หนังเข้าฉายมานานพอสมควร กว่าจะได้ดูหนังก็เกือบจะลาโรง ก็มีเห็นคนวิจารณ์ตามสื่อต่างๆว่าหนังอืดบ้าง สนุกบ้าง สู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่ได้บ้าง แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร ไปพิสูจน์ด้วยตัวเองดีกว่า
AMERICAN SNIPER เป็นหนังอัตชีวประวัติของ คริส ไคลน์ อดีตพลแม่นปืนแห่งหน่วยซีล (ซึ่งหนังก็บอกให้เรารู้ว่าจริงๆหน่วยซีลที่เราเรียกกันติดปาก นั้นมาจากคำว่า Sea, Air, Land คือหน่วยที่เชี่ยวชาญการรบทั้ง ในน้ำ กลางอากาศ และ บนบก) ที่ได้รับการยกย่องว่าแม่นปืนที่สุดของกองทัพสหรัฐ สร้างชื่อในสงครามในอิรัก หนังเปิดเรื่องด้วยสถานการณ์บีบคั้นให้พระเอกของเรื่องเกิดความขัดแย้งในความคิด ว่าจะทำตามกฎของสนามรบหรือสามัญสำนึกด้านมนุษยธรรม ด้วยทางเลือกด้วยลั่นไกสังหารเด็กและผู้หญิง หลังจากนั้นจะเป็นการปูพื้น ให้รู้ถึงเรื่องราวก่อนจะมาเป็นซีล ซึ่งคงเป็นช่วงนี้ที่นักวิจารณ์บอกว่าหนังอืด แต่ถ้าไม่สนใจเสียงวิจารณ์ มองดูด้วยใจว่างๆ หนังมีเหตุและผลที่ต้องอธิบายที่มาที่ไปของการพัฒนาบุคลิกและความคิดของตัวเอกของเรื่อง
ในมุมมองของผม หนังถูกแบ่งออกไป 2 ส่วน คือ หนังนำเสนอภาพสงครามในมุมมองของคริส ไคลน์ กับ ภาพสงครามในมุมมองผู้กำกับคลิ้นท์ อิสต์วู้ด
- ในมุมมองของ คริส ไคลน์ สงครามสร้างบาดแผลให้กับตัวเอง และคนรอบข้าง การถูกปลูกฝังแนวคิดเป็นทหารให้รักและห้ามทิ้งคนในหน่วย ทำให้ชีวิตถูกยึดติดกับหน้าที่และสงคราม รวมทั้งภาพการสูญเสียได้สร้างทั้งความเย็นชาและความรู้สึกต้องล้างแค้นให้พวกพ้อง จนทำให้ลืมชีวิตส่วนตัว, คนรอบข้าง,มโนธรรม แล้วเลือกหลักการและกฎระเบียบ
- ส่วนในมุมมองของผู้กำกับ นำเสนอในแง่ สงครามไม่ได้ให้อะไรกับใครเลยนอกจากการสูญเสีย ไม่ว่าความเป็นตัวเอง ครอบครัว และ คนรอบข้าง สิ่งที่น่าสะเทือนใจคือผลสุดท้ายวีรบุรุษที่รอดมาจากสงครามกลับต้องมาตายบนแผ่นดินเกิด จากคนที่เขาตั้งใจจะช่วยเหลือ เพื่อล้างบางอย่างที่ติดตัวมาจากสงคราม!
แต่ไม่ว่าในมุมมองของใคร สงครามโหดร้ายเสมอ หนังถ่ายทอดภาพได้ดีมากว่า คนที่อยู่ในสมรภูมิพร้อมจะตายได้ทุกเวลา ภาพในสมรภูมิที่สมจริงและรู้สึกถึงสถานการณ์การตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของศัตรู ว่ามันอันตรายเพียงใด เราอาจวิจารณ์คนอื่นได้ง่าย แต่หากเราตกอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ ความคิดเราอาจเปลี่ยนไป ผมจึงดูหนังเรื่องนี้สนุก เพราะเข้าไปดูแบบไม่มีอคติใดๆ
ตัวหนังยอดเยี่ยมครับสมกับได้รับการเสนอให้เข้าชิงรางวัลออสการ์ปีนี้ แม้บางคนอาจแย้งว่าไม่เข้มข้นแบบหนังแนวเดียวกันที่ได้รับรางวัลออสการ์คือ THE HURT LOCKER หนังสงครามที่นำเสนอในแง่การเสพติดหรือตกอยู่ในวังวนของสงคราม ชีวิตหลังสงครามดูไม่มีจุดมุ่งหมายปลายทาง ทำให้หวนกลับเข้าหาสงครามอย่างไม่กลัวความตาย แต่ผมว่าเรื่องนั้นคนทั่วไปเข้าถึงยากกว่า และนี่คือหนังคุณภาพที่คนรักหนังสมควรต้องดู
ส่วนตัวผมหลังจากดูจบแล้ว ผมกลับเกิดความคิดของผมเองว่า เรากำลังอยู่ในสงครามของพระเจ้า(WAR OF GOD)รึเปล่า? ต่างฝ่ายต่างศาสนา ล้วนมีพระเจ้าของตน จะพลีชีพตนเองก็บอกว่าเพื่อพระเจ้า จะฆ่าคนก็เรียกถึงพระเจ้า แท้ที่จริงแล้วมนุษย์คือตัวแทนในการแย่งชิงอำนาจของพระเจ้ารึเปล่า? หาใช่ความสันติสุข หรือ พระเจ้าต้องการสงคราม???
