจากโบรคเกอร์ที่ไม่มีขั้นต่ำ เช่น uobkh bls และอื่นๆ แต่ถ้าบทวิเคราะห์ชอบของ CGS ด้าน technical และ Nomura ด้านพื้นฐาน
2. จะหาความรู้อย่างไร ??
เมื่อมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์แล้ว เราจะมีเจ้าหน้าที่การตลาดหรือมาร์เก็ตติ้ง แบบละครแอบรักออนไลน์ โทรมาแนะนำตัวกับเรา ถ้าสงสัยเรื่องระบบการซื้อขาย ถามมาร์เก็ตติ้งได้เลย..
จากนั้นเรามาเตรียมตัวเพื่อเป็นนักลงทุนที่ดี ด้วยการหาความรู้ หนังสือเล่มแรกที่เราอ่านชื่อ One up on wall street ของ peter lynce และ The winning investment habit Warren Buffet and Soros ฉบับแปลภาษาไทยก็มี คุณจะได้รู้ว่าคุณอยากจะลงทุนหรือเก็งกำไรกันแน่.. แต่การลงทุนในหุ้นดีๆนั้นทำง่ายกว่าการเก็งกำไรนะจ๊ะ เพราะอาศัยจิตวิทยาอย่างเดียว ซื้อแล้วถือหุ้นได้ ซื้อแล้วทิ้งไว้ ไม่ดูพอร์ตบ่อยๆให้หวั่นไหว มันก็จบ... เมื่อลงทุนได้กระแสเงินสดแล้วมีเงินเหลือค่อยนำมาเก็งกำไร แต่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเก็งกำไรก่อนลงทุน เพราะอยากรวยเร็วๆ สุดท้ายเจ๊งหรือไม่ดูเอาเอง..
หนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ดีมากๆของ Peter Lynce ชื่อ Learn to Earn จะกล่าวถึงประวัติศาสตร์การเงิน ตั้งแต่หุ้นยุคแรกๆ เลยเมื่อ 300 ปีมาแล้ว และแต่ละยุคสมัยจบลงไปอย่างไร (ส่วนใหญ่จบลงในวันที่ทุกคนอยากเข้ามาเก็งกำไร!!)
นอกจากอ่านหนังสือการเข้าสัมมนาเป็นสิ่งที่ดี
ปัจจุบันมีสัมมนาอยู่หลายค่าย (panphol aommoney s2m thai-vi และตามโบรคเกอร์) ถ้าคุณไปสัมมนาฟรี ตามโบรคเกอร์หรือของตลาดหลักทรัพย์จัด ก็ต้องฟังเค้าแนะนำผลิตภัณฑ์หน่อย แน่นอนว่ามันต้องมีการ sale แต่ก็ได้ความรู้ฟรี ไม่เสียหาย สัมมนาเสียค่าใช้จ่าย เนื้อหาก็จะแน่นกว่า รู้จักคนเพิ่มขึ้น ได้เพื่อนร่วมทาง...เพื่อนดีก็สำคัญ
3. จะเริ่มจากเงินเท่าไร ??
การลงทุนควรเริ่มจากจำนวนเงินที่รับความเสี่ยงได้ ถ้าคุณมีเงินเก็บ 100,000 บาท คุณเริ่มนำมาลงทุนในหุ้นจำนวน 20,000 บาท คุณจะไม่เครียดเท่ากับการที่คุณนำเงินทั้งหมดมาลงทุน
เงินจำนวนมากจะส่งผลให้ยืดติดกับราคาที่ผันผวน เกิดความโลภ ความกลัว ซึ่งทำให้แผนการลงทุนไม่ประสบความสำเร็จ
.. ควรอยู่ในตลาดอย่างน้อย 3 ปีก่อนที่จะคิดนำเงิน 70-80 %มาลงทุน (อย่างไรก็ตามไม่ควรลงทุนด้วยเงิน 100% เพราะอะไรก็ไม่แน่นอนในตลาดหุ้น)
และมือใหม่มักตัดสินใจผิดก่อนเสมอ.. ต้องอาศัยการเรียนรู้และประสบการณ์มากมายที่จะเอาตัวรอดในตลาดในระยะยาว
4. หุ้นถูก ปันผลดี..ไม่ใช่หุ้นที่ดีเสมอไป จะซื้อหุ้นถือยาว ดูแค่ปันผลไม่ได้ เพราะบริษัทในตลาดหุ้นไม่ใช่ธนาคาร ที่จะการันตีเงินต้น บริษัทจ่ายปันผลดีอาจจะเจ๊งในอีก 5 ปีข้างหน้าก็ได้ ถ้าผู้บริหารไม่ดี จะหวังให้บริษัท turn around อาจจะไม่เป็นแบบที่คิด ควรศึกษาความสามารถในการแข่งขัน อาจจะทำกำไรสู้คู่แข่งไม่ได้
เพราะการที่หุ้นมีราคาถูกในภาวะที่ตลาดเป็นขาขึ้น แสดงว่าคนส่วนใหญ่เห็นว่าหุ้นตัวนั้นไม่ดี เพราะหุ้นดีๆ ใครก็อยากจับจอง จนไม่เหลือแล้ว... แต่ถ้าเป็นการขาดทุนเพราะรอบวัฏจักร เช่น ค่าเงินบาทแข็ง หุ้นส่งออกจะทำกำไรไม่ดีเป็นการชั่วคราว อันนี้แนะนำ น่าลงทุน หรือ หุ้นวัฏจักรที่มีรอบของตัวมันเอง เช่น ท่าเรือ น้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์ ก็ต้องศึกษา cycle ให้ดี.. เราแนะนำให้ดูข้อมูลได้จาก settrade หรือ search google เอาเลยเพื่อดูราคาสินค้าอ้างอิง..
