คนเดินดิน...กับเส้นทางอีกสายหนึ่ง (ต่อ 2)

ครั้งหนึ่งในตอนที่ผมใกล้จบ ม.ปลาย อย่างที่เคยเล่าแล้วว่าผมค่อยๆพอสูจน์ในสิ่งที่ผมพบเจออยู่เรื่อยๆ จนเดินมาถึงตรงนี้ได้ และในตอนนั้น หลายๆคนยังคงเข้าใจผมผิดว่าผมเป็น หมอดู เพราะผมใช้การดูดวงหรืออะไรประมาณนี้เพื่อนพิสูจน์ในสิ่งที่เรารับรู้ แล้วครั้งนั้นผมก็ได้พบกับคนคนนึงที่มา ขอความช่วยเหลือ โดยผ่านมาจากผู้ใหญ่ที่เรารู้จักเลยปฏิเสธไม่ได้ จะว่าขอความช่วยเหลือก็ไม่เชิง แต่อยาก เช็คดวงเฉยๆซะมากกว่า ในเย็นวันนั้น ป้าคนที่ต้องการดูดวงกับผมเขาแวะมาหาคนรู้จักที่ รร. พอดีเลยได้พบหน้ากันก่อนวันนัด
        ป้าได้เข้ามาพูดคุยกับผมว่าดูวันนี้เลยได้ไหม พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องมา ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สนทนากันก็เล่นเอาความรู้สึกผมติดลบไปเลยครับ เพราะดูเขาเหมือนจะเหยียดหน่อยๆ พูดจาก็ไม่ดี แก่แล้วนะครับ แต่ก็นะ คนเรามีหลายแบบ แต่ลึกๆในใจผมก็รู้สึกไม่ดีแบบแปลกๆกับป้าแกด้วย แล้วก็พอจะเห็นอะไรบางๆที่วนๆอยู่รอบตัวเขาเป็นลักษณะคล้ายควันสีดำๆ ผมขออนุญาต กลับก่อนเพราะว่าตอนนั้นมันค่ำแล้วถ้าต่อดึกแน่ๆ อีกอย่างคือ ไม่อยากคุยด้วย
          ในคืนนั้นผมกลับบ้านไปด้วยความสงสัยเล็กๆว่าที่เห็นคืออะไร เพราะโดยปกติเวลาที่เห็นอะไรแบบนี้แล้วจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ต้องเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร ในใจก็คิดไปอีกว่าพรุ่งนี้ถ้าไปเจอแล้วจะเป็นยังไงเนี่ย ท่าทางจะเรื่องเยอะด้วยป้าแก อารมณ์ประมาณเจ๊ปล่อยเงินกู้ เก็บค่าแผงลอยอย่างนั้นอะครับ แก่แล้วนะแต่ปากนี่แดง ทำผมใส่เสื้อรัดรูป ผิดวัยมาก ตอนกลางคืนผมขึ้นไปไหว้พระสวดมนต์ของผมตามปกติ วันนั้นนึกยังไงไม่รู้อยากนั่งสมาธินานๆ พอนั่งไปได้สักแปปมันก็เริ่มมีบางอย่างเกิดขึ้น
อุแว้....
อุแว้...
         เสียงเด็กทารกที่ไหนก็ไม่รู้ ดังมาจากที่ไกลๆ ตอนนั้นผมก็คิดว่าคงเป็นเด็กบ้านไหนแถวนี้ แล้วเสียงนั้นค่อยๆดังเข้ามาใกล้ ใกล้ขึ้นเรื่อย จนมันดังอยู่ข้างหูผม ดังมาก ผมทนไม่ได้เพราะเริ่มแสบแก้วหูแล้ว เหมือนคนมาตะคอกใส่หูเลย
‘ว่าไง จะเอาอะไร’
        ผมถามในใจ แล้วเสียงนั้นก็เงียบไปแปปนึง ก่อนที่เสียงนั้นจังดังกลับมาอีกครั้งด้วยประโยคที่เป้นคำพูด พร้อมกับมีอีกประมาณ 2 3 เสียงซ้อนเข้ามาแต่นั่นเป็นเสียงของ ผู้ใหญ่
‘ช่วยด้วย...’
