เบนจามิน เกรแฮม คือปรมาจารย์การลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 เขาได้รับยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า” เกรแฮมเป็นผู้นำเสนอทฤษฏีใหม่ๆ ต่อแวดวงการลงทุนโลก ในยุคที่ทุกคนต่างมองหุ้นเป็นการเก็งกำไร นอกจากนี้ ตัวเขายังเป็นที่ปรึกษาและอาจารย์ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุคปัจจุบัน
เกรแฮมจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียด้วยผลการเรียนที่เยี่ยมยอด ก่อนจะไปทำงานในวอลสตรีทร่วมสิบปี และเติบโตในสายงานอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงออกมาตั้งบริษัทจัดการกองทุนของตัวเอง และได้ร่วมหุ้นกับ พอล นิวแมน ในเวลาต่อมา ทั้งนี้ เกรแฮมได้ลงทุนด้วยทฤษฏีการลงทุนที่ตัวเองคิดค้นขึ้น และประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม โดยทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ร่วม 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งสูงกว่าตลาดเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ด้วยจิตวิญญาณของนักวิชาการ เกรแฮมยังกลับไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียควบคู่ไปด้วย และได้เขียนหนังสือสองเล่ม ซึ่งโด่งดังและได้รับการยอมรับสูงมากในแวดวงการลงทุนสหรัฐฯ นั่นก็คือ “Security Analysis” หรือ “การวิเคราะห์หลักทรัพย์” และ “The Intelligent Investor” หรือ “นักลงทุนผู้ชาญฉลาด”
โดยเฉพาะหนังสือเล่มหลัง ที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้อ่านตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นและประทับใจมาก จนตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยโคลัมเบียเพื่อที่จะได้เรียนกับเกรแฮม บัฟเฟตต์เคยกล่าวไว้ว่า The Intelligent Investor จากปลายปากกาของเกรแฮม คือหนังสือการลงทุนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
หลักที่เป็นหัวใจของทุกทฤษฏีการลงทุนของเกรแฮมก็คือ การ “ใช้เหตุผล” ในการลงทุน โดยให้คว้าโอกาสจากความผิดพลาดของตลาด อย่าไปบ้าคลั่งตามมัน
เกรแฮมเปรียบเทียบตลาดหุ้นซึ่งมีแต่ความผันผวนและไร้เหตุผลเป็นเสมือนมนุษย์คนหนึ่ง สมมุติชื่อว่า “Mr.Market”หรือ “คุณตลาด” ชายผู้มีพฤติกรรมแปรปรวน บางวันก็ตื่นกลัวจนไร้สติ บางวันก็อารมณ์ดีเกินเหตุ โดยนักลงทุนต้องรู้จักหาประโยชน์จากความไม่มีเหตุผลของเพื่อนที่แสนดีผู้นี้
นอกจากนี้ เกรแฮมยังชี้ชัดอีกว่า ในการเข้าซื้อหุ้นเพื่อลงทุนนั้น ควรมี “Margin of Safety”หรือ “ส่วนต่างแห่งความปลอดภัย” ราคาหุ้นที่เข้าไปซื้อ ต้องต่ำกว่า “Intrinsic Value” หรือ “มูลค่าโดยเนื้อแท้” ของบริษัท เพื่อเป็นเกราะป้องกันความเสียหายจากการลงทุนหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
ที่สำคัญคือ นักลงทุนต้องมอง “หุ้น” เป็นส่วนหนึ่งของ “ธุรกิจ” ต้องมองภาพให้ออกว่าการ “เข้าซื้อหุ้น” คือการ “เข้าซื้อธุรกิจ” อย่ามองหุ้นแบบ “นักเก็งกำไร” คือเข้าไปซื้อหุ้นเพียงเพราะหวังว่าราคาของมันจะสูงขึ้นไป โดยไม่สนใจพื้นฐานใดๆ ไม่สนใจว่าบริษัททำธุรกิจอะไร อย่างไร
แม้หลักการลงทุนของเกรแฮม จะเป็นการเสนอการลงทุนในมิติใหม่ให้กับแวดวงการลงทุนโลก แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นหลักที่ “เข้มงวด” และมีความเป็น “อนุรักษ์นิยม” จนเกินไป ทั้งยังเน้นหนักแต่ตัวเลขและงบการเงิน ซึ่งหากยึดหลักของเกรแฮมอย่างเคร่งครัด นักลงทุนอาจสูญเสียโอกาสในการลงทุนงามๆ มากมาย
