เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก กับเพื่อนสุดเฟล ตอนที่ 3 : ตลาดปลา Tsukiji , Shinjuku และ Shibuya



ตอนแรก - http://ppantip.com/topic/33056147
ตอนสอง - http://ppantip.com/topic/33056435

** บทความนี้ เพื่อนอนุญาตให้สามารถเอามาเขียนเป็นบทความแล้วครับ **

เทียบในบรรดา 5 วันที่พวกผมได้เดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่นนั้น นี่จะเป็นวันที่จะมีโปรแกรมเที่ยวเยอะที่สุด เนื่องจากว่าตามแผนนั้นเราจะตะลุยงานเกมโตเกียวเกมโชว์ถึงสองวัน ด้วยเหตุผลที่พวกผมนั้นเป็นนักข่าวสายเกมอยู่แล้ว การเดินทางมาญี่ปุ่นก็เพื่อไปทำข่าวงานเกมอำดับต้นๆ ของโลกอยู่แล้ว ดังนั้นวันนี้จะเป็นวันที่เราจะเที่ยวกันมากที่สุด โดยการเน้นเดินตามสถานที่แลนมาร์คสำคัญๆ ของโตเกียว และช็อปของกัน ซึ่งตารางในการเที่ยวทั้งหมดของผมนั้นวางแผนมาอย่างดีโดยประสานกับเพื่อนผมที่ช่วยนำทางเรื่องเวลาอีกด้วย แต่รู้ไหมครับว่ากำหนดการมีการเปลี่ยนแปลงแบบที่ไม่คาดคิดมาก่อน อันเนื่องมาจากเพื่อนสุดเฟลของผมนั่นแหละ

จริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากมายหรอก เพราะว่าเพื่อนสุดเฟลของผมนั้นนัดอาจารย์ชาวญี่ปุ่นที่เคยสอนภาษาญี่ปุ่นกับเขาว่าอยากจะมาเจอกัน และก็เอาของฝากมาให้ด้วย แต่ประเด็นคือในช่วงเวลา 1 เดือนก่อนเดินทาง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พวกเรากำลังวางแผนกันนั้น ก็ถามแล้วนะว่ามีอะไรอยากเพิ่มหรืออยากไปก็บอกได้ ก็บอกมาคร่าวๆ ว่าอยากเจออาจารย์ แต่กลับไม่ฟันธงบอก 100 % ว่าจะนัดกันกี่โมง วันไหนที่ไหน และมาบอกเอาตอนวันที่เราเดินทางกันแล้วว่า นัดเจออาจารย์วันที่สองนะ

ช่างเป็นการนัดที่ประชั้นชิดมากกกก! ไม่บ่งไม่บอกกันล่วงหน้าเลยนะเอ็ง



ดังนั้นในวันนี้จึงต้องมีการปรับกำหนดการเพื่อให้เจอกับอาจารย์ของเพื่อนสุดเฟลตอนช่วงหัวคํ่า ซึ่งหมายความว่าเราอาจจะได้นอนกันดึก (ตอนแผนเดิมนั้นเราจะนอนกันราวๆ 3 ทุ่ม เพื่อให้พวกเรามีเวลาพักผ่อนก่อนที่จะไปตะลุยงานเกมกันในวันรุ่งขึ้น) โดยตามแผนนั้นวันนี้เราจะไปกัน 4 ที่ ได้แก่ ตลาดปลาชินจีกิ , ชิบุย่า ,  ชินจูกุ และตบท้ายด้วยอากิฮาบาระ เพื่อไปซื้อของบางส่วนและไปพบอาจารย์ของเพื่อนสุดเฟลนั่นเอง ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีนะครับว่า ถ้าจะไปตลาดปลาชินจีกินั้นต้องไปตอนเช้าๆ เพื่อไปให้ทันตอนช่วงที่เขากำลังขายของ ตอนแผนนั้นจะไปให้ถึงตลาดปลาชินจีกิตอน 10 โมงเช้า แต่กว่าจะได้ออกก็ 9 โมงกว่าแล้ว เหตุผลที่ช้าก็เพราะเพื่อนสุดเฟลที่ยังเอาแต่กดเล่นมือถือทั้งๆ ที่ผมกับเพื่อนอีกคนก็เตรียมตัวกันเสร็จเรียบร้อย (อาหารเช้ากะจะไปกินที่ตลาดปลาชินจีกิเลย) ช่วงเวลาที่เดินออกจากที่พักนั้น ผมก็นึกขึ้นได้ว่าคุณลุงเจ้าของที่พักก็ได้แนะนำเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังสถานีรถไฟ ก็เลยลองแนะนำเพื่อนให้เดินไปตามทางที่ว่า ซึ่งเป็นการเดินลัดผ่านซอยเล็กๆ นั่นเอง บรรยากาศยามเช้าที่ทำให้พวกผมเดินกันอย่างสนุกสนานและซึบซับบรรยากาศความเป็นอยู่เมืองโตเกียว





