ท้าวความก่อนนะครับ น้องสาวผมชื่อ A นามสมมุติ เค้าทำงานอยู่ที่บริษัทรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง เข้าทำงานเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2555 ตำแหน่งแคชเชียร์ทำจนถึงเดือนตุลาคม 2556 แล้วน้อง A ก็มาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์บริษัทเดิมแต่ย้ายตำแหน่ง เป็นลูกค้าสัมพันธ์ เดือน พฤศจิกายน 2556 แล้วลาออกเมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ 2557
เรื่องมีอยู่ว่า
ตอนที่น้อง A ทำงานอยู่ใน บริษัทประมาณต้นเดือนมิถุนายน 2556 ออดิตจะเข้ามาตรวจสอบการเงินของบริษัทประมาณสิ้นเดือนมิถุนายน 2556มีเจ้าหน้าที่บัญชีโทรมาให้น้อง A หาเอกสารของลูกค้าเคสหนึ่ง ว่าออกรถไปวันไหน เงินฝากเข้าบัญชีบริษัทวันไหน เพราะว่าทางบัญชีไม่มียอดเงินของรถลูกค้าคันนี้เลย แต่รถปล่อยให้ลูกค้าตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ ปี 2556 แต่น้อง A ก็ได้หาเอกสารร่วมกันกับพี่ๆที่น้องทำงานด้วยกันแต่ปรากฎว่าไม่พบเจอเอกสารและยอดเงินที่หายไป ทางบริษัทเลยตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบถามข้อมูลเบื้องต้น ได้ดังนี้ครับ
1.เซลล์ปล่อยรถวันอาทิตย์ซึ้งตรงกับวันหยุดของน้อง A เค้าพอดีแล้วได้นำเงินสดกลับบ้านด้วยโดยไม่ได้บอกกับ ผจก
แล้วผมก็เลยตั้งคำถามว่า ทำไมเซลล์คนนั้นไม่นำเงินฝากธนาคารทั้งที่เค้าก็มีเลขที่บัญชีเงินฝากของบริษัท
2.เซลล์บอกว่าเอาเงินมาให้น้องในวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันที่น้อง A เค้าทำงานแต่พนักงานที่นั่งอยู่ด้วยกันไม่มีใครรู้ใครเห็นว่าน้องเค้าได้รับเงินจริงหรือเปล่า
3.เซลล์มีแค่เอกสารสำเนาถ่ายเอกสารว่าน้อง A เค้าเซ็นชื่อในเอกสารแต่มันไม่ชัดมีรอยปรูประ ขาดๆๆ
4.แล้วตอนนั้นน้อง A เค้าก็ไม่ได้ทำคนเดียวน้องยังอยู่ในระหว่างฝึกงาน
4.1 ระหว่างช่วงที่เกิดเหตุมีคนสอนงานอยู่
4.2 มีคนช่วยน้องนับเงิน
4.3 มีเจ้าหน้าที่อีกคนที่เก็บกุญแจตู้เซ็ฟ
4.4 มีเจ้าหน้าที่คนอื่นนำเงินไปฝากธนาคารที่ไม่ใช่น้อง
5.แล้วทาง ผจกก็ได้ตกลงกันฟ้องเอาผิดน้อง A คดียักยอกทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว
ผมเลยตั้งคำถามต่อมาว่า
1. ทำไม ผจก ไม่ฟ้องทั้งเซลล์ซึ่งเป็นคนรับเงินมาจากลูกค้า แล้วไม่มีใครรู้เห็นว่าน้องผมรับเงินมาจริงหรือไม่ แบบว่าฟ้องคู่นะครับ ฟ้องเซลล์กับน้อง A เค้าด้วย แบบว่าถ้าศาลตัดสินออกมาว่าใครคนใดคนหนึ่งถูกอีกคนก็ต้องผิด
