คนเดินดิน...กับเส้นทางอีกสายหนึ่ง (ต่อ)

สิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนั้น คือจุดเริ่มต้น ของผม และสิ่งที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนั้น คือ เส้นทาง ที่ผมเดินผ่านมาครับ หวังว่าคงจะมีประโยชน์กับใครบ้างนะครับ แล้วก็ขอให้สนุกกันนะครับผม เพราะเริ่มมีเรื่องราวสนุกๆแล้วคัรบ ^^
       หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นเด็กน้อยคนนั้นได้จุดประกายในใจผมว่า หากเราทำได้ ก็ควรทำให้มันถึงที่สุด ผมทำมาเรื่อยๆ อาจจะไม่ได้จริงจังหรือว่าเคร่งครัดขนาดนักปฏิบัติธรรมเลยนะครับ เพราะผมก็ยังเด้กแล้วก็ยังติดเพื่อนติดอะไรอยู่ แต่ก็ทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจ และใจจริงครับ เหตุการณ์นั้นผ่านมาปีกว่าๆจนผมขึ้นมา ม. ปลายแล้ว ทางเดินที่เห็นมันเริ่มชัดกเจนขึ้น เสียงที่ได้ยินเริ่มชัดเจนขึ้น สิ่งที่มองเห็นเริ่มมีความหมายมากขึ้น เราเริ่มพูดคุยกับ พวกเขาได้มากขึ้น เราเริ่ม ช่วยเหลือเขาเหล่านั้นได้
        ในวันนึงที่ผมและเพื่อนๆไปเที่ยวกัน ไปกันหลายที่ครับเดือนไปเรื่อยๆ ตอนนั้นไป ตจว. กันแอบที่บ้านไปก็เป็นจังหวดใกล้ๆกันครับนั่งรถเมล์ไม่ถึง ชม. ผมเดินกันไปเรื่อยๆ เพื่อนผมก็แวะเข้าร้านหนังสือร้านหนึ่ง ผมเดินไปเรื่อยๆ จนไปสะดุดตากับหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือนั้นเก่ามาก ฝุ่นงี้เขรอะเลยครับ บนปกหนังสือนยั้นเขียนไว้ว่า ร่าง เป็นชื่อหนังสือ เป็นหนังสือเก่าครับ เก่ามากก แต่ผมรู้สึกติดใจว่า อยากอ่าน อยากมากๆ แต่ตอนนั้นก็ไม่ค่อยมีตังค์ครับ เพราะม.ปลายเอง แล้วก็ไม่เคยซื้อหนังสือแบบนี้ อย่างมากก็การ์ตูนเล่มละ 40 กว่าบาท คิดว่าหนังสือแบบนี้ต้องแพงแน่เลย แต่มันอยากได้จริงๆครับ ก็เลยคิดว่าถ้าไม่พอยืมตังค์เพื่อนก่อนละกัน
        ผมเดินไปที่เคาท์เตอร์จ่ายตังค์หน้าร้าน เจ้าของร้านเป็นคุณตาแก่ๆครับ ใจดีมากๆ พอผมยื่นหนังสือให้คุณตาดู แก็มองผม งงๆ คงจะประมาณว่า เด็กๆสนใจหนังสือเก่าๆด้วยหรอ ผมก็ยิ้มๆให้แกในใจนี่เต้นแรงครับ ไม่ใช่อะไร ถ้าตังค์ไม่พอ จะทำไงวะ ตอนนั้นคิดแต่แบบนี้ 55
‘มันมีสองเล่ม เอาไปด้วยเลยละกัน’
