พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด ๑๓ ก.พ.๕๘

พระอภัยมณีฉบับเร่งรัด

ชุดที่ ๔ ศรีสุวรรณผจญภัย

ตอนที่ ๑ "ต้องอ้อยอิ่งอดเปรี้ยวไว้กินหวาน”

ฑ.มณฑา

ในคราวที่ พระอภัยมณี ถูกนางผีเสื้อสมุทรลักพาตัวเอาไปกบดานไว้นั้นศรีสุวรรณ น้องชาย กับเพื่อนพราหมณ์สามนาย
คือ โมรา สานน และ วิเชียร กำลังหลับสนิทอยู่ด้วยเสียงปี่อันศักดิ์สิทธิ์ของพระอภัย จนกระทั่งเย็นย่ำน้ำค้างพรม
จึงค่อย ๆ พลิกฟื้นตื่นขึ้นมา ก็ปรากฏว่าเสียงปี่เงียบไปแล้ว และตัวพระอภัยผู้เป่า ก็หายไปข้างไหนไม่รู้
จึงช่วยกันตามหาไปจนถึงชายหาด ก็เห็นรอยเท้าอันยาวใหญ่มหึมาจึงรู้ว่ามียักษ์มาลักเอาตัวพระอภัยไปอย่างแน่นอน
ศรีสุวรรณนั้นเสียใจจนสลบไป เพื่อนทั้งสามช่วยกันแก้ไขให้ฟื้นคินสติแล้วก็ปลอบประโลมว่า

"อันกำเนิดเกิดมาในหล้าโลก
สุขกับโศกมิได้สิ้นอย่าสงสัย
ซึ่งเกิดเหตุเชษฐาเธอหายไป
ก็ยังไม่รู้เห็นว่าเป็นตาย"

พราหมณ์สานนจึงจับยามสามตา แล้วพยากรณ์ว่า

"อย่าครวญคร่ำรำพึงถึงพระพี่
มีสตรีพาไปดังใจหมาย
เขาอุปถัมภ์ค้ำชูอยู่สบาย
พอเคราะห์คลายเห็นจะพบประสบกัน
อยู่ข้างทิศอาคเณย์ทะเลลึก
พระอย่านึกแหนงว่าจะอาสัญ
เรารีบเร่งออกเรือเผื่อจะทัน
แล้วพากันลงมาเภตรากล"

พราหมณ์โมราก็เอาหญ้าแห้งมามัดเข้า แล้วก็เสกให้เป็นเรือสำเภา แล่นออกไปในทะเลลึก
เที่ยวติดตามหาพระอภัยเป็นแรมปี ก็ไม่ได้ร่องรอยว่าจะพบเจอ จนกระทั่งเรือสำเภายนต์ลำนี้
ได้แล่นมาถึงเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง

พอจะเข้าปากน้ำก็เจอนายด่านซึ่งตั้งกองระวังป้องกันอยู่ ตีกลองห้ามไม่ให้ล่วงล้ำน่านน้ำเข้าไป ทั้งสี่นายก็จอดเรือไว้หน้าด่านแล้วจุดไฟเผาสำเภาหญ้าไหม้โพลงไปทั้งลำ ชาวด่านต้องมาช่วยกันดับไฟ แต่ก็ไม่สำเร็จ คงลุกไหม้โทรมมอดจนจมน้ำไป
ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรือเนรมิตร

แล้วพวกพราหมณ์ทั้งสี่รวมทั้งศรีสุวรรณ ก็ขึ้นไปหานายด่านบนฝั่ง แนะนำตัวว่าเป็นพราหมณ์พี่น้องกันทั้งสี่คน
สานนเป็นคนโต ที่สองวิเชียร ที่สามโมรา และสุดท้องคือศรีสุวรรณ ได้เรียนวิชาแพทย์
รักษาผู้เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคต่าง ๆ เรียนจบแล้วจะกลับบ้านเมือง ก็ลงเรือมาหาตัวยาสมุนไพรตามเกาะแก่งที่ผ่านมา
บังเอิญเจอพายุใหญ่ ทั้งนายท้ายและลูกเรือก็ถูกพายุพัดตกน้ำตายกันหมด เหลือเพียงสี่คน จึงพาเรือแล่นเปะปะ
พลัดหลงมาจนถึงเมืองนี้ โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็พอดีเคราะห์ร้ายเกิดไฟไหม้เรือจนลงอีก จนเหลือแต่ตัวไม่มีสมบัติอะไรเหลือเลย
และไม่รู้หนทางว่าจะไปไหนอีกด้วย จึงต้องอ้อนวอนขออาศัยอยู่ที่นี่ไปก่อน

