สนธิสัญญาของอะลุซซิมมะฮฺ
โดยมุหัมมัด อิบรอฮีม อัต-ตุวัยญิรีย์
แปลโดย : ยูซุฟ อบู บักรฺ
ผู้ตรวจทาน : อัสรัน นิยมเดชา
ที่มา : มุคตะศ็อร อัลฟิกฮิล อิสลามีย์
(ย่อมานะครับ)
อะลุซซิมมะฮฺ คือ บรรดาชาวคัมภีร์ ได้แก่พวกยิว คริสเตียน และบรรดาผู้บูชาไฟ สำหรับมุชริก(พวกบูชารูปเคารพ) ให้เสนออิสลามให้แก่เขาอย่างเดียว หากไม่ยอมรับต่ออิสลามอนุญาตให้ทำการสู้รบได้ ส่วนบรรดาชาวคัมภีร์ให้ยื่นข้อเสนอ 3 ประการ โดยให้เลือกระหว่างการยอมรับอิสลาม จ่ายค่าคุ้มครอง หรือไม่ก็ให้ทำการสู้รบ
ผู้นำหรือผู้ที่ทำหน้าที่แทนเป็นผู้กำหนดโดยพิจารณาตามความเหมาะสม ไม่มีการเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากเด็ก สตรี ทาส คนวิกลจริต คนตาบอด และนักบวช
เมื่ออะลุซซิมมะฮฺได้จ่ายสิ่งที่เป็นหน้าที่ เช่น ค่าคุ้มครอง ภาษีที่ดิน ค่าสินไหม หรือสิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้ จากรายได้ที่พวกเราเชื่อว่าเป็นของต้องห้าม แต่พวกเขาถือว่าเป็นสิ่งที่อนุมัติ เช่น สุรา สุกร ก็เป็นการอนุญาตให้รับเอาจากพวกเขาได้(เก็บภาษีสุรา สุกร ได้)
เราต้องแสดงถึงความเข้มแข็งให้พวกเขาเห็นขณะที่รับค่าคุ้มครอง และเราจะต้องรับจากมือของพวกเขาเองในสภาพที่พวกเขารู้สึกว่ามีความต่ำต้อย (ย้ำเขาต้องต่ำต้อยกว่าเรา) .......อ้างอัลกูรอ่าน.......... รับอัลญิซยะฮฺจากมือของพวกเขาเอง ในสภาพที่พวกเขาเป็นผู้ต่ำต้อย” (อัตเตาบะฮฺ : 29)
ให้พวกเขาสวมเสื้อผ้า ใช้พาหนะที่มีความต่ำต้อยกว่ามุสลิมเพื่อเป็นการแยกแยะ และเป็นที่อนุญาตให้พวกเขาเข้ามัสยิดได้ โดยหวังให้พวกเขาได้เข้ารับอิสลาม ..........(พยายามทำให้พวกเขาดูต้ำต้อย)
ไม่อนุญาตในการยืนเพื่อแสดงการให้เกียรติแก่พวกเขา ไม่เริ่มต้นในการกล่าวสลามแก่พวกเขา หากพวกเขาได้เริ่มกล่าวสลามก่อนจำเป็นที่ต้องกล่าวตอบโดยให้กล่าวว่า “วะอะลัยกุม” ..........(ไม่สลามกับคนต่างศาสนา)
เมื่อพวกเขาไม่ยอมจ่ายส่วย ชีวิตและทรัพย์สินของเขาเป็นที่อนุญาต เขาก็จะกลายเป็นศัตรูคู่ศึก ในกรณีเช่นนี้ให้ผู้นำเป็นคนเลือกระหว่างฆ่า ปล่อยให้เป็นทาส ปล่อยโดยไม่มีเงื่อนไข หรือแลกตัวประกัน ให้พิจารณาตามประโยชน์ที่เห็นว่าเหมาะสม
ไม่เป็นที่อนุญาตให้พวกยิว คริสเตียน และบรรดาผู้ปฏิเสธ พำนักอาศัยอยู่อย่างถาวรในคาบสมุทรอาหรับ ส่วนการเข้ามาอยู่เพื่อทำงานนั้นอนุญาตให้มาอยู่ได้ในกรณีที่มีความจำเป็นโดยมีเงื่อนไขว่ามุสลิมจะปลอดภัยจากความชั่วร้ายของพวกเขา(หมายถึงอารเบีย )
โบสถ์คริสต์ โบสถ์ยิวเป็นศาสนสถานแห่งการตั้งภาคีและการปฏิเสธ และผืนปฐพีทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์แห่งอัลลอฮ แท้จริงอัลลอฮฺได้สั่งห้ามการเคารพสักการะต่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากพระองค์อัลลอฮฺ