ในช่วงที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เรียนจบใหม่ๆ เขาได้มาทำงานให้เกรแฮมอยู่ 2 ปี โดยลงทุนด้วยวิธีของเกรแฮมอย่างเคร่งครัด หลายปีต่อมา บัฟเฟตต์ได้พัฒนาตัวเองขึ้นไป และเอาหลักการลงทุนของเกรแฮมไปปรับใช้ โดยเน้นไปที่ “คุณภาพ” ของกิจการมากขึ้น มิใช่ดูแค่เพียง “ตัวเลข” ซึ่งทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างสูงและกลายเป็นนักลงทุนผู้มั่งคั่งที่สุดในโลกจนถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม บัฟเฟตต์ก็ยังยกคุณความดีให้กับเกรแฮม โดยบอกว่า หลักการลงทุนที่เขาเอามาใช้จนร่ำรวยมหาศาลนั้น มาจากเกรแฮม 85%และ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ 15% ซึ่งเป็นเครื่องรับประกันถึงความยิ่งใหญ่ของ เบนจามิน เกรแฮม “บิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า” ผู้นี้ได้เป็นอย่างดี
สุดยอดตำราลงทุน..."เบนจามิน เกรแฮม"
หนังสือนักลงทุนผู้ชาญฉลาด(The Intelligent Investor) เขียนโดยเบนจามิน เกรแฮม(Benjamin Graham)ถือเป็นหนังสือคลาสสิกของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
นักลงทุนวีไอทุกคนควรอ่านหนังสือเล่มนี้ เป็นโชคดีของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าในเมืองไทยที่คุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข ผู้แปลหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนหลายเล่มได้ลิขสิทธิ์แปลหนังสือเล่มนี้ออกมาเป็นภาษาไทยให้ได้อ่านกัน ถ้าอ่านภาษาอังกฤษต้นฉบับสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคย อาจต้องใช้เวลานานหรือเลิกล้มกลางคันเพราะภาษาที่ใช้ค่อนข้างเก่าและอ่านยาก
นักลงทุนผู้ชาญฉลาด หรือ Intelligent Investor ในความหมายของเกรแฮมไม่ได้หมายความว่า นักลงทุนคนนั้นเป็นผู้ที่มีความฉลาดทางปัญญา หรือไอคิวสูง หรือมีการศึกษาที่สูง แต่หมายถึงนักลงทุนที่มีอุปนิสัยดังนี้
• มีความอดทน และมีวินัยในการลงทุน
• ขวนขวายหาความรู้อยู่เสมอ
• ศึกษาและทำความเข้าใจกิจการอย่างละเอียดรอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้นนั้นๆ
• ควบคุมอารมณ์ไม่ให้มาก้าวก่ายเหตุผลได้เป็นอย่างดี
ในหนังสือยังยกตัวอย่างถึงนักปราชญ์ในอดีตอย่างเซอร์ไอแซค นิวตัน (Sir Issac Newton) ที่พวกเรารู้จักกันดีว่ามีความฉลาดเป็นเลิศ ผลงานของท่านอย่างกฎของนิวตันยังใช้กันอยู่จนกระทั่งบัดนี้ ท่านเซอร์ผู้นี้เป็นนักลงทุนเช่นกัน ท่านเคยลงทุนในหุ้นบริษัทเซาท์ซี (South Sea) ในช่วงหนึ่งราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงมากอย่างไม่มีเหตุผล ท่านจึงตัดสินใจล้างพอร์ตของท่านทำกำไรไปประมาณ 7,000 ปอนด์ นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ดี แต่ในที่สุดราคาหุ้นก็ยังปรับตัวสูงขึ้นหลังจากท่านขายออกไปแล้ว ท่านทนไม่ไหวกลับเข้าไปซื้อหุ้นนี้อีกในราคาที่สูงกว่าที่ขายออกไป สุดท้ายท่านขาดทุนไป 20,000 ปอนด์ ถ้าหากคิดมูลค่าปัจจุบันแล้วก็น่าจะราวๆ 3 ล้านเหรียญสหรัฐ เอาเป็นเงินไทยน่าจะประมาณ 10 ล้านบาท ท่านเจ็บใจมาก ห้ามมิให้ใครพูดคำว่าเซาท์ซีให้ท่านได้ยินอีกตลอดชีวิต