นายด่านได้ฟังก็เชื่อสนิท บอกให้รู้ว่าเมืองนี้ชื่อเมืองรมจักร มีกษัตริย์ผู้ครองนครชื่อท้าวทศวงศ์ มีพระธิดาชื่อ แก้วเกษรา
มีผิวกายหอมลมุน อายุได้สิบห้าปี ซึ่งปีกลายนี้ ท้าวอุเทน เชื้อชาติชวาได้ส่งฑูตมาสู่ขอเพื่ออภิเษกเป็นมเหสี
แต่ท้าวทศวงศ์ไม่ยินยอมยกให้ เพราะเห็นว่าเป็นคนนอกศาสนา แต่ก็เกรงว่าท้าวอุเทนจะยกกองทัพมาทำศึก
จึงต้องตั้งกองรักษาด่านป้องกันอยู่ที่ปากแม่น้ำ คาดว่าปีหน้าถึงเดือนยี่เข้าฤดูแล้ง คงจะยกกำลังมาทำสงครามกันแน่

นายด่านมีความสงสารพราหมณ์ทั้งสี่ ก็ยอมให้อาศัยอยู่ด้วยตามที่ขอร้อง แต่ทั้งสี่หนุ่มอยากจะเที่ยวชมเมืองก่อน
นายด่านก็ตามใจพาไปเดินชมเมือง ตามถนนหนทางต่าง ๆ จนถึงเขตวังหลวงก็ห้ามปรามว่าถ้าพบผู้หญิงแถวนี้
อย่าได้ทำเกาะแกะเกี้ยวพาราสีเป็นอันขาด เพราะส่วนใหญ่จะเป็นชาววังทั้งนั้นจะมีความผิดต้องโทษได้
ทั้งสี่นายก็รับปากกับนายด่านแต่โดยดี แล้วก็พากันเดินเข้าไปชมวังชั้นนอก ซึ่งมีโรงรถ โรงม้า โรงช้าง
และผ่านสนามใหญ่สำหรับฝึกหัดทหาร ไปจนถึงท้ายวัง ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ แม่ค้าแม่ขายร้องทักทาย
เจ้าพราหมณ์รูปงามทั้งสี่นายตลอดทาง แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้ตอแยด้วย

จนกระทั่งได้เจอกับ นางกระจง ซึ่งเป็นบ่าวในโรงครัวหลวง ออกมาจ่ายตลาด เกิดหลงใหลพ่อพราหมณ์คนสุดท้อง
เที่ยวเดินติดตามชมโฉมถึงขนาดทิ้งกระบุงตะกร้า แล้วซื้อดอกไม้เอาไปให้พราหมณ์ศรีสุวรรณ
พราหมณ์น้อยก็อายผู้คนในตลาดต้องรีบเดินหนีไปทางอื่น นางกระจงโดนพวกชาวตลาดโห่ฮา ก็โกรธย้อนด่าให้

จนเวลาบ่ายคล้อย ท่านยายหัวหน้าโรงครัวคอยนางกระจงไม่เห็นกลับโรงครัว จึงใช้ให้คนออกมาตามหา
เจอนางกระจงเที่ยวเดินตามหลังพราหมณ์ทั้งสี่อยู่ ก็เข้าไปลากตัวกลับเข้าวัง นางกระจงกลัวความผิดเลยซัดว่า
เป็นเมียพราหมณ์คนเล็ก แต่หนีหายไป เมื่อเจอตัวก็จะตามกลับเข้าวัง ท่านยายยิ่งโกรธจัดจึงไปฟ้องพี่เลี้ยงพระธิดา
ซึ่งมีอยู่สี่คน คือ นางประภาวดี จงกล อุบล และ ศรีสุดา ว่านางกระจงไปคบชู้สู่ชายที่หลังวัง
พี่เลี้ยงทั้งสี่อยากจะเห็นหน้าชายผู้นั้นจึงให้เจ้าหน้าที่กรมวังไปตามตัวมาสอบสวน

กรมวังก็พานางกระจงไปชี้ตัวพราหมณทั้งสี่ ที่ยังเดินอยู่ในตลาดนั้นเอง กรมวังก็เข้าไปควบคุมตัว
จะพาเข้าไปสอบสวนในวัง นายด่านก็บอกว่าหลานของแกไม่ได้ทำผิดอะไร นางกระจงมายุ่งด้วยเองต่างหาก
จะไม่ยอมให้กรมวังพาตัวไป กรมวังจึงต้องปลอบว่า อย่าเพิ่งขัดขืนเพราะพี่เลี้ยงพระธิดาขอดูตัวเท่านั้น
ทั้งหมดจึงเข้าไปในวัง

