ไม่มีใครอยากอยู่ในสงคราม เพราะสงครามมีแต่การบาดเจ็บ ล้มตาย สงครามอิรักเป็นสงครามครั้งหนึ่งของสหรัฐอเมริกาที่ทำมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานตั้งแต่ปีค.ศ. ๒๐๐๓ ตัวเลขอย่างเป็นทางการของผู้เสียชีวิตในสงครมอิรักจัดทำโดยกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ[1] คือ ๔,๔๗๘ คน และมีผู้บาดเจ็บ ๓๒,๒๔๔ คน ยังไม่นับความเสียหายที่เกิดกับจิตใจและการด้อยความสามารถในการเข้าสังคมปกติ ด้วยเหตุนี้ทหารอเมริกันเกินครึ่งจึงขอปฏิบัติการในอิรักแค่เพียง ๑ ทัวร์[2] (ทัวร์[3] เป็นคำที่ใช้เรียกจำนวนครั้งในการออกไปปฏิบัติงานทางทหารในเขตแดนของข้าศึก ระยะเวลาของ ๑ ทัวร์[4] แตกต่างกันไปตามหน่วยงานทางทหาร สำหรับนาวิกโยธินจะมีระยะเวลาประมาณ ๑๒-๑๕ เดือน)
แต่ไม่ใช่สำหรับชายที่ชื่อ คริส ไคย์ (Chris Kyle) เขาถูกฝึกจากหน่วยซีล (Seal) เข้าร่วมรบในสงครามอิรักถึง ๔ ทัวร์ในตำแหน่งพลแม่นปืนหรือสไนปเปอร์ (Sniper) เพื่อนๆเรียกเขาว่าเป็น "ตำนาน" (Legend) เพราะเขาสามารถสังหารศัตรูได้มากกว่าพลแม่นปืนคนใดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา
หนังเรื่องนี้นำเสนอชีวิตของคริส ไคย์ ตั้งแต่ก่อนเข้าเป็นทหาร ระหว่าง และหลังการเป็นทหาร ๘๐ เปอร์เซนต์ของเรื่องจะเน้นหนักช่วงที่คริสเข้ารับใช้ชาติและออกรบในสงครามอิรัก คลินต์ อีสต์วูด (Clint Eastwood) ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ พยายามดำเนินเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีจุดพีก ไม่ฟูมฟาย แต่ดูแล้วทรงพลังและอดที่จะเอาใจช่วยให้ตัวเอกให้ผ่านสมรภูมิรบและสมรภูมิชีวิตไปให้ได้
ถ้าจะให้เปรียบเทียบ หนังเรื่องนี้มีลักษณะคล้าย The Hurt Locker อยู่มิใช่น้อย ทั้งสองต่างเล่าเรื่องราวของทหารหนึ่งนายที่อยู่ในสมรภูมิรบและวิบากกรรมที่ตัวเอกต้องเผชิญ ต่างกันตรงที่ The Hurt Locker เล่าแง่มุมของสงครามได้หลายแง่และเฉียบคมผสม-ดันอยู่ในที ในขณะที่ American Sniper เน้นหนักไปที่ประวัติของตัวเอกและบอกเล่าเรื่องราวในเชิงสดุดีทหารกล้าเสียมาก โดยส่วนตัวผู้เขียนชอบ The Hurt Locker มากกว่า เพราะไม่ได้อวยตัวเอกและความเป็นอเมริกันมากจนเกินไป
หนังเรื่องนี้เข้าชิงออสการ ๖ สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชาย, ตัดต่อภาพยนตร์, ตัดต่อเสียง, ผสมเสียง, บทภาพยนตร์ดัดแปลง) โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า หนังเรื่องนี้ยอดเยี่ยมแต่ดูจะยกย่องเกินจริงไปพอสมควร เหตุที่เป็นเช่นนี้ อาจเป็นเพราะหนังเชิดชูความเป็นอเมริกันฮีโร่ ซึ่งออสการ์ดูเหมือนจะหลงรักหนังประเภทนี้มากเป็นพิเศษ
สำหรับใครที่คิดจะไปดู แนะนำว่าให้รู้แค่เพียงที่ผู้เขียนบอกในบทความนี่เป็นพอ อย่ารู้ไปมากกว่านั้น มิฉะนั้นผู้อ่านจะดูหนังเรื่องนี้ไม่สนุก โดยเฉพาะตอนท้ายของเรื่อง
ขอจบด้วยคำคมของหนังเรื่องนี้ ที่อาจบอกเล่าถึงสาเหตุที่คริสยอมเข้าร่วมทัวร์ถึงสี่ครั้ง หมอถามเขาซึ่งปลดประจำการแล้วว่า "คุณเคยคิดไหม ว่าคุณได้เห็นหรือได้ทำ ในสิ่งที่คุณไม่อยากทำ?"