        เสียงเหล่านั้นดังขึ้นเพียงไม่กี่ครั้งก็เงียบไป คราวนี้เงียบจริงๆ ไม่มีการสื่อสารใดกลับมาอีกเลย แต่น้ำเสียงและถ้อยคำนั้นทำให้ผมรู้สึกติดใจเป็นอย่างมาก ว่าเขาเป็นใคร แล้วทำไมถึงมาบอกเรา  ปกติผมจะเจอแบบนี้บ่อยๆครับ ว่ามาขอให้ช่วยนั่นช่วยนี่ แต่ก็จะเป็นเราไปเดินเจอตามที่ต่างๆ แต่ถึงกับเข้ามาในสมาธิ เข้ามาในบ้าน แบบนี้ก็พึ่งจะมีครับ นอกจากว่าจะฝันถึง ด้วยความสงสัยผมจึงถาม ท่าน
‘พวกเขาเป็นใครครับ?’
‘คำตอบจะมาหาเจ้าเอง’ กระแสเสียงนั้นตอบกลับมาด้วยถ้อยคำที่ทำให้ผมหนักใจเหมือนทุกๆครั้ง ทุกครั้งที่ผมถาม มักจะไม่มีคำตอบกลับมาตรงๆตามคำถามนั้น ส่วนมากจะเป็นการบอกว่าให้หาคำตอบอย่างไร คำตอบจะมาเมื่อไหร่ หรือพูดง่ายๆคือ ให้คิดเอง ครับ
          ในวันรุ่งขึ้น ผมตื่นไวมาก ปกติไม่ใช่คนตื่นแบบนี้เลย แล้วก็ไม่ง่วงอีกรอบ นอนตต่อก็ไม่หลับแล้วไม่รู้จะทำอะไร เลยอาบน้ำไป รร. เลยกะว่าไปแวะหอเพื่อนรอไป รร พร้อมเพื่อนละกันตอนนั้นผมออกจากบ้านไปก็ประมาณ 6 โมงนิดๆเองครับ จากบ้านผมไป รร ก็ไม่เกิน 15 นาที แล้วที่หน้า รร นั้นมีตลาดเช้า ผมหิวเลยแวะไปหาอะไรกิน เห็นพระมาบิณฑบาตรพอดี เลยใส่บาตร เพราะไม่ได้ใส่นานมาก ตื่นไม่เคยจะทัน ผมซื้อข้าวแกงใส่บาตรพระท่านไป เป็นหลวงตาครับมีอายุพอสมควรเลย ในตอนที่รับพรนั้น อยู่ดีๆหลวงตาก็ชวนผมคุยไปเรื่อยเปื่อย เมื่อให้พรเสร็จ หลวงตาเอามือมาวางบนหัวผมแล้วสวดอะไรสักอย่างเหมือนเป็นการให้พร ก่อนที่หลวงตาจะเดินกลับวัดท่านพูดกับผมไว้ว่า
‘มีเมตตาเข้าไว้นะ เดินทางสายกลาง ย่าลำเอียงล่ะ เหนื่อยหน่อย’
       ผมก็ งงๆ กับคำพูดนั้นเพราะมันไม่มีอะไรให้ผมโยงเรื่องหรือแปลออกมาได้เลย ผมถามหลวงตาว่าหมายความว่าไง ท่านก็แค่ยิ้มๆแล้วเดินจากไป T T
      วันนั้นเป็นวันปกติเหมือนในทุกๆวัน ชีวิตของผมเดินไปเรื่อยๆ แต่ผมมักจะคอยนาฬิกาตลอดเพราะไม่อยากให้ถึงเวลาเลิกเรียน ไม่อยากให้ถึงเวลานัด ไม่อยากเจอ ป้า คนนั้น แต่เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำ ในตอนเย็นผมก็ไปที่ที่นัดกันไว้ ใน รร นั่นแหละครับ ผมไปถึงก่อนเวลานัดประมาณ 5 นาทีก็ปรากฏว่า ป้าแกมารออยู่แล้ว ยังแต่งตัวเปรี้ยวเหมือนเดิม ผมก็สวัสดีและเดินเข้าไปหา จึงพบว่าป้าแกนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ ป้าแกมองผมแล้วบอกว่า รอก่อนนะ
