หลังจากได้อ่านเรื่องของสวีหยุนลี่ที่พูดย้อนรำลึกถึงรายการชิงแชมป์โลก หยวนซินเย่วก็ได้ส่งข้อความมาหาฉันบอกว่า การย้อนรำลึกของพี่ลี่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าได้กลับไปอยู่ตอนชิงแชมป์โลก
เมื่อได้อ่านเรื่องของเว่ยชิวเย่วจบ เธอก็ส่งข้อความมาหาฉันอีกบอกว่า ขอให้พี่เย่วกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ ฉันอยากเล่นร่วมกับพี่ เห็นถึงความมุ่งมั่นไม่ท้อถอยของพี่เย่วใน 2 ปีมานี้ ทำให้ฉันมีความรู้สึกร่วมตามไปด้วย
และเมื่อได้ยินว่าฉันจะเขียนเรื่องของเธอด้วย หยวนซินเย่วแสดงความดีใจมาก และยังเสนอตัวอีกด้วยว่า
“พี่หม่า ให้ฉันเขียนแล้วส่งให้คุณดีไหม?”
หยวนซินเย่วอยากจะลงมือเขียนเอง ฉันก็หวังอยากให้เธอเขียน แต่เธอก็บอกอีกว่า “ แต่ฝีมือเขียนฉันไม่เก่ง คุณเอาไปใช้เป็นข้อมูลไว้เขียนเถอะ”
แต่เห็นท่าทางเอาจริงเอาจังของเธอ ฉันจึงลองถามดูว่า ต้องการใช้เวลาสักเท่าไรในการเขียน เธอตอบ “ ขอเวลาสัก 4 วันน่าจะได้”
พอถึงวันที่ 4 ฉันถามเธอไปว่าเขียนไปถึงไหนแล้ว เธอกล่าว “ขอโทษด้วยพี่หม่า ฉันยังเขียนไม่เสร็จเลย 2-3วันมานี้เวลาฉันแน่นเอี๊ยดมาก ตอนค่ำก็ถูกเก็บมือถือด้วย” ฉันจึงบอกยืดขยายเวลาให้อีก 3 วัน เธอลิงโลดมาก “ ใจดีจังเลย ฉันกำลังห่วงอยู่เลย ช่วงนี้มีธุระยุ่งทุกวัน นี่เดี๋ยวก็ต้องไปทำฟัน ฟันผุ .....”
วันถัดมา หยวนซินเย่วก็ส่งงานเขียนมาให้ตอนหนึ่งแบบนี้ เธอบอกว่าเธอตั้งใจคิดย้อนไปถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในรอบ 1 ปีนี้ รู้สึกว่าการที่ตัวเองประสบความสำเร็จในปีนี้นั้นเป็นผลสืบเนื่องจากปีที่แล้วได้ย้ายไปเล่นให้สโมสรเหิงต้า แต่พอเขียนออกมาแล้วก็รู้สึกว่ามีแต่น้ำไม่ค่อยมีเนื้อ
****************
นับแต่ พ.ย. 2013 ที่เข้าร่วมแคมป์ทีมชาติจนถึงปลายปีที่ย้ายไปเล่นให้เหิงต้า จนมาถึงปี 2014 สวมชุดทีมชาติออกไปแข่งทั้งที่เอเชียและยุโรป ทุกสิ่งอย่างที่ผ่านเข้ามาใน 1 ปีนี้รู้สึกเหมือนกับว่าเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
ปี 2014 ผู้ที่ให้จุดเปลี่ยนสำคัญแก่ฉันแน่นอนว่าคือ โค้ชหลาง เธอให้โอกาสฉันได้เข้าร่วมแคมป์ทีมชาติรอบที่ 4 ของปีที่แล้ว รู้สึกเหนือความคาดหมาย ทั้งสงสัยทั้งตื่นเต้นดีใจ ตอนเข้าแคมป์ใหม่ๆยังทำได้ไม่ค่อยดี คงเป็นเพราะก่อนหน้านั้นฉันกำลังอยู่ในช่วงหยุดพัก สภาพร่างกายจึงไม่ฟิต ท่าทางการตีก็ยังไม่ถูกต้องเท่าไร โดยรวมแล้วรู้สึกว่าตัวเองห่างชั้นกับคนอื่นอยู่มาก รู้สึกหงุดหงิดตัวเองกลับสโมสรปาอีก็ไม่รู้ว่าจะตามทันคนอื่นไหม?