คริสตอบว่า "ไม่ นั้นไม่ใช่ผม ผมแค่ปกป้องคนของผม พวกนั้นพยายามฆ่าทหารของเรา ผมยินดีที่จะไปพบพระผู้สร้าง และพร้อมอธิบายทุกนัดที่ผมได้ยิงออกไป สิ่งที่ตามหลอกหลอนผมจริงๆคือ คนที่ผมไม่สามารถช่วยได้ ในตอนนี้ ผมอยากไปอยู่ที่นั้น (อิรัก) แต่ผมทำไม่ได้ ผมอยู่ที่นี้ ผมออกมาแล้ว"
[1]
http://www.defense.gov/NEWS/casualty.pdf
[2]
http://usatoday30.usatoday.com/news/military/2010-01-12-four-army-war-tours_N.htm
[3]
http://en.wikipedia.org/wiki/Tour_of_duty
[4]
https://answers.yahoo.com/question/index?qid=20090325180534AANrUFu
ที่มา
https://www.facebook.com/eyeonsilversheet
[CR] American Sniper : เกิดมาเพื่อเป็นฮีโร่
ไม่มีใครอยากอยู่ในสงคราม เพราะสงครามมีแต่การบาดเจ็บ ล้มตาย สงครามอิรักเป็นสงครามครั้งหนึ่งของสหรัฐอเมริกาที่ทำมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานตั้งแต่ปีค.ศ. ๒๐๐๓ ตัวเลขอย่างเป็นทางการของผู้เสียชีวิตในสงครมอิรักจัดทำโดยกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ[1] คือ ๔,๔๗๘ คน และมีผู้บาดเจ็บ ๓๒,๒๔๔ คน ยังไม่นับความเสียหายที่เกิดกับจิตใจและการด้อยความสามารถในการเข้าสังคมปกติ ด้วยเหตุนี้ทหารอเมริกันเกินครึ่งจึงขอปฏิบัติการในอิรักแค่เพียง ๑ ทัวร์[2] (ทัวร์[3] เป็นคำที่ใช้เรียกจำนวนครั้งในการออกไปปฏิบัติงานทางทหารในเขตแดนของข้าศึก ระยะเวลาของ ๑ ทัวร์[4] แตกต่างกันไปตามหน่วยงานทางทหาร สำหรับนาวิกโยธินจะมีระยะเวลาประมาณ ๑๒-๑๕ เดือน)
แต่ไม่ใช่สำหรับชายที่ชื่อ คริส ไคย์ (Chris Kyle) เขาถูกฝึกจากหน่วยซีล (Seal) เข้าร่วมรบในสงครามอิรักถึง ๔ ทัวร์ในตำแหน่งพลแม่นปืนหรือสไนปเปอร์ (Sniper) เพื่อนๆเรียกเขาว่าเป็น "ตำนาน" (Legend) เพราะเขาสามารถสังหารศัตรูได้มากกว่าพลแม่นปืนคนใดในประวัติศาสตร์ของอเมริกา
หนังเรื่องนี้นำเสนอชีวิตของคริส ไคย์ ตั้งแต่ก่อนเข้าเป็นทหาร ระหว่าง และหลังการเป็นทหาร ๘๐ เปอร์เซนต์ของเรื่องจะเน้นหนักช่วงที่คริสเข้ารับใช้ชาติและออกรบในสงครามอิรัก คลินต์ อีสต์วูด (Clint Eastwood) ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ พยายามดำเนินเรื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีจุดพีก ไม่ฟูมฟาย แต่ดูแล้วทรงพลังและอดที่จะเอาใจช่วยให้ตัวเอกให้ผ่านสมรภูมิรบและสมรภูมิชีวิตไปให้ได้