2. มีแม่บ้านมาบอกวันที่ขึ้นศาลว่าเห็นน้อง A เค้าถือเงินเข้าห้องน้ำช่างแล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่ตอนนั้นแล้วทำไมพึ่งมาบอกวันที่ขึ้นศาล
3. บอกว่าทางบริษัทไม่รู้หรอกว่าใครเอาเงินไป แต่ที่ฟ้องน้องก็คือน้องทำตำแหน่งแคชเชียร์
4. ที่จริงบริษัทต้องไตร่ตรองความถูกต้องก่อนที่จะฟ้องใช่ไหมครับ ไม่งั้นถ้าเงินหายก็โทษแต่แคชเชียร์ผิดโดยหน้าที่หมดนะสิ
แต่ตอนนี้ศาลชั้นต้นตัดสินออกมาแล้วว่าน้อง A เค้าไม่ได้ผิด แต่ทำไมทางบริษัทถึงจะอุธรณ์น้องเค้าต่อครับผมเลยเกิดคำถามว่าทำไมไม่ลองไปฟ้องเซลล์ดูล่ะ ลองได้พูดคุยกับ ผจก ก็บอกแค่ว่าต้องถึงที่สุดก่อนแล้วค่อยฟ้องเซลล์ และที่ผ่านมาน้องเค้าลำบากมากครับต้องหาเงินจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบที่เอามาประกันตัวเอง ไปทำงานที่ไหนได้ไม่นานบริษัทก็ให้ออกเพราะตรวจพบประวัติที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะทำธุระกรรมเกี่ยวกับการเงินก็ไม่ได้
ผมจึงขอรบกวนขอคำปรึกษาหน่อยสิครับ แล้วที่สำคัญน้องเค้ามาจากอีสานหนีความยากจนมาหาเงินแต่กลับต้องเจอเรื่องร้ายๆแบบนี้ ผมอยากรู้ว่าถ้า
บริษัทอุธรณ์ต่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2558 แล้วผมต้องฟ้องใครกลับบ้างครับ มีหน่วยงานที่คอยช่วยเหลือบ้างไหมครับ ที่จริงผมอยากให้เรื่องจบไวไวเพราะสงสารน้อง A และครอบครัวของเขาที่ต้องแบกรับภาระหนี้สินใว้ครับ
คดียักยอกแบบนี้ ผมจะช่วยน้องสาวผมได้อย่างรัยครับ
เรื่องมีอยู่ว่า
ตอนที่น้อง A ทำงานอยู่ใน บริษัทประมาณต้นเดือนมิถุนายน 2556 ออดิตจะเข้ามาตรวจสอบการเงินของบริษัทประมาณสิ้นเดือนมิถุนายน 2556มีเจ้าหน้าที่บัญชีโทรมาให้น้อง A หาเอกสารของลูกค้าเคสหนึ่ง ว่าออกรถไปวันไหน เงินฝากเข้าบัญชีบริษัทวันไหน เพราะว่าทางบัญชีไม่มียอดเงินของรถลูกค้าคันนี้เลย แต่รถปล่อยให้ลูกค้าตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ ปี 2556 แต่น้อง A ก็ได้หาเอกสารร่วมกันกับพี่ๆที่น้องทำงานด้วยกันแต่ปรากฎว่าไม่พบเจอเอกสารและยอดเงินที่หายไป ทางบริษัทเลยตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบถามข้อมูลเบื้องต้น ได้ดังนี้ครับ
1.เซลล์ปล่อยรถวันอาทิตย์ซึ้งตรงกับวันหยุดของน้อง A เค้าพอดีแล้วได้นำเงินสดกลับบ้านด้วยโดยไม่ได้บอกกับ ผจก
แล้วผมก็เลยตั้งคำถามว่า ทำไมเซลล์คนนั้นไม่นำเงินฝากธนาคารทั้งที่เค้าก็มีเลขที่บัญชีเงินฝากของบริษัท