        คุณตาพูดแบบนั้นแล้วหายไปในมุมเดิมที่ผมเดินออกมา ผมตกใจมาก เล่มเดียวก็กลัวเงินไม่พอจะแย่แล้ว แล้วนี่ยังตั้ง 2 เล่ม จะปฏิเสธตาแกก็เดินไปหยิบมาแล้ว เอาไงดี หนังสือปกแข็งด้วย แพงแน่ๆ ผมพยายามมองหาเพื่อน ซึ่งมันมุงการ์ตูนกันอยู่ไม่สนใจผมเลย จนคุณตาเดินกลับมาพร้อมหนังสือเล่มนึงในมือ ปกและรายละเอียดนั้นเหมือนกันทุกประการต่างกันแค่ เลข 2 ที่อยู่ตรงสันปก
‘ตาครับ ผมเอาเล่มเดียวได้ไหม กลัวตังค์ไม่พอ’ ผมยิ้มแหยๆให้คุณตา ในใจคิดว่า โดนแน่ๆ
‘เอาไปเถอะ มันเก่าแล้ว ขายไม่ได้หรอก อีกอย่างหนังสือแบบนี้เขาเลือกคนอ่าน’
‘อะไรนะตา?’ แกฟันไม่ค่อยเหลือแล้วก็ฟังไม่ชัดเจน
‘เออน่ะ เอาไปๆ 2 เล่ม 99 พอ’
        ผมก็อึ้งไปเลยครับว่าทำไมให้ถูกจัง มือสองก็ไม่ใช่เพราะพลาสติกยังห่ออย่างดีอยู่เลย มีแค่ฝุ่นที่เกาะอยู่เท่านั้น ที่เหลือสภาพเหมือนหนังสือใหม่เลย แต่ด้วยความอยากอ่านครับ ก็ซื้อมา และไปไซโคเพื่อนๆให้ซื้อหนังสือร้านคุณตาติดมือกลับกันไปด้วย เพราะเกรงใจครับ ผมได้มาถูกเลยอยากอุดหนุนคุณตา
        เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน ผมก็เริ่มอ่านทันที เรื่องราวในตอนแรกๆนั้นเข้าใจยากหน่อยครับ เพราะใช้ภาษาที่สวยมาก สวยจนผมไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็พยายามอ่านครับ เพราะเนื้อหานั้นค่อนข้างจะ ตรง กับผมในหลายๆอย่างเลย ผมอ่านไปเรื่อยจนลืมดูเวลา แม่มาเรียกถึงในห้องว่าให้ไปกินข้าวได้แล้ว
‘ไปกินข้าว เรียกตั้งนานแล้วเนี่ยไม่มาตอบ ทำอะไรอยู่’
‘เรียกตอนไหนอะ ไม่เห็นได้ยินเลย’
‘เรียกจนคอแห้งแล้ว แล้วอ่านอะไรอยู่’
        ผมก็ส่งให้แม่ดูหนังสือที่ผมอ่านอยู่
‘ไปได้มาจากไหน’ แม่ผมดูตกใจมากพลิกไปพลิกมา ดูทั่วเล่มเลย
‘ร้านหนังสือเก่า’ ผมก็ งงๆ กับแม่ว่าจะตกใจอะไร
‘แม่หาเล่มนี้มานานมากๆ ตั้งแต่มายังเรียนไม่จบเลย แม่ชอบนักเขียนคนนี้มาก’
        จากนั้นแม่ก็เริ่มบรรยายสรรพคุณนักเขียนท่านนี้ให้ผมฟังบนโต๊ะกินข้าว และแน่นอนว่าแม่ยึดไปอ่านก่อนนั่นเอง ผมก็เลยต้องรอ ระหว่างนั้นแม่ก็ถามผมว่า
‘จำได้ไหม ตอนเด็กๆที่แม่พาไปวัดที่สุโขทัยอะ วัดอัมราวาด’ ผมก็ งงๆ นึกไม่ออก