คิดไม่ถึงว่าตอนนั้นเอง มีข่าวออกมาว่าฉันจะย้ายไปเล่นให้เหิงต้า ฉันไม่อยากจะเชื่อ จนต่อมาโค้ชหลางพูดกับฉันด้วยตัวเองฉันถึงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ตอนนั้นไม่ทันรู้สึกดีใจ คิดแต่ว่าเล่นลีกจีนปีแรกก็ย้ายไปเหิงต้าทีมอันดับหัวแถวของลีก ได้อยู่กับโค้ชหลาง แล้วฉันจะตามทันผู้เล่นคนอื่นหรือเปล่านะ? ในทีมมีผู้เล่นต่างชาติด้วย ฉันจะพูดคุยสื่อสารกับเขายังไง? คิดกังวลว่าถ้าตัวเองเกิดไม่สามารถปรับตัวเข้ากับทีมได้จะทำยังไง? ..........
คิดสับสนไปหมด นี่มันไม่ใช่นิสัยฉันเลย !! ที่เป็นแบบนี้คงเป็นเพราะมีเรื่องดีๆเข้ามาหาฉันเร็วไปหน่อยจนเราตั้งตัวไม่ทันล่ะมั๊ง
จนถึงวันที่ออกเดินทางขึ้นเครื่องบินไปกว่างโจว อยู่บนเครื่องบินก็ปลุกขวัญตัวเองตลอดจนถึงตอนลงฉันจึงคิดได้ ไม่มีใครรู้ว่าจะต้องไปเจออะไรข้างหน้าบ้าง และเมื่อถึงตอนนั้นจริงๆก็ปรับไปตามสถานการณ์ก็เท่านั้น
มาถึงสโมสรเหิงต้า คนแรกที่ฉันรู้จักคือโค้ชอู๋เสี่ยวเหลย อดีตผู้เล่น MB เป็นโค้ชที่ดูแลผู้เล่น MB ให้เหิงต้า
“อย่าไปฟังแค่เธอพูดสำเนียงตงเป่ย แต่ทำอะไรเด็ดเดี่ยวกล้าหาญสมกับสาวฉงชิ่งขนานแท้ “ โค้ชอู๋เสี่ยวเหลยพูดถึงหยวนซินเย่วตอนอยู่เหิงต้า
“เป็นคนกล้าพูด ไม่ยอมแพ้”
หยวนซินเย่วเป็นคนกล้าพูดขนาดไหน? เรื่องข้างล่างนี้จะเป็นสิ่งบ่งบอก
วันหนึ่งหลังเสร็จสิ้นการฝึกซ้อม โค้ชหลางเรียกหยวนซินเย่วมาเพื่อให้เธอดูเทป จะได้ศึกษาหาวิธีปรับแก้ท่าทาง หยวนซินเย่วได้ฟังก็ชะงักเล็กน้อย “โค้ชหลาง สมัยฉันเป็นผู้เล่นยุวชนทีมชาติ ฉันคือ MVP ยุวชนโลก....”
คราวนี้กลับเป็นโค้ชหลางที่อึ้งแทน เธอเป็นโค้ชมา 20 ปี ผู้เล่นที่กล้าพูดต่อหน้าเธอแบบนี้ยังไม่เคยเจอเป็นคนที่สอง
พูดต่อหน้าโค้ชหลางว่าตัวเองเป็น MVP พูดจริงหรือล้อเล่น?
หยวนซินเย่ว : (หัวเราะ) เป็นเรื่องจริง ตอนนั้นฉันมักจะบล็อกลูกไม่ค่อยได้ โค้ชหลางบอกว่าท่าฉันไม่ถูกต้อง จะพาให้ไปดูเทป ฉันคิดว่าท่าฉันก็ถูกแล้วนิ MVP ยุวชนโลกนะ ก็พูดเรื่องจริง และตอนนั้นก็คิดแบบนั้นจริงๆ
แล้วโค้ชหลางว่ายังไง?