2.เซลล์บอกว่าเอาเงินมาให้น้องในวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันที่น้อง A เค้าทำงานแต่พนักงานที่นั่งอยู่ด้วยกันไม่มีใครรู้ใครเห็นว่าน้องเค้าได้รับเงินจริงหรือเปล่า
3.เซลล์มีแค่เอกสารสำเนาถ่ายเอกสารว่าน้อง A เค้าเซ็นชื่อในเอกสารแต่มันไม่ชัดมีรอยปรูประ ขาดๆๆ
4.แล้วตอนนั้นน้อง A เค้าก็ไม่ได้ทำคนเดียวน้องยังอยู่ในระหว่างฝึกงาน
4.1 ระหว่างช่วงที่เกิดเหตุมีคนสอนงานอยู่
4.2 มีคนช่วยน้องนับเงิน
4.3 มีเจ้าหน้าที่อีกคนที่เก็บกุญแจตู้เซ็ฟ
4.4 มีเจ้าหน้าที่คนอื่นนำเงินไปฝากธนาคารที่ไม่ใช่น้อง
5.แล้วทาง ผจกก็ได้ตกลงกันฟ้องเอาผิดน้อง A คดียักยอกทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว
ผมเลยตั้งคำถามต่อมาว่า
1. ทำไม ผจก ไม่ฟ้องทั้งเซลล์ซึ่งเป็นคนรับเงินมาจากลูกค้า แล้วไม่มีใครรู้เห็นว่าน้องผมรับเงินมาจริงหรือไม่ แบบว่าฟ้องคู่นะครับ ฟ้องเซลล์กับน้อง A เค้าด้วย แบบว่าถ้าศาลตัดสินออกมาว่าใครคนใดคนหนึ่งถูกอีกคนก็ต้องผิด
2. มีแม่บ้านมาบอกวันที่ขึ้นศาลว่าเห็นน้อง A เค้าถือเงินเข้าห้องน้ำช่างแล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่ตอนนั้นแล้วทำไมพึ่งมาบอกวันที่ขึ้นศาล
3. บอกว่าทางบริษัทไม่รู้หรอกว่าใครเอาเงินไป แต่ที่ฟ้องน้องก็คือน้องทำตำแหน่งแคชเชียร์
4. ที่จริงบริษัทต้องไตร่ตรองความถูกต้องก่อนที่จะฟ้องใช่ไหมครับ ไม่งั้นถ้าเงินหายก็โทษแต่แคชเชียร์ผิดโดยหน้าที่หมดนะสิ
แต่ตอนนี้ศาลชั้นต้นตัดสินออกมาแล้วว่าน้อง A เค้าไม่ได้ผิด แต่ทำไมทางบริษัทถึงจะอุธรณ์น้องเค้าต่อครับผมเลยเกิดคำถามว่าทำไมไม่ลองไปฟ้องเซลล์ดูล่ะ ลองได้พูดคุยกับ ผจก ก็บอกแค่ว่าต้องถึงที่สุดก่อนแล้วค่อยฟ้องเซลล์ และที่ผ่านมาน้องเค้าลำบากมากครับต้องหาเงินจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบที่เอามาประกันตัวเอง ไปทำงานที่ไหนได้ไม่นานบริษัทก็ให้ออกเพราะตรวจพบประวัติที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะทำธุระกรรมเกี่ยวกับการเงินก็ไม่ได้
ผมจึงขอรบกวนขอคำปรึกษาหน่อยสิครับ แล้วที่สำคัญน้องเค้ามาจากอีสานหนีความยากจนมาหาเงินแต่กลับต้องเจอเรื่องร้ายๆแบบนี้ ผมอยากรู้ว่าถ้า
บริษัทอุธรณ์ต่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2558 แล้วผมต้องฟ้องใครกลับบ้างครับ มีหน่วยงานที่คอยช่วยเหลือบ้างไหมครับ ที่จริงผมอยากให้เรื่องจบไวไวเพราะสงสารน้อง A และครอบครัวของเขาที่ต้องแบกรับภาระหนี้สินใว้ครับ