        แม่เดินหายไปที่ชั้น 2 ของบ้านกลับมาพร้อมอัลบั้มรูป เป็นรูกฟิล์มล้างอะนะครับ ใส่อัลบั้มแบบสอด ผมชอบแบบนี้นะครับมันดูมีคุณค่าทางความทรงจำมากกว่ามาก๊อปลงคอมแล้วเปิดดู ไม่ก็ลงอัลบั้มในเฟสอะไรอย่างนี้ ในรูปก็เป็นผลตอนเด็กๆครั้บ น่าจะประมาณ ประถมต้นได้ เป็นรูปผมกับครอบครัว ไปทำบุญกัน ไปร่วมงานบวงสรวงอะไรสักอย่างที่วัดนั้น ผมก็ อ๋ออ ทันที พอจะนึกๆอะไรได้บ้างนิดหน่อยครับ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ผมเลยให้แม่เล่าให้ฟังซ้ำอีกที
               แม่อ่านเจอในนิตยาสารรายสัปดาห์ว่าจะมีงานบวงสรวงที่วัด อัมราวาด ที่สุโขทัย แม่เห็นว่าใกล้ ก็เลยพาผมไป ในงานคนเยอะมากครับ มากๆเลย เป็นงานบวงสรวงอะไรสักอย่างผมจำไม่ได้ แม่ก็จำไม่ได้ นานแล้ว ในงานมีปะลัมพิธีอยู่ แล้วมีงานวัดด้วย สนุกผมล่ะครับทีนี้ ผมก็เดินเล่นกับแม่ไปทั่วๆงาน กลางคืนก็ไปพัก โรงแรมกันจนถึงวันบวงสรวง แม่ผมไปเข้าห้องน้ำ ให้ผมยืนรอข้างนอก นานมาก เพราะคนเข้าเยอะมาก ผมซนมากครับสมัยนั้น เลยเดินเล่นไปทั่วๆ แล้วเหนื่อย ก็เลยไปนั่งพักที่ใต้ต้นโพธิ์รึ ต้นไทรนี่แหละครับ แปปนึงก็มีคุณยายท่านนึงเดินมาหาผมท่าทางใจดีครับ ยิ้มมาเลย ผมก็สวัสดีคุณยายเพราะดูแล้วว่าน่าจะมาหาผม เพราะตรงนั้นไม่มีใคร คุณยสยแค่ถามชื่อแล้วพูดคุยกับผม แต่ยิ้มตลอดครับ มีลูบหัวด้วย แปลกตรงที่ผมไม่รู้สึก กลัวหรือไม่ชอบยายเลย ผมรู้สึกดีใจด้วยซ้ำ สักพักก็มีคุณลุงคนนึงเดินมาเรียกคุณยาย ก่อนเดินจากไปคุณลุงมองผมด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนสงสัย
               ผมกับแม่มานั่งในเต๊นท์ที่ถูกจัดไว้ให้ผู้ร่วมงาน ซึ่งแน่นอนว่าแม่เบียดผู้คนเข้ามานั่งหน้าสุด จนได้ นั่งรอไปสักพักหนึ่ง หลังพระสงฆ์ท่านสวดมนต์ยาวๆเสร็จแล้ว ก็มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินออกมากลางปะลำพิธี โดยต้องเดินผ่านมุมที่ผมนั่งอยู่ไป ปรากฏว่าเป็นคุณยายกับคุณลุงสองคนที่ผมเจอเมื่อกี้เลยครับ ผมก็ งงๆ ไม่ได้คิดอะไร แล้วคุณยายก็เลี้ยวเดินมาทางผม
‘ดูไว้นะลูก ยายจะทำให้ดู ต่อไปจะไม่มีใครทำแล้วพิธีโบราณแบบนี้ จำไว้นะลูก เหนื่อยหน่อยนะ’ แล้วยายก็ยิ้มให้ผมโดยคุณลุงคนนนั้นก็ยังคงจ้องผมอยู่ (ประโยคนี้แม่เป็นคนบอกผมนะครับ เพราะผมจำไม่ค่อยได้)
              หลังจากแม่เล่าจบผมก็ถามว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหนังสือ ผลสรุปคือ คุณลุงที่เอาแต่จ้องผมในวันนั้น กับคนเขียนหนังสือเล่มนี้ เป็นคนคนเดียวกัน ผมตกใจมากๆ ว่ามันจะบังเอิญอะไรได้ขนาดนี้ แม่บอกว่าแม่ชอบนักเขียนทั้งสองท่านี้มาก แม่ติดตามมาตลอด ที่ไปงานนั้นเพราะอยากเจอตัวจริง