ฝ่ายพระพี่เลี้ยงทั้งสี่ พอเห็นหน้าพราหมณ์เข้าก็เกิดอาการหลงใหลเช่นเดียวกับนางกระจงเข้าอีก
จึงแกล้งหน่วงเหนี่ยวไว้ บอกว่าเวลาเย็นแล้วยังไม่สอบสวน ให้กรมวังพาไปฝากไว้ที่บ้านคนทำสวนก่อน
พราหมณ์ทั้งสี่เห็นว่าตัวเป็นคนบริสุทธิ์ ก็ยินดีที่จะอยู่ จึงขอร้องให้นายด่านกลับบ้านไปก่อน เมื่อเสร็จเรื่องราวแล้วจะไปหา

กรมวังก็นำตัวจำเลยทั้งสี่มามอบให้ตายายคนเฝ้าสวน แจ้งเรื่องเสร็จแล้วก็ลากลับไป สองตายายคิดว่าเป็นคนโทษ
กลัวจะหนี จึงให้เข้าไปอยู่ในห้อง ส่วนตนเองออกมานอนเฝ้าที่หน้าระเบียง ศรีสุวรรณนั้นวิตกทุกข์ร้อนว่าตนไม่มีความผิด
กลับต้องมาถูกควบคุมตัว แต่เพื่อนพราหมณ์ซึ่งแก่วัยกว่าไม่เดือดร้อน สงสัยว่าจะเป็นอุบายอะไรสักอย่างหนึ่ง
ถ้าพรุ่งนี้พระพี่เลี้ยงออกมาสอบสวน ก็จะลองคารมกันดูสักพักหนึ่ง เพราะแต่ละคนก็งามไม่ใช่น้อย
และดูท่าทีว่าจะมีไมตรีด้วย ศรีสุวรรณยิ่งไม่ชอบใจหนักขึ้น

"พระฟังความสามนายยิ่งอายนัก
ไม่รู้จักรักร่วมภิรมย์สม
จึงว่าถึงนางฟ้ามาให้ชม
ไม่นิยมเลยพี่เป็นความจริง
ใจน้องหวังฟังเหตุพระเชษฐา
ใช่จะมาท่องเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง
พี่รักเขาชาววังยังประวิง
ก็อ้อยอิ่งไปเถิดน้องไม่ต้องการ"

ทางฝ่ายในวัง พี่เลี้ยงทั้งสี่ก็พูดคุยกันถึงพราหมณ์ที่ได้ไปพบมาว่างามนักหนา
ยิ่งคนสุดท้องแล้วช่างสมกับพระธิดาเสียจริง ๆ แต่ก็พูดเลี่ยงไปมา ว่าเป็นความฝันของนางประภาวดี
แก้ฝันกับนางจงกลนี พระธิดาเกษราได้ฟังแล้วรู้ทันก็โกรธ

"ถึงจีนจามพราหมณ์แขกที่แปลกชาติ
พี่สวาทแล้วมาเปรียบประเทียบฉัน
แกล้งลวงเล่นเห็นรู้ไม่เท่าทัน
แต่เช่นนั้นแล้วอย่านึกคะนึงปอง
อันชาตินี้แน่ะพี่อย่าพักหมาย
ไม่คบชายเชยชมประสมสอง
ถึงมาทแม้นมังสาจะทาทอง
ก็ไม่ปองปรารถนาอย่าพาที"

รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งสองตายายคนเฝ้าสวน ก็ถือโอกาสใช้ให้พราหมณ์ทั้งสี่เกลอที่ได้รับฝากให้ควบคุมตัว
ทำงานสวนแทนแกเสียเลย โดยแจกจอบให้คนละอัน แล้วก็เอาผ้าปูเข้าที่ใต้ต้นชมภู่ นอนหลับครอกไป
พราหมณ์ทั้งสามก็ให้ศรีสุวรรณอยู่เฉย ๆ ตนเองช่วยกันจับจอบถากหญ้าในสวน ตามที่ตาเฒ่าวัดพื้นที่กำหนดเขตให้ทุกคน
แล้วปลอบใจศรีสุวรรณว่า

"ธรรมดามาเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง
ต้องอ้อยอิ่งอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
เราอุตส่าห์พยายามตามโบราณ
เป็นการมั่นคงอย่าสงกา"