หยวนซินเย่ว : ก็หัวเราะ ( ไม่คิดว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าหรือ?) คิดว่าโค้ชหลางเป็นคนหัวสมัยใหม่ กับโค้ชแล้วไม่เห็นต้องไปกระมิดกระเมี้ยนอะไร และฉันก็เป็นคนมั่นใจตัวเองอย่างนี้มาตลอด ไม่เคยหวั่นกลัวเรื่องอะไร และก็ไม่กลัวโค้ชด้วย แต่ถึงกระนั้นฉันก็รู้ว่าผู้เล่นที่กล้าพูดกับโค้ชหลางตรงๆแบบนี้มีไม่มาก
แล้วเป็นตอนไหนที่รู้สึกว่าตัวเองฝีมือยังห่างจากผู้เล่นที่เก่งๆ?
หยวนซินเย่ว : ถ้าฉันไม่ได้ไปเหิงต้า อยู่ที่ปาอีก็คงไม่ถึงไหน และถึงแม้ว่าโค้ชหลางจะเรียกตัวติดทีมชาติโอกาสที่จะถูกส่งกลับก็คงมีสูง ที่จริงฝีมือความห่างกับผู้เล่นผู้ใหญ่ฉันก็รู้ดีในใจอยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อก่อนก่อนติดทีมชาติไม่ได้คิดวางเป้าคาดหวังตัวเองไว้สูง พอใจที่จะเปรียบเทียบแค่ผู้เล่นรุ่นอายุเดียวกันก็พอ
คุณรู้สึกว่าโค้ชหลางเหมือนเป็นแม่หรือเปล่า?
หยวนซินเย่ว : อืมม์ แต่เป็นแม่ที่เข้มงวด
อยู่กับโค้ชหลางมา 1 ปี ตอนที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้น่าพอใจ เธอกลับมาไล่จี้ใส่คุณมีบ้างหรือเปล่า?
หยวนซินเย่ว : ไม่ใช่ไล่จี้ แต่เป็นการกระตุ้น ฉันเป็นคนเข้มแข็ง พอถูกกระตุ้นก็จะมีลูกฮึดไม่ยอมแพ้ ยกตัวอย่างรายการ WGP รอบสุดท้ายนัดที่เล่นกับตุรกี โค้ชหลางส่งฉันลงเป็นไลน์อัพแรก 2 เซ็ตแรกฉันทำได้แค่ 2 แต้ม จังหวะการตบลูกบล็อกลูกยังไม่ดี ความฮึกเหิมก็ไม่มี จบเซ็ต 2 โค้ชหลางดึงฉันมาอีกด้าน ตอนแรกก็คิดว่าเธอคงจะมาบอกเคล็ดลับอะไรให้เรา แต่เธอกลับพูดว่า เสี่ยวหยวน 2 เซ็ตมานี้เธอเพิ่งทำได้แค่ 2 แต้ม เธอต้องพยายามให้มากกว่านี้ทำให้ได้มากกว่า 2 แต้ม ทำได้หรือเปล่า? ฉันคิดๆดูมันก็จริง เล่นแย่มาก ก่อนลงไปเล่นเซ็ต 3 ก็กระตุ้นตัวเอง มีสติหน่อย จากนั้นลงไปก็บล็อกได้ลูกนึง ต่อมาก็ฉุดไม่อยู่ เริ่มสำแดงฤทธิ์ได้แล้ว
จำได้ว่าหลังเกมนัดนั้นฉันถามคุณว่ารู้สึกยังไง? คุณตอบอย่างหงุดหงิดว่า “ คุณบอกทีสิว่าทำไมฉันถึงไม่เล่นอย่างนี้ให้ได้เร็วกว่านี้
หยวนซินเย่ว : ก็มันจริงนี่ ถ้าฉันสำแดงได้เร็วกว่านี้ทีมเราก็ไม่ต้องมาเหนื่อยเล่นกันถึง 5 เซ็ตใช่ไหมล่ะ? โค้ชหลางก็ไม่ต้องเหนื่อยตะโกนข้างสนามถึง 5 เซ็ตหรอก
*** ยังมีต่อ
[บทความ] หยวนซินเย่ว : ปี 2014 ก้าวย่างที่สำคัญ
“พี่หม่า ให้ฉันเขียนแล้วส่งให้คุณดีไหม?”
****************
*** ยังมีต่อ