              หลังจากนั้นผมก็ติดตามอ่านหนังสือของทั้งสองท่านนี้มาโดยตลอด อย่างหนึ่งคือ มันเป็นเรื่องราวที่ผมอยากรู้และสงสัย อีกอย่างคือเขียนสนุกมากๆ เล่มแรกที่ผมได้อ่านคือ ร่าง ในนามปากกา ภูเตศวร และ ต่อมาคือ จิตตะเทวะ ในนามปากกา ทมยันตี หนังสือของทั้งสองท่านเหมือนเป็นแนวทางในความสงสัยในชีวิตของผม ทางออกต่างๆ คำแนะนำ เรื่องราวที่เราสงสัยว่ามีจริงหรือ และอีกอย่างคือ ผมสงสัยตลอดว่า มีใครที่ต้องมาเจอเรื่องราวอย่างนี้แบบผมอีกไหม หนังสือของทั้งสองท่านเหมือนเป็นกำลังใจให้ผมว่า เราไม่ได้บ้า ยังมีคนที่ผมเจออะไรแบบนี้เหมือนเรา ที่สำคัญคือเขาผ่านมันมาได้ และทำให้มันเกิดประโยชน์จากนั้นผมเริ่มตามหาหนังสือ ในนามปกกา ทมยันตีแทบทุกเล่ม และยังมีนามปากกาอื่นที่เป็นนักเขียนคนเดียวกัน มายาวดี ลักษณวดี ผมตามหาจนหมด ส่วนตัวผม ชอบ พิเธีย ครับ แต่สำหรับหลายๆคนที่ประสบปัญหาเหมือนผม แนะนำให้อ่าน จิตตะเทวะ แล้วก็ ทิพยอาภาครับ น่าจะช่วยได้มากเลย อีกอย่างผมไม่ได้รู้จักกับทั้งสองท่านเป็นการส่วนตัวนะครับ แต่ผมนับถือมากๆ
        ผมได้หลายๆอย่างจากหนังสือนั้น ทั้งความรู้แนวทางและสิ่งยืนยันภายในนั้นมากมาย แต่ความสงสัยของผมก็ไม่ได้หมดไปเลย ผมยังคงสงสัยตัวเองมาตลอดว่า นี่เรามีจริงๆใช่ไหม เราไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมจนวันนึงที่นั่งสมาธิอยู่ ก็บ่นกับ ท่าน ครับว่า
‘ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหมเนี่ย ช่วยทำให้ผมมั่นใจได้ไหม’
        ในคืนนั้นไม่มีเสียงตอบกลับมาครับ แต่ในวันรุ่งขึ้นก่อนที่ผมจะไป รร. ตอนนั้นมีมอไซด์แล้วก็เลยไม่ทันเจอแม่ก่อนแม่ไปทำงาน ผมแอบไปเห็นที่ชั้นหนังสือของแม่ มีหนังสือไพ่ยิปซีวางอยู่ แล้วก็มีสำรับไพ่อยู่ด้วย ด้วยอะไรไม่รู้ นึกสนุกครับ หยิบมาหมดเลย ทั้งไพ่ทั้งหนังสือ ระหว่างคาบเรียน ผมก็ลองเปิดๆหนังสือดู จำได้แค่วิธีวางไพ่ ตำแหน่งต่างๆครับ พอพักกลางวันก็เลยเรียกเพื่อนมาเป็น หนูทดลอง ผมให้เพื่อนสับไพ่ตัดไพ่ แล้วเลือกออกมา 10 ใบตอนนั้นผมกะว่า จะเปิดดูทีละใบเลยที่เพื่อนเลือก เพราะจะให้มานั่งอ่านทุกใบ ใครจะจำไหวครับ เมื่อเรียงไพ่ตามรูปแบบครบแล้ว