สนธิสัญญาของอะลุซซิมมะฮฺ (พลเมืองต่างศาสนิกที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองดูแลของประเทศอิสลาม
โดยมุหัมมัด อิบรอฮีม อัต-ตุวัยญิรีย์
แปลโดย : ยูซุฟ อบู บักรฺ
ผู้ตรวจทาน : อัสรัน นิยมเดชา
ที่มา : มุคตะศ็อร อัลฟิกฮิล อิสลามีย์
(ย่อมานะครับ)
อะลุซซิมมะฮฺ คือ บรรดาชาวคัมภีร์ ได้แก่พวกยิว คริสเตียน และบรรดาผู้บูชาไฟ สำหรับมุชริก(พวกบูชารูปเคารพ) ให้เสนออิสลามให้แก่เขาอย่างเดียว หากไม่ยอมรับต่ออิสลามอนุญาตให้ทำการสู้รบได้ ส่วนบรรดาชาวคัมภีร์ให้ยื่นข้อเสนอ 3 ประการ โดยให้เลือกระหว่างการยอมรับอิสลาม จ่ายค่าคุ้มครอง หรือไม่ก็ให้ทำการสู้รบ
ผู้นำหรือผู้ที่ทำหน้าที่แทนเป็นผู้กำหนดโดยพิจารณาตามความเหมาะสม ไม่มีการเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากเด็ก สตรี ทาส คนวิกลจริต คนตาบอด และนักบวช
เมื่ออะลุซซิมมะฮฺได้จ่ายสิ่งที่เป็นหน้าที่ เช่น ค่าคุ้มครอง ภาษีที่ดิน ค่าสินไหม หรือสิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้ จากรายได้ที่พวกเราเชื่อว่าเป็นของต้องห้าม แต่พวกเขาถือว่าเป็นสิ่งที่อนุมัติ เช่น สุรา สุกร ก็เป็นการอนุญาตให้รับเอาจากพวกเขาได้(เก็บภาษีสุรา สุกร ได้)
เราต้องแสดงถึงความเข้มแข็งให้พวกเขาเห็นขณะที่รับค่าคุ้มครอง และเราจะต้องรับจากมือของพวกเขาเองในสภาพที่พวกเขารู้สึกว่ามีความต่ำต้อย (ย้ำเขาต้องต่ำต้อยกว่าเรา) .......อ้างอัลกูรอ่าน.......... รับอัลญิซยะฮฺจากมือของพวกเขาเอง ในสภาพที่พวกเขาเป็นผู้ต่ำต้อย” (อัตเตาบะฮฺ : 29)
ให้พวกเขาสวมเสื้อผ้า ใช้พาหนะที่มีความต่ำต้อยกว่ามุสลิมเพื่อเป็นการแยกแยะ และเป็นที่อนุญาตให้พวกเขาเข้ามัสยิดได้ โดยหวังให้พวกเขาได้เข้ารับอิสลาม ..........(พยายามทำให้พวกเขาดูต้ำต้อย)
ไม่อนุญาตในการยืนเพื่อแสดงการให้เกียรติแก่พวกเขา ไม่เริ่มต้นในการกล่าวสลามแก่พวกเขา หากพวกเขาได้เริ่มกล่าวสลามก่อนจำเป็นที่ต้องกล่าวตอบโดยให้กล่าวว่า “วะอะลัยกุม” ..........(ไม่สลามกับคนต่างศาสนา)
เมื่อพวกเขาไม่ยอมจ่ายส่วย ชีวิตและทรัพย์สินของเขาเป็นที่อนุญาต เขาก็จะกลายเป็นศัตรูคู่ศึก ในกรณีเช่นนี้ให้ผู้นำเป็นคนเลือกระหว่างฆ่า ปล่อยให้เป็นทาส ปล่อยโดยไม่มีเงื่อนไข หรือแลกตัวประกัน ให้พิจารณาตามประโยชน์ที่เห็นว่าเหมาะสม
ไม่เป็นที่อนุญาตให้พวกยิว คริสเตียน และบรรดาผู้ปฏิเสธ พำนักอาศัยอยู่อย่างถาวรในคาบสมุทรอาหรับ ส่วนการเข้ามาอยู่เพื่อทำงานนั้นอนุญาตให้มาอยู่ได้ในกรณีที่มีความจำเป็นโดยมีเงื่อนไขว่ามุสลิมจะปลอดภัยจากความชั่วร้ายของพวกเขา(หมายถึงอารเบีย )
โบสถ์คริสต์ โบสถ์ยิวเป็นศาสนสถานแห่งการตั้งภาคีและการปฏิเสธ และผืนปฐพีทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์แห่งอัลลอฮ แท้จริงอัลลอฮฺได้สั่งห้ามการเคารพสักการะต่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากพระองค์อัลลอฮฺ