'Fly me home'
by Sascalia
ตะวันคล้อยต่ำท้องฟ้ามีสีส้มเจือจางบนผืนผ้าใบสีฟ้าคราม ลมตะวันตกพัดเอื่อย ก้านใบรูปหัวใจของดอกพวงชมพูที่ติดขั้วจะร่วงมิร่วงแหล่ก็พลันพลัดปลิดปลิวไปตามสายลม เหมือนการรอคอยของใบไม้ใบนั้นได้สิ้นสุดลงเสียที ฉันได้แต่นั่งมองไปบนถนนสายเล็ก ๆ ที่นำสู่รั้วบ้านอย่างใจจดจ่อระคนกังวล นี่มันผิดเวลามากแล้ว ฉันแหงนหน้าเพื่อให้ลมปะทะในจังหวะที่ชิงช้าแกว่งขึ้นลง สายลมที่ปะทะใบหน้าช่วยผ่อนคลายอารมณ์ขุ่นมัวและเป็นกังวลของฉันไปได้บ้าง กระโปรงบานยาวพัดกระพือเล็กน้อยทำให้รู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างกำลังถูกโอบอุ้มอย่างอ่อนโยน
ฉันหลับตาลงไกวขาให้ชิงช้าแกว่งขึ้นลงเรื่อย ๆ ปลดปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากเสียงหวีดหวิวอย่างแผ่วเบา ... “ญา” จู่ๆ เสียงที่ฉันรอคอยก็ดังแทรกเข้ามาในเสียงหวีดหวิว ประหนึ่งว่าเสียงนั้นได้ถูกพัดพามากับสายลมจากที่ใดที่หนึ่งที่ไกลออกไป ฉันกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบกับเจ้าของเสียงนั้น คงหูแว่วเพราะมัวแต่คิดถึงเค้ามากจนเกินไป ฉันยังคงนั่งแกว่งชิงช้าขึ้นลง ขึ้นลง ต่อไปเรื่อย ๆ ฉันชอบนั่งชิงช้าตรงนี้ทุกเย็นเพื่อรอคอยสามีของฉันกลับมาบ้าน เวลานั่งตรงนี้ฉันสามารถมองไปยังถนนสายเล็กที่เลี้ยวเข้ามาในซอย ตรงเข้ารั้วบ้านของเราได้อย่างชัดเจน มันเป็นชิงช้าไม้กระดานผูกเชือกไว้กับคานไม้ระแนงที่ถูกปกคลุมไปด้วยเถาพวงชมพู ดอกชมพูสะพรั่งบานกลีบเล็ก ๆ กระจายจนกลายเป็นหลังคาที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันของธรรมชาติ เปิดพื้นที่เป็นช่องเล็ก ๆ ให้แสงแดดลอดผ่านซี่ไม้ระแนงเป็นแสงรำไร การรอคอยในทุก ๆ วันของฉันจึงเป็นการรอคอยที่น่าอภิรมย์ แต่วันนี้ต่างไปกับทุก ๆ วัน แดดอ่อนแรงลงไปทุกที รอบตัวเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงของเหล่านกน้อยเพื่อบอกคู่ให้บินกลับรัง วันนี้เค้ายังไม่กลับมา
ฉันหลับตาลงอีกครั้งสายน้ำไหลอาบแก้มเป็นทางจากหางตา ฉันคิดถึงเค้าเหลือเกิน ชิงช้าเริ่มแกว่งขึ้นลง ขึ้นลง อีกครั้งและอีกครั้ง ลมอ่อน ๆ ปะทะใบหน้าแต่ไม่ช่วยให้น้ำตาเหือดหายไป นึกถึงใบไม้ใบนั้นป่านนี้มันคงปลิวไปไกลมากแล้ว ทว่าการรอคอยของฉันยังไม่สิ้นสุดจนกว่าสายลมของกาลเวลาจะพัดพาและปลิดฉันให้หลุดพ้นไปจากวังวนของความคิดคำนึง ต้นขั้วของความอาลัย