               อยู่ดีๆผมก็รู้สึกว่า ผมรู้ ในความหมายของหน้าไพ่ทุกใบ ผมไม่ได้เปิดหนังสือดูอีกเพราะอยากพิสูจน์อะไรบางอย่างเหมือนกัน ผมพูดไปตามสิ่งที่ผม รู้ขึ้นมาในใจ พูดไปในสิ่งที่ ไพ่บอกเรา มันไม่ใช่เสียงครับ แต่เป็นเหมือน คนที่ลืมอะไรไปแล้วนึกได้อะครับ ประมาณว่า แว้บเข้ามาในหัว ผมพูดให้เพื่อนฟังไปเยอะอยู่ครับ ส่วนมากเป็นเรื่องอดีต แล้วผมก็สะดุดใจกับสิ่งหนึ่งที่ผมพูดไปนั่นคือ ผมพูดไปว่า เพื่อนของผมคนนี้ มีญาติที่สนิทกันมาก แต่เสียไปแล้ว ซึ่งตลอดเวลาที่รู้จักกันมามันไม่เคยพูดให้ฟังเลย แต่คำตอบก็อยู่ตรงหน้าผม
               เมื่อเพื่อนคนนั้นร้องไห้ออกมา ฟูมฟายเลย ปกติจะเป็นคนเฮฮามากครับ เพื่อนก็เล่าให้ฟังว่า มีจริงๆ ญาติที่เสียไปแล้ว เป็นพี่สาว ของตัวเอง เสียตั้งแต่เด็กๆแล้ว รักกันมาก แต่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเพราะทุกครั้งที่นึกถึงจะร้องไห้แบบนี้ มันคิดถึงพี่สาวมาก ในขณะที่เพื่อนผมเล่านั้น ผมก็เห็นเด็กผู้หญิงแก้มป่องน่ารักมากคนหนึ่ง อายุไม่น่าเกิน 6 7 ขวบ ยืนอยู่ข้างๆเพื่อนผม มองใบหน้าเพื่อนผมอย่างเศร้าๆ แล้วจับที่ชายกางเกงเพื่อนผมไว้
               ผมบอกลักษณะของเด็กคนนั้นให้เพื่อนผมฟัง แล้วเพื่อมผมก็ทำตาโตใส่ผมพร้อมยื่นรูปในกระเป๋าตังค์ให้ดู ใช่ครับ ตรงกันเลย เพื่อนผมมากอดผมแน่นแล้วบอกว่า ขอบคุณมากที่ทำให้รู้ว่าพี่สาวไม่ได้ไปลำบากอยู่ที่ไหน มันอุ่นใจขึ้นเยอะเลย แล้วมันก็เริ่มที่จะพยายามตื่นเช้ามาตักบาตรบ่อยๆเพื่อให้พี่สาวมัน
               ผมยังคงอึ้งกับเหตุการณนี้ที่เกิดขึ้น หรือนี่จะเป็นคำตอบในสิ่งที่ผมบ่นออกไปเมื่อคืน ในตอนค่ๆแม่พาผมไปซื้อของที่ห้าง แล้วผมก็เดินไปในร้านหนังสือ ปกติเป็นคนชอบอ่านครับ อ่านมันทุกอย่าง ยกเว้นหนังสือเรียน = =’ ผมเดินไปเรื่อยๆแล้วไปสะดุดกับมุมหนึ่งที่เป็นเกี่ยวกับศาสนา อะไรพวกนี้ ผมไล่มือไปตามชั้นหนังสือจนไปสะดุดอยู่ที่หนังสือเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือหนาๆ ปกสีฟ้า ในนั้นมีไพ่อยู่สำรับหนึ่ง ไพ่นั้นชื่อ พรมญาณ ผมหยิบขึ้นมาดูแล้วรู้สึกว่า อยากได้ แต่ตอนนั้นไม่มีตังค์ มาตัวเปล่าเลยคิดว่าเดี๋ยวมาใหม่ละกัน แต่ก็ยังไม่ยอมวางครับ จับพลิกไปพลิกมาจนแม่มาเห็น แล้วแม่ก็ซื้อให้เลย

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่