[CR] รีวิว AMERICAN SNIPER ในมุมมองของผม
หนังเข้าฉายมานานพอสมควร กว่าจะได้ดูหนังก็เกือบจะลาโรง ก็มีเห็นคนวิจารณ์ตามสื่อต่างๆว่าหนังอืดบ้าง สนุกบ้าง สู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่ได้บ้าง แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร ไปพิสูจน์ด้วยตัวเองดีกว่า
AMERICAN SNIPER เป็นหนังอัตชีวประวัติของ คริส ไคลน์ อดีตพลแม่นปืนแห่งหน่วยซีล (ซึ่งหนังก็บอกให้เรารู้ว่าจริงๆหน่วยซีลที่เราเรียกกันติดปาก นั้นมาจากคำว่า Sea, Air, Land คือหน่วยที่เชี่ยวชาญการรบทั้ง ในน้ำ กลางอากาศ และ บนบก) ที่ได้รับการยกย่องว่าแม่นปืนที่สุดของกองทัพสหรัฐ สร้างชื่อในสงครามในอิรัก หนังเปิดเรื่องด้วยสถานการณ์บีบคั้นให้พระเอกของเรื่องเกิดความขัดแย้งในความคิด ว่าจะทำตามกฎของสนามรบหรือสามัญสำนึกด้านมนุษยธรรม ด้วยทางเลือกด้วยลั่นไกสังหารเด็กและผู้หญิง หลังจากนั้นจะเป็นการปูพื้น ให้รู้ถึงเรื่องราวก่อนจะมาเป็นซีล ซึ่งคงเป็นช่วงนี้ที่นักวิจารณ์บอกว่าหนังอืด แต่ถ้าไม่สนใจเสียงวิจารณ์ มองดูด้วยใจว่างๆ หนังมีเหตุและผลที่ต้องอธิบายที่มาที่ไปของการพัฒนาบุคลิกและความคิดของตัวเอกของเรื่อง
ในมุมมองของผม หนังถูกแบ่งออกไป 2 ส่วน คือ หนังนำเสนอภาพสงครามในมุมมองของคริส ไคลน์ กับ ภาพสงครามในมุมมองผู้กำกับคลิ้นท์ อิสต์วู้ด
- ในมุมมองของ คริส ไคลน์ สงครามสร้างบาดแผลให้กับตัวเอง และคนรอบข้าง การถูกปลูกฝังแนวคิดเป็นทหารให้รักและห้ามทิ้งคนในหน่วย ทำให้ชีวิตถูกยึดติดกับหน้าที่และสงคราม รวมทั้งภาพการสูญเสียได้สร้างทั้งความเย็นชาและความรู้สึกต้องล้างแค้นให้พวกพ้อง จนทำให้ลืมชีวิตส่วนตัว, คนรอบข้าง,มโนธรรม แล้วเลือกหลักการและกฎระเบียบ
- ส่วนในมุมมองของผู้กำกับ นำเสนอในแง่ สงครามไม่ได้ให้อะไรกับใครเลยนอกจากการสูญเสีย ไม่ว่าความเป็นตัวเอง ครอบครัว และ คนรอบข้าง สิ่งที่น่าสะเทือนใจคือผลสุดท้ายวีรบุรุษที่รอดมาจากสงครามกลับต้องมาตายบนแผ่นดินเกิด จากคนที่เขาตั้งใจจะช่วยเหลือ เพื่อล้างบางอย่างที่ติดตัวมาจากสงคราม!
แต่ไม่ว่าในมุมมองของใคร สงครามโหดร้ายเสมอ หนังถ่ายทอดภาพได้ดีมากว่า คนที่อยู่ในสมรภูมิพร้อมจะตายได้ทุกเวลา ภาพในสมรภูมิที่สมจริงและรู้สึกถึงสถานการณ์การตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของศัตรู ว่ามันอันตรายเพียงใด เราอาจวิจารณ์คนอื่นได้ง่าย แต่หากเราตกอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ ความคิดเราอาจเปลี่ยนไป ผมจึงดูหนังเรื่องนี้สนุก เพราะเข้าไปดูแบบไม่มีอคติใดๆ
ตัวหนังยอดเยี่ยมครับสมกับได้รับการเสนอให้เข้าชิงรางวัลออสการ์ปีนี้ แม้บางคนอาจแย้งว่าไม่เข้มข้นแบบหนังแนวเดียวกันที่ได้รับรางวัลออสการ์คือ THE HURT LOCKER หนังสงครามที่นำเสนอในแง่การเสพติดหรือตกอยู่ในวังวนของสงคราม ชีวิตหลังสงครามดูไม่มีจุดมุ่งหมายปลายทาง ทำให้หวนกลับเข้าหาสงครามอย่างไม่กลัวความตาย แต่ผมว่าเรื่องนั้นคนทั่วไปเข้าถึงยากกว่า และนี่คือหนังคุณภาพที่คนรักหนังสมควรต้องดู
ส่วนตัวผมหลังจากดูจบแล้ว ผมกลับเกิดความคิดของผมเองว่า เรากำลังอยู่ในสงครามของพระเจ้า(WAR OF GOD)รึเปล่า? ต่างฝ่ายต่างศาสนา ล้วนมีพระเจ้าของตน จะพลีชีพตนเองก็บอกว่าเพื่อพระเจ้า จะฆ่าคนก็เรียกถึงพระเจ้า แท้ที่จริงแล้วมนุษย์คือตัวแทนในการแย่งชิงอำนาจของพระเจ้ารึเปล่า? หาใช่ความสันติสุข หรือ พระเจ้าต้องการสงคราม???