ศรีสุวรรณนั้นไม่สนใจเรื่องผู้หญิงยิงเรืออยู่แล้วก็บ่นว่า

"ถึงจะชักนางฟ้าลงมาให้
ที่จะใช้ถากหญ้านั้นอย่าหมาย
พระฮึดฮัดขัดใจไม่สบาย
ทั้งสามนายเมินหน้าถากหญ้าไป"

จนกระทั่งพี่เลี้ยงของพระธิดาเข้ามาเยี่ยมในสวน เจ้าพราหมณ์ทั้งสามจึงเข้าไปชวนคุยเกี้ยวพาราสี
จนถูกใจกันทั้งสองฝ่าย แต่ยังไม่ตกลงกันได้ว่าใครจะคู่กับใคร เพราะพราหมณ์มีสามคน ฝ่ายพี่เลี้ยงมีสี่คน
นางพี่เลี้ยงก็สั่งให้ย้ายเข้าไปนอนที่ในตำหนักจันทร์ ใกล้ตำหนักพระธิดาเข้าไปอีก
ทั้งสี่นายจะได้มีความสุขสบายขึ้นไม่ต้องถางหญ้าให้มือระบมอีก

ต่อมาอีกวันหนึ่ง พี่เลี้ยงทั้งสี่ก็ชักชวนให้นางเกษรามาชมดอกไม้ในสวนจนได้ประสบพบกับศรีสุวรรณ
ด้วยบุพเพสันนิวาสแต่ปางก่อน ทั้งสองฝ่ายก็มีจิตพิศวาสต่อกันและกัน ตั้งแต่แรกประสานสายตาเพียงแว่บเดียว
แล้วก็เก็บเอาไปคร่ำครวญถึงกันอยู่ตลอดคืน

จากนั้นก็อาศัยพี่เลี้ยงทั้งสี่เป็นสื่อ นำสารเพลงยาวส่งถึงกัน จนกระทั่งศรีสุวรรณได้แลกพระธำรงค์
กับกับผ้าสใบของนางเกษราไว้ดูต่างหน้า
ส่วนพราหมณ์สานนก็จับคู่กับนางอุบล โมรากับนางประภาวดี และวิเชียรกับนางจงกล
เหลือแต่นางศรีสุดาไม่มีคู่ก็หงุดหงิดกระฟัดกระเฟียดไปตามเรื่อง จะเถียงทะเลาะก็สู้เขาไม่ได้
เพราะเป็นสามต่อหนึ่ง ครั้นเอาเรื่องไปฟ้องนางเกษราก็เข้าเป็นพวกเดียวกันเสียอีก
จนปัญญาเข้าก็ต้องนอนเอามือก่ายหน้าผาก เป็นทุกข์ร้อนอยู่คนเดียวเปลี่ยวเอกา

ขณะนั้นก็พอดี ท้าวอุเทน ยกทัพมาตีเมืองรมจักรดังที่คาดโดยยกมาเป็นสามด้าน ทางปากน้ำนั้นมีเรือกำปั่นประมาณห้าพันลำ
จอดปิดอ่าวอยู่หน้าเมือง ทิศเหนือมีทหารม้าประมาณห้าหมื่น บุกเข้าตีบ้านด่าน
ทิศตะวันตกเป็นทหารเดินเท้าเข้าประชิดถึงชานเมือง
ท้าวทศวงศ์ก็จัดทัพเป็นสามกองเหมือนกัน มีพลกองละสองหมื่น ออกไปยันทัพข้าศึกไว้
ส่วนในเมืองมีพลประมาณสี่หมื่น ขึ้นระวังรักษาป้อมและเชิงเทินรอบเมือง
กองทัพของอำมตย์ที่ส่งออกไปปะทะกับข้าศึก ก็แตกพ่ายเข้ามาทั้งสามด้าน
กองทัพหลวงของท้าวอุเทนก็เคลื่อนเข้ามาล้อมเมืองไว้ แล้วเขียนสารแจ้งให้ท้าวทศวงศ์ส่งตัวนางเกษราไปอภิเษกด้วย
แล้วจะได้ยกทัพกลับ แต่ถ้าขัดขืนก็จะตีเมืองให้ย่อยยับลง

ท้าวทศวงศ์ปรึกษาหารือ กับเสนามหาอำมาตย์ทั้งหลายแล้ว ต่างก็เห็นควรให้ส่งพระธิดาไป เพื่อรักษาชีวิตของทหาร
และไพร่พลเมืองไว้ ท้าวทศวงศ์ก็จนใจ จึงขอประวิงเวลาไว้คิดดูก่อน สักสามวัน.

##########
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่