ถ้าจะให้เปรียบเทียบ หนังเรื่องนี้มีลักษณะคล้าย The Hurt Locker อยู่มิใช่น้อย ทั้งสองต่างเล่าเรื่องราวของทหารหนึ่งนายที่อยู่ในสมรภูมิรบและวิบากกรรมที่ตัวเอกต้องเผชิญ ต่างกันตรงที่ The Hurt Locker เล่าแง่มุมของสงครามได้หลายแง่และเฉียบคมผสม-ดันอยู่ในที ในขณะที่ American Sniper เน้นหนักไปที่ประวัติของตัวเอกและบอกเล่าเรื่องราวในเชิงสดุดีทหารกล้าเสียมาก โดยส่วนตัวผู้เขียนชอบ The Hurt Locker มากกว่า เพราะไม่ได้อวยตัวเอกและความเป็นอเมริกันมากจนเกินไป
หนังเรื่องนี้เข้าชิงออสการ ๖ สาขา (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชาย, ตัดต่อภาพยนตร์, ตัดต่อเสียง, ผสมเสียง, บทภาพยนตร์ดัดแปลง) โดยส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า หนังเรื่องนี้ยอดเยี่ยมแต่ดูจะยกย่องเกินจริงไปพอสมควร เหตุที่เป็นเช่นนี้ อาจเป็นเพราะหนังเชิดชูความเป็นอเมริกันฮีโร่ ซึ่งออสการ์ดูเหมือนจะหลงรักหนังประเภทนี้มากเป็นพิเศษ
สำหรับใครที่คิดจะไปดู แนะนำว่าให้รู้แค่เพียงที่ผู้เขียนบอกในบทความนี่เป็นพอ อย่ารู้ไปมากกว่านั้น มิฉะนั้นผู้อ่านจะดูหนังเรื่องนี้ไม่สนุก โดยเฉพาะตอนท้ายของเรื่อง
ขอจบด้วยคำคมของหนังเรื่องนี้ ที่อาจบอกเล่าถึงสาเหตุที่คริสยอมเข้าร่วมทัวร์ถึงสี่ครั้ง หมอถามเขาซึ่งปลดประจำการแล้วว่า "คุณเคยคิดไหม ว่าคุณได้เห็นหรือได้ทำ ในสิ่งที่คุณไม่อยากทำ?"
คริสตอบว่า "ไม่ นั้นไม่ใช่ผม ผมแค่ปกป้องคนของผม พวกนั้นพยายามฆ่าทหารของเรา ผมยินดีที่จะไปพบพระผู้สร้าง และพร้อมอธิบายทุกนัดที่ผมได้ยิงออกไป สิ่งที่ตามหลอกหลอนผมจริงๆคือ คนที่ผมไม่สามารถช่วยได้ ในตอนนี้ ผมอยากไปอยู่ที่นั้น (อิรัก) แต่ผมทำไม่ได้ ผมอยู่ที่นี้ ผมออกมาแล้ว"
[1] http://www.defense.gov/NEWS/casualty.pdf
[2] http://usatoday30.usatoday.com/news/military/2010-01-12-four-army-war-tours_N.htm
[3] http://en.wikipedia.org/wiki/Tour_of_duty
[4] https://answers.yahoo.com/question/index?qid=20090325180534AANrUFu
ที่มา
https://www.facebook.com/eyeonsilversheet