        เวลาผ่านไปประมาณครึ่ง ชม. ก็ยังไม่มีวี่แววว่าป้าแกจะวางสายเลยผมนั่งรอด้วยความหงุดหงิดนิดๆแล้ว ไม่คิดว่าผู้ใหญ่จะเป็นแบบนี้ แล้วผู้ใหญ่คนที่แนะนำป้าคนนี้ให้มาหาผมก็เดินเข้ามาหามากระซิบบอกว่า ขอโทษนะ ปฏิเสธเขาไม่ได้ ดูๆไปเถอะ ป้าเองก็ไม่ชอบเขาเหมือนกัน ผมก็คิดในใจ นึกว่ามีผมคนเดียวซะอีก แล้วผู้ใหญ่คนที่ผมรู้จักนั้นก็เดินไปบอก ป้าแกให้ สุดท้ายป้าแกก็ยอมวางสายครับ มีบ่นด้วยว่า รอนิดรอหน่อยไม่ได้เลย ผมก็ได้แต่ยิ้มๆให้ป้าแกไป
       เมื่อเริ่มดู ผมก็ให้ป้าแกสับไพ่เลือกไพ่ไป แล้วเมื่อเรียงไพ่ออกมาก็เริ่มสงสัยในตัวป้าแกครับ เพราะไพ่ไม่ค่อยดีเลย ไม่ใช่ว่าแกจะเจอเรื่องร้ายๆนะครับ แต่ไพ่ที่แทนตัวป้าแกกับเหตุการณ์รอบๆตัว ญาติมิตรอะไรแบบนี้ขึ้นมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย แต่เรื่องเงินนี่ ดีมาก ไพ่มันดูไม่ไปในทิศทางเดียวกัน ผมจึงเกิดข้อสงสัยว่า ดวงป้าแปลก หรือว่าตัวผม ที่เพี้ยนไป แต่ก็ดุต่อไปครับเพื่อหาคำตอบ ผมปล่อยให้ป้าแกเล่าเรื่องควาวมยิ่งใหญ่ของแกไปเรื่อยว่ารู้จักคนนั้นคนนี้ มีหน้ามีตาทางสังคม ทำธุรกิจนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย ระหว่างนั้นผมก็ค่อยๆมองดูป้าแกไปเรื่อยๆ นอกเหนือจากสิ่งท่ไพ่บอกผม
        แล้วประเด็นแรกก็เริ่มขึ้น เมื่อเงาสีดำที่ผมเห้นเมื่อวานนั้น เริ่มปรากฏอีกครั้งดดยที่วนๆอยู่รอบตัวป้า ผมพยายามมอง และ คุย กับเขา แต่เงานั้นก็ไม่มีการตอยบรับผมแต่อย่างใด แล้วกระแสเสียงนั้นก็ดังขึ้นในหัวผม
‘ค่าครู’ เสียงนั้นเตือนผม
        โดยปกติแล้วเมื่อก่อนผมดูอะไรให้ใครแบบนี้ผมไม่เคยเก็บตังหรือว่าอะไรใครเลย เพราะผมถือว่าผมไม่ได้ หากิน ทางนี้ แต่หลังๆนี่ ท่าน เริ่มบังคับให้เก็บเพราะว่า เราจะได้เอาค่าครูนั้นไปทำบุญให้กับครูบาอาจารย์เจ้าของศาสตร์ที่เราใช้เพื่อที่จะได้คุ้มครองเราจาก กรรมหรือเจ้ากรรมนายเวรของคนที่มาให้เรา ดู เพราะนี่ก็ถือว่าเป้นการเข้าไปยุ่งกับกรรมของคนอื่นเหมือนกัน เงินนี้จะได้เอาไปทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวรให้เขาเหล่านั้นด้วย