5. คิดอย่างรอบคอบก่อนซื้อหุ้นตัวไหน ควรมีเหตุผลให้มากๆ ไม่ใช่ว่าใครเชียร์ตัวไหนก็ซื้อ คุณอาจเป็นเหยื่อของคนที่ออกทีวี วิทยุ กูรูต่าง เชื่อสิว่าพอเค้าเชียร์คุณซื้อ เค้าก็ขาย..
ของดีจริงไม่มีใครมาบอกคุณฟรีๆหรอก no free lunch
เด๋วคราวหน้าจะมา review ศัพท์ technic ให้ฟัง
พูดคุยกันเพิ่มเติมได้ทาง facebook : single trader คะ เรากำลังจะเขียน how to แบบ step by step ตั้งแต่เริ่มเล่นหุ้น และจะมา review ในนี้ด้วย
มือใหม่เริ่มลงทุน ควรทำอย่างไร
แอดมินเคยเขียนบทความเกี่ยวกับการออมเงินมาแล้ว เราหาวิธีเอาเงินมาต่อยอดดีกว่า (ลองย้อนดูบทความเก่าๆเกี่ยวกับการออมเงิน ใน pantip ก็เคยโพสต์ไว้)
การออมในหุ้นทำได้หลายวิธี ทั้งแบบ DCA (dollar cost average)คือซื้อหุ้นดีจำนวนเท่าๆกันไปทุกเดือน และ การรอช้อนซื้อในวิกฤติ หมายความว่า ซื้อเป็นไม้ใหญ่ๆเมื่อตลาดปรับฐาน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้เชียร์ให้มาออมหุ้นกันช่วงตลาด 1600 กว่าจุดนะ เพราะจะได้แต่ของแพง นักลงทุนที่ดี ควรรอได้..
ระหว่างนี้เรามาตอบคำถามที่มือใหม่ หัดเล่นหุ้นอยากรู้..
1. จะใช้บริการ broker ไหน??
เริ่มแรกเลยคือการหาโบรคเกอร์ที่ดี จะต้องเป็นโบรคเกอร์ที่ระบบโอนเงินทำได้ง่าย รวดเร็ว มีบทวิเคราะห์ที่ดี เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ไม่ใช่เชียร์ให้ซื้อๆๆ อย่างเดียว.. ลองดูรายชื่อโบรคเกอร์ได้ใน
http://www.settrade.com/C00_BeginnerRedirect.jsp?txtPage=beginnerZone/th/beginner-broker-list.html
ถ้างบน้อยลองเริ่มจากโบรคเกอร์ที่ไม่มีขั้นต่ำ เช่น uobkh bls และอื่นๆ แต่ถ้าบทวิเคราะห์ชอบของ CGS ด้าน technical และ Nomura ด้านพื้นฐาน
2. จะหาความรู้อย่างไร ??
เมื่อมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์แล้ว เราจะมีเจ้าหน้าที่การตลาดหรือมาร์เก็ตติ้ง แบบละครแอบรักออนไลน์ โทรมาแนะนำตัวกับเรา ถ้าสงสัยเรื่องระบบการซื้อขาย ถามมาร์เก็ตติ้งได้เลย..
จากนั้นเรามาเตรียมตัวเพื่อเป็นนักลงทุนที่ดี ด้วยการหาความรู้ หนังสือเล่มแรกที่เราอ่านชื่อ One up on wall street ของ peter lynce และ The winning investment habit Warren Buffet and Soros ฉบับแปลภาษาไทยก็มี คุณจะได้รู้ว่าคุณอยากจะลงทุนหรือเก็งกำไรกันแน่.. แต่การลงทุนในหุ้นดีๆนั้นทำง่ายกว่าการเก็งกำไรนะจ๊ะ เพราะอาศัยจิตวิทยาอย่างเดียว ซื้อแล้วถือหุ้นได้ ซื้อแล้วทิ้งไว้ ไม่ดูพอร์ตบ่อยๆให้หวั่นไหว มันก็จบ... เมื่อลงทุนได้กระแสเงินสดแล้วมีเงินเหลือค่อยนำมาเก็งกำไร แต่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเก็งกำไรก่อนลงทุน เพราะอยากรวยเร็วๆ สุดท้ายเจ๊งหรือไม่ดูเอาเอง..
หนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ดีมากๆของ Peter Lynce ชื่อ Learn to Earn จะกล่าวถึงประวัติศาสตร์การเงิน ตั้งแต่หุ้นยุคแรกๆ เลยเมื่อ 300 ปีมาแล้ว และแต่ละยุคสมัยจบลงไปอย่างไร (ส่วนใหญ่จบลงในวันที่ทุกคนอยากเข้ามาเก็งกำไร!!)
นอกจากอ่านหนังสือการเข้าสัมมนาเป็นสิ่งที่ดี
ปัจจุบันมีสัมมนาอยู่หลายค่าย (panphol aommoney s2m thai-vi และตามโบรคเกอร์) ถ้าคุณไปสัมมนาฟรี ตามโบรคเกอร์หรือของตลาดหลักทรัพย์จัด ก็ต้องฟังเค้าแนะนำผลิตภัณฑ์หน่อย แน่นอนว่ามันต้องมีการ sale แต่ก็ได้ความรู้ฟรี ไม่เสียหาย สัมมนาเสียค่าใช้จ่าย เนื้อหาก็จะแน่นกว่า รู้จักคนเพิ่มขึ้น ได้เพื่อนร่วมทาง...เพื่อนดีก็สำคัญ
3. จะเริ่มจากเงินเท่าไร ??
การลงทุนควรเริ่มจากจำนวนเงินที่รับความเสี่ยงได้ ถ้าคุณมีเงินเก็บ 100,000 บาท คุณเริ่มนำมาลงทุนในหุ้นจำนวน 20,000 บาท คุณจะไม่เครียดเท่ากับการที่คุณนำเงินทั้งหมดมาลงทุน
เงินจำนวนมากจะส่งผลให้ยืดติดกับราคาที่ผันผวน เกิดความโลภ ความกลัว ซึ่งทำให้แผนการลงทุนไม่ประสบความสำเร็จ
.. ควรอยู่ในตลาดอย่างน้อย 3 ปีก่อนที่จะคิดนำเงิน 70-80 %มาลงทุน (อย่างไรก็ตามไม่ควรลงทุนด้วยเงิน 100% เพราะอะไรก็ไม่แน่นอนในตลาดหุ้น)
และมือใหม่มักตัดสินใจผิดก่อนเสมอ.. ต้องอาศัยการเรียนรู้และประสบการณ์มากมายที่จะเอาตัวรอดในตลาดในระยะยาว
4. หุ้นถูก ปันผลดี..ไม่ใช่หุ้นที่ดีเสมอไป จะซื้อหุ้นถือยาว ดูแค่ปันผลไม่ได้ เพราะบริษัทในตลาดหุ้นไม่ใช่ธนาคาร ที่จะการันตีเงินต้น บริษัทจ่ายปันผลดีอาจจะเจ๊งในอีก 5 ปีข้างหน้าก็ได้ ถ้าผู้บริหารไม่ดี จะหวังให้บริษัท turn around อาจจะไม่เป็นแบบที่คิด ควรศึกษาความสามารถในการแข่งขัน อาจจะทำกำไรสู้คู่แข่งไม่ได้
เพราะการที่หุ้นมีราคาถูกในภาวะที่ตลาดเป็นขาขึ้น แสดงว่าคนส่วนใหญ่เห็นว่าหุ้นตัวนั้นไม่ดี เพราะหุ้นดีๆ ใครก็อยากจับจอง จนไม่เหลือแล้ว... แต่ถ้าเป็นการขาดทุนเพราะรอบวัฏจักร เช่น ค่าเงินบาทแข็ง หุ้นส่งออกจะทำกำไรไม่ดีเป็นการชั่วคราว อันนี้แนะนำ น่าลงทุน หรือ หุ้นวัฏจักรที่มีรอบของตัวมันเอง เช่น ท่าเรือ น้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์ ก็ต้องศึกษา cycle ให้ดี.. เราแนะนำให้ดูข้อมูลได้จาก settrade หรือ search google เอาเลยเพื่อดูราคาสินค้าอ้างอิง..
5. คิดอย่างรอบคอบก่อนซื้อหุ้นตัวไหน ควรมีเหตุผลให้มากๆ ไม่ใช่ว่าใครเชียร์ตัวไหนก็ซื้อ คุณอาจเป็นเหยื่อของคนที่ออกทีวี วิทยุ กูรูต่าง เชื่อสิว่าพอเค้าเชียร์คุณซื้อ เค้าก็ขาย..
ของดีจริงไม่มีใครมาบอกคุณฟรีๆหรอก no free lunch
เด๋วคราวหน้าจะมา review ศัพท์ technic ให้ฟัง
พูดคุยกันเพิ่มเติมได้ทาง facebook : single trader คะ เรากำลังจะเขียน how to แบบ step by step ตั้งแต่เริ่มเล่นหุ้น และจะมา review ในนี้ด้วย