แน่นอนว่าสิ่งที่ยังเห็นอยู่จนแทบจะเรียกได้ว่า ไม่รู้ว่าชาตินี้เราจะได้เห็นเมืองไทย "สะอาด" กับเขาได้ไหม เดินไปที่ไหนก็เจอแต่ขยะ คนขับรถโยนขยะออกมาจากรถบ้าง ถ่มนํ้าลายใส่พื้นบ้าง โยนทิ้งบ้าง ฯลฯ อย่าหวังเรื่องที่จะจับเลยในเมืองกล้องที่ติดๆ มันเป็นกล้องดัมมี่ ใช้งานได้ซะที่ไหน (ถึงจะใช้ได้ จะมีใครบ้างไปจับคนทำผิดกฎจริงๆ) นอกจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว จริงๆ แล้วประเทศอื่นๆ ก็มีจุดเด่นเรื่องความสะอาดเหมือนกันนะครับ เช่นประเทศเกาหลีเองบ้านเมืองก็สะอาดมาก ถ้าเราไปตามสถานที่ท่องเที่ยว บางทีจะไม่ค่อยเห็นถังขยะวางเยอะเท่าไหร่ เห็นมีคนบอกว่าที่เขาไม่วางถังขยะเยอะเพราะยิ่งมีถังขยะเยอะก็จะยิ่งสกปรก ก็ไม่รู้อะนะว่าจริงไม่จริง ซึ่งส่วนตัวแล้วก็อยากจะให้เมืองไทยสะอาดเหมือนประเทศอื่นๆ เหมือนกัน คงต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือหละครับ



หลังจากที่พวกผมเดินทางมาถึงถนนใหญ่ ซึ่งแค่ข้ามถนนไปก็จะถึงสถานีรถไฟแล้ว ซึ่งพวกเราก็เดินทางกันมาราวๆ 15 - 20 นาที รู้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น ? เพื่อนสุดเฟลของผมบอกให้พวกผมหยุดเดินแล้วบอก

หลังจากที่พวกผมเดินทางมาถึงถนนใหญ่ ซึ่งแค่ข้ามถนนไปก็จะถึงสถานีรถไฟแล้ว ซึ่งพวกเราก็เดินทางกันมาราวๆ 15 - 20 นาที รู้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น ? เพื่อนสุดเฟลของผมบอกให้พวกผมหยุดเดินแล้วบอก

"โทษทีว่ะ ลืมของไว้ที่ห้องพัก"
(*!@$*&*()!*๑%&##* ฯลฯ) << เป็นความคิดในใจของผมในตอนนั้นเลย
"เอ็งลืมอารายแว๊!" ผมถามอีกฝ่าย
"ของฝากให้อาจารย์นะสิ" เพื่อนสุดเฟลตอบ

ตามกำหนดการนั้น หลังจากที่พวกเราไปเที่ยวกันแล้วก็จะเลยไปอากิฮาบาระ แล้วจะเลยไปเจออาจารย์ของเพื่อนสุดเฟลเลย หมายความว่าจะไม่มีการกลับไปแวะที่พักนั่นเอง ซึ่งตอนนั้นผมนี่แบบว่า ให้ตายเหอะยาแก้ปวดหัว! ตรูบอกเมิงแล้วววว ว่าก่อนออกจากห้องพัก เช็ดด้วยนะว่าลืมอะไรไหม เช่นพาสสปอร์ตอะไรแบบนี่ (ผมบอกก่อนที่จะออกจากห้องพัก 2 - 3 รอบ) แต่สุดท้าย เอ็งก็ลืมจนได้!!!!!

แน่นอนว่าในตอนนั้นจะหงุดหงิดหรือจะบ่นไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ผมบอกแค่สั้นๆ ว่าเอ็งรีบกลับไปเอาเลย แล้วผมก็ได้ใช้สกิลที่ผมใช้ประจำ นั่นก็คือวิชาเดินไว ก้าวขายาวๆ แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับไปยังที่พักเลย (เป็นสกิลที่เพื่อนผมบางคนไม่ค่อยชอบเพราะผมจะเดินไวมาก) เพื่อเร่งเวลากลับไปยังที่พัก และจะบอกว่าตอนที่เดินชมวิวตอนออกมานั้น ก็เจอกลุ่มผู้สูงอายุ (มนุษย์ลุง) ทั้งหลายของชาวญี่ปุ่นนั่งจับกลุ่มคุยกัน เขามองผมด้วยความสงสัยเลยว่า ทำไมหนุ่มๆ พวกนี้เดินกลับกันมา แน่นอนว่าผมพุ่งขึ้นไปที่ที่พัก (ชั้น 5) ก่อนเป็นคนแรกเพราะกุญแจอยู่กับผม เมื่อผมเปิดประตูเสร็จแล้ว รอไม่นาน เพื่อนสุดเฟลก็เดินตามมาถึงและเอาของฝากที่ตนเองวางไว้บนเตียงทันที และแน่นอนว่า หลังจากนั้น พวกเราก็ต้องเดินกลับไปทางเดิมเพื่อขึ้นสถานีรถไฟกันด้วยอาการเหนื่อยหอบ เพราะไม่งั้นเราอาจจะไปแล้วตลาดวายนั่นเอง