ที่โดนบังคับเพราะว่าจริงๆ ท่าน ของผม และปู่ฤาษีที่มาหามาสอนอะไรต่างๆเพิ่มเติมให้นี่ก็บอกให้เก็บแต่แรกละครับ แต่ตัวผมนั้นดื้อเอง เลยป่วยไปหลายรอบ จนหลังๆก็ยอมเชื่อฟัง แต่ก็เก็บเพียง 9 บาทครับ ไม่ได้อะไรมาก แค่ สวรรค์6ชั่น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 9 บาทพอดี ในครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมคิดว่าแค่ ดู เฉยๆเลยไม่เก็บแต่โดนเตือนขนาดนี้ก็ต้องขอล่ะครับ
          เมื่อผมเอ่ยปากขอไป ป้าแกก็ทำหน้า งงๆ ผมนึกว่าจะโดนด่าแล้ว แต่ตรงกันข้ามครับ ป้าแกให้เกินมามากเลย บอกว่าฝากทำบุญตอนแรกก็ดีใจครับ เพราะคิดว่าแกจะอยากทำบุญแต่ประโยคต่อมาเนี่ยเล่นเอาหมดศรัทธาเลย แกพูดเหมือนประมาณว่า จริงอะ 9 บาทหรอ เอาเยอะกว่านี้ก็ได้นะ มีจ่าย เก็บได้เลย จะได้เอาไปทำบุญ เอาเพิ่มไหม แล้วแกก็เปิดกระเป๋าตังค์ เหมือนจะให้เพิ่มอีก ผมก็ปรามแกไว้ว่า ไม่ต้องครับๆ
          ผมให้ป้าแกใส่ตังค์ลงในกล่องไพ่ของผม เป็นกล่องไม้ลายโบราณๆครับได้มาโดยบังเอิญ ผมยกขึ้นจรดหัวนึกถึงครูบาอาจารย์เจ้าของศาสตร์วิชาทั้งหลายรววมถึง ท่าน ผู้เป็นองค์ประทานของผม ขออนุญาติท่านเปิดทิศเปิดทางเปิด ตา ให้ผมเห็นในสิ่งที่ต้องการเห็น และขอหยิบยืมเอาศาสตร์และญาณของท่านมาใช้ในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ผมเพิ่มเติมให้นะครับ สำหรับตัวผมแล้วนั้นนอกจากเพื่อช่วยเหลือ มนุษย์หรือวิญญาณแล้วนั้น ท่านแทบจะไม่ให้ใช้อะไรพวกนี้เลย ดดยเฉพาะเรื่องของตัวเอง หลายๆคนอาจคิดว่าถ้ามีตรงนี้เป็นอยข่างนี้แล้วจะสะดวกสบาย มีคนคอยข่วยเหลือรู้อะไรล่วงหน้า ขอบอกตรงนี้ไว้เลยครับ ว่า ไม่ ท่านไม่เคยให้ผมใช้อะไรพวกนี้ เพื่อตัวเอง ทุกคนที่สามารถมองเห็น กรรม หรือ ดูดวงให้คนอื่นได้นั้น จะไม่สามารถ ดู หรือรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเองได้แบบนั้น หากใครที่อ้างว่าดูให้ตัวเองได้ ผมว่าแปลกๆแล้วล่ะครับ ผมก็เคยถาม ท่าน และคำตอบนั้นก็ชัดเจน ‘เราให้มาช่วยคน ไม่ได้ให้มาเพื่อความสะดวงสบาย’