คนที่มีความฉลาดปราดเปรื่องมากๆ ยังพลาดได้ในตลาดหุ้น ซึ่งก็ไม่แปลกหากนักลงทุนทั่วไปจะพลาดกับตลาดหุ้นจนย่ำแย่ นั่นไม่ได้หมายความว่าเราไม่ฉลาด เพียงแต่เรายังไม่ได้สร้างอุปนิสัยสำคัญของการเป็นนักลงทุนผู้ชาญฉลาดไว้ในตัวต่างหาก ในกรณีของท่านเซอร์ไอแซค นิวตันคาดว่าท่านพยายามทำทุกขั้นตอนมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่มาพลาดตอนจบ คือไม่สามารถควบคุมอารมณ์ไม่ให้มาก้าวก่ายเหตุผลได้ โดยปล่อยให้อารมณ์ความโลภเข้ามาครอบงำจิตใจได้จนหมดสิ้น จนเกิดความกล้าอย่างประหลาด ในที่สุดก็พลาดกับเรื่องง่ายๆ ทั้งๆ ที่ท่านเองก็คิดว่ามันไม่มีเหตุผลใดๆ มาสนับสนุนให้ราคามันสูงขึ้นได้ขนาดนั้น
เรื่องแบบนี้มันเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบไม่สิ้นในตลาดหุ้นอยู่ตลอดเวลา นักลงทุนผู้ชาญฉลาดควรพยายามฝึกจิตให้มั่นคง พยายามสร้างคุณสมบัติทุกอย่างอย่างที่ควรจะมีอย่างที่เกรแฮมกล่าวไว้ นอกเหนือจากนั้นในหนังสือยังมีตัวอย่างการลงทุนอีกมาก นักลงทุนที่สนใจในการลงทุนแบบเน้นคุณค่าควรอ่านและเก็บรักษาหนังสือเล่มนี้ไว้เป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะผ่านมาหลายสิบปีแต่หลักการในหนังสือเล่มนี้ยังใช้ได้ดีอยู่เสมอ
ที่มา : http://www.thaistockvi.com/p/blog-page_25.html
ติดตามอ่านข่าวสารการลงทุน
Facebook Fan Page :
https://www.facebook.com/setlnw
Facebook Fan Page :
https://www.facebook.com/setvii
Web Blog
SetLnw ประเทศไทย http://setlnw.com/
ยำหุ้นประเทศไทย http://yamhun.blogspot.com/
หุ้นVI ประเทศไทย http://www.thaistockvi.com/
วอร์เรนต์ บัฟเฟตต์ http://warrenbuffettsay.blogspot.com/
เบนจามิน เกรแฮม Benjamin Graham (1894-1976) “บิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า”
เบนจามิน เกรแฮม คือปรมาจารย์การลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 เขาได้รับยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า” เกรแฮมเป็นผู้นำเสนอทฤษฏีใหม่ๆ ต่อแวดวงการลงทุนโลก ในยุคที่ทุกคนต่างมองหุ้นเป็นการเก็งกำไร นอกจากนี้ ตัวเขายังเป็นที่ปรึกษาและอาจารย์ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุคปัจจุบัน
เกรแฮมจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียด้วยผลการเรียนที่เยี่ยมยอด ก่อนจะไปทำงานในวอลสตรีทร่วมสิบปี และเติบโตในสายงานอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงออกมาตั้งบริษัทจัดการกองทุนของตัวเอง และได้ร่วมหุ้นกับ พอล นิวแมน ในเวลาต่อมา ทั้งนี้ เกรแฮมได้ลงทุนด้วยทฤษฏีการลงทุนที่ตัวเองคิดค้นขึ้น และประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม โดยทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ร่วม 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งสูงกว่าตลาดเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ด้วยจิตวิญญาณของนักวิชาการ เกรแฮมยังกลับไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียควบคู่ไปด้วย และได้เขียนหนังสือสองเล่ม ซึ่งโด่งดังและได้รับการยอมรับสูงมากในแวดวงการลงทุนสหรัฐฯ นั่นก็คือ “Security Analysis” หรือ “การวิเคราะห์หลักทรัพย์” และ “The Intelligent Investor” หรือ “นักลงทุนผู้ชาญฉลาด”