ชิงช้าหน้าบ้าน
'Fly me home'
by Sascalia
ตะวันคล้อยต่ำท้องฟ้ามีสีส้มเจือจางบนผืนผ้าใบสีฟ้าคราม ลมตะวันตกพัดเอื่อย ก้านใบรูปหัวใจของดอกพวงชมพูที่ติดขั้วจะร่วงมิร่วงแหล่ก็พลันพลัดปลิดปลิวไปตามสายลม เหมือนการรอคอยของใบไม้ใบนั้นได้สิ้นสุดลงเสียที ฉันได้แต่นั่งมองไปบนถนนสายเล็ก ๆ ที่นำสู่รั้วบ้านอย่างใจจดจ่อระคนกังวล นี่มันผิดเวลามากแล้ว ฉันแหงนหน้าเพื่อให้ลมปะทะในจังหวะที่ชิงช้าแกว่งขึ้นลง สายลมที่ปะทะใบหน้าช่วยผ่อนคลายอารมณ์ขุ่นมัวและเป็นกังวลของฉันไปได้บ้าง กระโปรงบานยาวพัดกระพือเล็กน้อยทำให้รู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างกำลังถูกโอบอุ้มอย่างอ่อนโยน
ฉันหลับตาลงไกวขาให้ชิงช้าแกว่งขึ้นลงเรื่อย ๆ ปลดปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากเสียงหวีดหวิวอย่างแผ่วเบา ... “ญา” จู่ๆ เสียงที่ฉันรอคอยก็ดังแทรกเข้ามาในเสียงหวีดหวิว ประหนึ่งว่าเสียงนั้นได้ถูกพัดพามากับสายลมจากที่ใดที่หนึ่งที่ไกลออกไป ฉันกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบกับเจ้าของเสียงนั้น คงหูแว่วเพราะมัวแต่คิดถึงเค้ามากจนเกินไป ฉันยังคงนั่งแกว่งชิงช้าขึ้นลง ขึ้นลง ต่อไปเรื่อย ๆ ฉันชอบนั่งชิงช้าตรงนี้ทุกเย็นเพื่อรอคอยสามีของฉันกลับมาบ้าน เวลานั่งตรงนี้ฉันสามารถมองไปยังถนนสายเล็กที่เลี้ยวเข้ามาในซอย ตรงเข้ารั้วบ้านของเราได้อย่างชัดเจน มันเป็นชิงช้าไม้กระดานผูกเชือกไว้กับคานไม้ระแนงที่ถูกปกคลุมไปด้วยเถาพวงชมพู ดอกชมพูสะพรั่งบานกลีบเล็ก ๆ กระจายจนกลายเป็นหลังคาที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันของธรรมชาติ เปิดพื้นที่เป็นช่องเล็ก ๆ ให้แสงแดดลอดผ่านซี่ไม้ระแนงเป็นแสงรำไร การรอคอยในทุก ๆ วันของฉันจึงเป็นการรอคอยที่น่าอภิรมย์ แต่วันนี้ต่างไปกับทุก ๆ วัน แดดอ่อนแรงลงไปทุกที รอบตัวเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงของเหล่านกน้อยเพื่อบอกคู่ให้บินกลับรัง วันนี้เค้ายังไม่กลับมา
ฉันหลับตาลงอีกครั้งสายน้ำไหลอาบแก้มเป็นทางจากหางตา ฉันคิดถึงเค้าเหลือเกิน ชิงช้าเริ่มแกว่งขึ้นลง ขึ้นลง อีกครั้งและอีกครั้ง ลมอ่อน ๆ ปะทะใบหน้าแต่ไม่ช่วยให้น้ำตาเหือดหายไป นึกถึงใบไม้ใบนั้นป่านนี้มันคงปลิวไปไกลมากแล้ว ทว่าการรอคอยของฉันยังไม่สิ้นสุดจนกว่าสายลมของกาลเวลาจะพัดพาและปลิดฉันให้หลุดพ้นไปจากวังวนของความคิดคำนึง ต้นขั้วของความอาลัย