       เมื่อผมลืมตาขึ้นหลังจากขออนุญาตท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้นสิ่งที่ผมเห็นเป็นควันสีดำในตอนแรกนั้น บัดนี้เงาดำนั้นปรากฏเป็นรูปร่างชัดเจน ซึ่งรูปร่างนั้นก็ทำให้ผมตกใจมากๆ เพราะภาพที่ผมเห้นคือ เด็ก ใช่ครับ เด็กทารก ตัวเล็กมากๆ ร้องไห้และคลานไปมา เอาจริงๆนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นวิญญาณในรูปแบบนี้ ผมพยายามคุยกับ เขา ในตอนแรกนั้นคุยแทบไม่รู้เรื่องเลย เพราะความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้จากเด็กคนนี้นั้นมีแต่ ความกลัว ความระแวงว่าจะมีคนมาทำร้ายตลอดเวลา ไม่ยอมคุย จนผมก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง เหมือนเด็กที่หลับหูหลับตาร้องไห้อย่างเดียว ผมหันไปบอก ป้าแกว่า รอแปปนะ แล้วป้าแกก็ ลุกไปโทรศัพท์รอ ผมนี่ งง เลย ==-
       ในความพยายามนั้น ผมใช้ทุกวิถีทางเพื่อคุย แล้วกระแสเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง
‘เขากลัวเรา’ กระแสเสียงนั้นบอกผม
ไม่แปลกล่ะครับที่เขาจะกลัว ขนาดผีสางว่าแรงๆยังกลัว ท่าน เลย เด็กตัวแค่นี้จะไม่กลัวได้ไง ผมยังกลัวเลย ดีที่ไม่เคยขัดท่าน ท่านเลยใจดีกับผมอยู่ตลอด แต่ก็เคยแอบคิดว่า ถ้าวันนึงเราทำใมห้ท่านโกรธเนี่ย เราจะเป็นยังไงแค่คิดก็สยองละครับ เพราะเรารับรู้ถึงกระแสพลังของท่านอยู่ตลอด รู้ที่มาที่ไป และรู้ว่าท่านเป้นใคร ทำอะไรได้
‘เราจะช่วยเอง’ ท่านพุดกับผม
     แปปเดียวในแทบจะทันที่ ผมก็รับรู้ได้ถึงกระแสเย็น ที่ต่างจาก ท่าน ของผม กระแสนั้นดูใจดีและอบอุ่น กลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนๆโชยมาเตะจมูก เสียงหัวเราะใสๆหวานๆนั้นบ่งบอกว่า คนที่มาเยือนเป็นผู้หญิง ท่าทางอ่อนช้อยสวยงาม สีผิวที่ขาวเนียนนั้นสวยงามมากๆ เมื่อร่างของแสงสว่างนั้นหันมาที่ผม ก็พบว่าเป็น องค์แม่ ที่ผมเคยได้พบในการฝึกสมาธิหลายๆครั้งนั่นเอง ท่านไม่ได้เป็นญาณที่มาเกี่ยวเนื่องกับผม แต่บางครั้งมีแวะมาหามาคุย มาสอนอะไรเล็กๆน้อยๆบ้าง เพราะเหมือนจะเคยบอกว่า ถูกใจ ไม่ค่อยมีร่างไหนที่ทนรับการสอนจาก ท่าน ของผมได้นานนัก มักจะท้อซะก่อน แล้วองค์แม่นี้ก็เป็น ญาณของน้าตุ๊กที่เป็นสะพานเชื่อมให้ผมได้ไปเจอกับปู่นั่นเอง
‘ไม่ต้องกลัวนะหนูน้อย มานี่มา’ แล้วท่านก็เริ่มเข้าไปปลอบโยนเด็กน้อยนั้นให้อยู่ในความสงบ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่