โดยเฉพาะหนังสือเล่มหลัง ที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้อ่านตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นและประทับใจมาก จนตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยโคลัมเบียเพื่อที่จะได้เรียนกับเกรแฮม บัฟเฟตต์เคยกล่าวไว้ว่า The Intelligent Investor จากปลายปากกาของเกรแฮม คือหนังสือการลงทุนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
หลักที่เป็นหัวใจของทุกทฤษฏีการลงทุนของเกรแฮมก็คือ การ “ใช้เหตุผล” ในการลงทุน โดยให้คว้าโอกาสจากความผิดพลาดของตลาด อย่าไปบ้าคลั่งตามมัน
เกรแฮมเปรียบเทียบตลาดหุ้นซึ่งมีแต่ความผันผวนและไร้เหตุผลเป็นเสมือนมนุษย์คนหนึ่ง สมมุติชื่อว่า “Mr.Market”หรือ “คุณตลาด” ชายผู้มีพฤติกรรมแปรปรวน บางวันก็ตื่นกลัวจนไร้สติ บางวันก็อารมณ์ดีเกินเหตุ โดยนักลงทุนต้องรู้จักหาประโยชน์จากความไม่มีเหตุผลของเพื่อนที่แสนดีผู้นี้
นอกจากนี้ เกรแฮมยังชี้ชัดอีกว่า ในการเข้าซื้อหุ้นเพื่อลงทุนนั้น ควรมี “Margin of Safety”หรือ “ส่วนต่างแห่งความปลอดภัย” ราคาหุ้นที่เข้าไปซื้อ ต้องต่ำกว่า “Intrinsic Value” หรือ “มูลค่าโดยเนื้อแท้” ของบริษัท เพื่อเป็นเกราะป้องกันความเสียหายจากการลงทุนหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
ที่สำคัญคือ นักลงทุนต้องมอง “หุ้น” เป็นส่วนหนึ่งของ “ธุรกิจ” ต้องมองภาพให้ออกว่าการ “เข้าซื้อหุ้น” คือการ “เข้าซื้อธุรกิจ” อย่ามองหุ้นแบบ “นักเก็งกำไร” คือเข้าไปซื้อหุ้นเพียงเพราะหวังว่าราคาของมันจะสูงขึ้นไป โดยไม่สนใจพื้นฐานใดๆ ไม่สนใจว่าบริษัททำธุรกิจอะไร อย่างไร
แม้หลักการลงทุนของเกรแฮม จะเป็นการเสนอการลงทุนในมิติใหม่ให้กับแวดวงการลงทุนโลก แต่ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นหลักที่ “เข้มงวด” และมีความเป็น “อนุรักษ์นิยม” จนเกินไป ทั้งยังเน้นหนักแต่ตัวเลขและงบการเงิน ซึ่งหากยึดหลักของเกรแฮมอย่างเคร่งครัด นักลงทุนอาจสูญเสียโอกาสในการลงทุนงามๆ มากมาย
ในช่วงที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เรียนจบใหม่ๆ เขาได้มาทำงานให้เกรแฮมอยู่ 2 ปี โดยลงทุนด้วยวิธีของเกรแฮมอย่างเคร่งครัด หลายปีต่อมา บัฟเฟตต์ได้พัฒนาตัวเองขึ้นไป และเอาหลักการลงทุนของเกรแฮมไปปรับใช้ โดยเน้นไปที่ “คุณภาพ” ของกิจการมากขึ้น มิใช่ดูแค่เพียง “ตัวเลข” ซึ่งทำให้เขาประสบความสำเร็จอย่างสูงและกลายเป็นนักลงทุนผู้มั่งคั่งที่สุดในโลกจนถึงทุกวันนี้
อย่างไรก็ตาม บัฟเฟตต์ก็ยังยกคุณความดีให้กับเกรแฮม โดยบอกว่า หลักการลงทุนที่เขาเอามาใช้จนร่ำรวยมหาศาลนั้น มาจากเกรแฮม 85%และ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ 15% ซึ่งเป็นเครื่องรับประกันถึงความยิ่งใหญ่ของ เบนจามิน เกรแฮม “บิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า” ผู้นี้ได้เป็นอย่างดี
สุดยอดตำราลงทุน..."เบนจามิน เกรแฮม"
หนังสือนักลงทุนผู้ชาญฉลาด(The Intelligent Investor) เขียนโดยเบนจามิน เกรแฮม(Benjamin Graham)ถือเป็นหนังสือคลาสสิกของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
นักลงทุนวีไอทุกคนควรอ่านหนังสือเล่มนี้ เป็นโชคดีของนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าในเมืองไทยที่คุณพรชัย รัตนนนทชัยสุข ผู้แปลหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนหลายเล่มได้ลิขสิทธิ์แปลหนังสือเล่มนี้ออกมาเป็นภาษาไทยให้ได้อ่านกัน ถ้าอ่านภาษาอังกฤษต้นฉบับสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคย อาจต้องใช้เวลานานหรือเลิกล้มกลางคันเพราะภาษาที่ใช้ค่อนข้างเก่าและอ่านยาก
นักลงทุนผู้ชาญฉลาด หรือ Intelligent Investor ในความหมายของเกรแฮมไม่ได้หมายความว่า นักลงทุนคนนั้นเป็นผู้ที่มีความฉลาดทางปัญญา หรือไอคิวสูง หรือมีการศึกษาที่สูง แต่หมายถึงนักลงทุนที่มีอุปนิสัยดังนี้
• มีความอดทน และมีวินัยในการลงทุน
• ขวนขวายหาความรู้อยู่เสมอ
• ศึกษาและทำความเข้าใจกิจการอย่างละเอียดรอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้นนั้นๆ
• ควบคุมอารมณ์ไม่ให้มาก้าวก่ายเหตุผลได้เป็นอย่างดี
ในหนังสือยังยกตัวอย่างถึงนักปราชญ์ในอดีตอย่างเซอร์ไอแซค นิวตัน (Sir Issac Newton) ที่พวกเรารู้จักกันดีว่ามีความฉลาดเป็นเลิศ ผลงานของท่านอย่างกฎของนิวตันยังใช้กันอยู่จนกระทั่งบัดนี้ ท่านเซอร์ผู้นี้เป็นนักลงทุนเช่นกัน ท่านเคยลงทุนในหุ้นบริษัทเซาท์ซี (South Sea) ในช่วงหนึ่งราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงมากอย่างไม่มีเหตุผล ท่านจึงตัดสินใจล้างพอร์ตของท่านทำกำไรไปประมาณ 7,000 ปอนด์ นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ดี แต่ในที่สุดราคาหุ้นก็ยังปรับตัวสูงขึ้นหลังจากท่านขายออกไปแล้ว ท่านทนไม่ไหวกลับเข้าไปซื้อหุ้นนี้อีกในราคาที่สูงกว่าที่ขายออกไป สุดท้ายท่านขาดทุนไป 20,000 ปอนด์ ถ้าหากคิดมูลค่าปัจจุบันแล้วก็น่าจะราวๆ 3 ล้านเหรียญสหรัฐ เอาเป็นเงินไทยน่าจะประมาณ 10 ล้านบาท ท่านเจ็บใจมาก ห้ามมิให้ใครพูดคำว่าเซาท์ซีให้ท่านได้ยินอีกตลอดชีวิต
คนที่มีความฉลาดปราดเปรื่องมากๆ ยังพลาดได้ในตลาดหุ้น ซึ่งก็ไม่แปลกหากนักลงทุนทั่วไปจะพลาดกับตลาดหุ้นจนย่ำแย่ นั่นไม่ได้หมายความว่าเราไม่ฉลาด เพียงแต่เรายังไม่ได้สร้างอุปนิสัยสำคัญของการเป็นนักลงทุนผู้ชาญฉลาดไว้ในตัวต่างหาก ในกรณีของท่านเซอร์ไอแซค นิวตันคาดว่าท่านพยายามทำทุกขั้นตอนมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่มาพลาดตอนจบ คือไม่สามารถควบคุมอารมณ์ไม่ให้มาก้าวก่ายเหตุผลได้ โดยปล่อยให้อารมณ์ความโลภเข้ามาครอบงำจิตใจได้จนหมดสิ้น จนเกิดความกล้าอย่างประหลาด ในที่สุดก็พลาดกับเรื่องง่ายๆ ทั้งๆ ที่ท่านเองก็คิดว่ามันไม่มีเหตุผลใดๆ มาสนับสนุนให้ราคามันสูงขึ้นได้ขนาดนั้น
เรื่องแบบนี้มันเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบไม่สิ้นในตลาดหุ้นอยู่ตลอดเวลา นักลงทุนผู้ชาญฉลาดควรพยายามฝึกจิตให้มั่นคง พยายามสร้างคุณสมบัติทุกอย่างอย่างที่ควรจะมีอย่างที่เกรแฮมกล่าวไว้ นอกเหนือจากนั้นในหนังสือยังมีตัวอย่างการลงทุนอีกมาก นักลงทุนที่สนใจในการลงทุนแบบเน้นคุณค่าควรอ่านและเก็บรักษาหนังสือเล่มนี้ไว้เป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะผ่านมาหลายสิบปีแต่หลักการในหนังสือเล่มนี้ยังใช้ได้ดีอยู่เสมอ
ที่มา : http://www.thaistockvi.com/p/blog-page_25.html
ติดตามอ่านข่าวสารการลงทุน
Facebook Fan Page : https://www.facebook.com/setlnw
Facebook Fan Page : https://www.facebook.com/setvii
Web Blog
SetLnw ประเทศไทย http://setlnw.com/
ยำหุ้นประเทศไทย http://yamhun.blogspot.com/
หุ้นVI ประเทศไทย http://www.thaistockvi.com/
วอร์เรนต์ บัฟเฟตต์ http://warrenbuffettsay.blogspot.com/