ทั้งหมดทั้งปวง เสียเวลาเพิ่มอีก 25 นาที



Google นี่ช่วยเหลือเราได้ทุกเวลาจริงๆ



ทั้งยุ่นทั้งเกาหลีนี่ ต้นหอมอ้นใหญ่ๆ ทั้งนั้น รู้สึกว่าบ้านเขาจะใส่ในหม้อทั้งอันเลยนะ





ขึ้นมาบนสถานี Tsukiji ข้างบน

หลังจากนั้นเราก็ได้เดินทางลงสถานีรถไฟใต้ดิน สถานี Kayabacho และจะต้องไปยังสถานี  Tsukiji  เพื่อไปยังตลาดปลาชินจีกิ นั่นเอง ซึ่งเมื่อขึ้นมาข้างบนสถานีแล้วก็แอบงงเล็กน้อยว่าไหนฟะตลาด แต่ก็มองดูแผนที่ช่วย จนรู้ว่าเลี้ยวซ้ายไปก็เจอแล้วนั่นเอง และผ่านบริเวณที่หน้าตาคล้านอาคารจอดรถตามห้างแบบไม่หรู แต่เข้าไปก็เจอร้านค้าต่างๆ พร้อมกลิ่นปลาโชยมาแล้ว เท่ากับว่าเรามาถูกทางกันแล้ว มาตลาดปลาก็ต้องดมกลิ่นปลากันสิ



ตลาดปลาสึกิจินั้นมักจะไปโผล่อยู่ตามหนังสือสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำหากมาโตเกียว หรือมีรายชื่ออยู่ในตารางทัวร์ของใครหลาย ๆ คน เพราะมันเป็น 1 ในแหล่งตลาดขายปลาที่ใหญ่ที่ในโลกอีกด้วย ซึ่งไฮไลท์ของมันก็คือการที่เราจะสามารถชมการประมูลปลาสดๆ กันได้







ร้านขายของที่ระทึก ดูดเงินนักท่องเทรี่ยว



เพื่อนสุดเฟลบอกว่าเค้กซีสที่ร้านนี้อร่อยมาก แนะนำให้ซื้อ ซึ่งตอนไปก็เหลือ 2 อันสุดท้ายพอดี และมันก็อร่อยจริงๆ อะนะ (ทางบ้านเคยมาเที่ยวและซื้อมาฝากนั่นเอง)

แต่อย่าว่าแต่จะถ่ายรูปเลย เพราะเรามาไม่ทันแล้ว!! เราได้เดินผ่านร้านค้าขายชูชิที่มีคนต่อแถวกันเป็นจำนวนมาก และเดินเข้าไปในบริเวณตลาด



และก็พบว่ามันไม่มีอะไรขาย เพราะตลาดวายกันไปเป็นที่เรียบร้อย! เท่ากับว่าเรามาดูตลาดเขาเก็บของกัน!



"น่าเสียดายเนอะ ที่ตลาดมันวายแล้ว" เพื่อนสุดเฟลของผมเอ่ยขึ้น
"ก็มันช้าเพราะเอ็งไม่ใช่รึไง" ผมถามด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ซึ่งก็ทำให้อีกฝ่ายถึงกับเงียบปากไม่พูดเรื่องนี้เพิ่ม



ซึ่งมันก็น่าเสียดายจริงๆ นะแหละ เพราะตลาดปลาของประเทศญี่ปุ่นนั้นไม่เหมือนของไทยอยู่แล้ว นอกจากเราจะได้เห็นบรรยากาศและความสะอาดที่เรียกได้ว่าสูดหายใจเข้าไปได้โดยไม่ต้องกลัวเหม็นคาวปลามากแล้ว เราจะได้เห็นปลาแปลกๆ ที่เขาจับมาขายอีกด้วย เมื่อปีก่อนที่ผมไปงานเกมที่เกาหลี ผมได้ไปเดินดูตลาดปลาด้วย และก็ได้เห็นสิ่งมีชีวิตใต้นํ้าที่ใหญ่บะเริ่มบะร่า ชนิดที่เรียกได้ว่าบ้านเราเทียบกันไม่ติด แต่ก็ต้องแลกกับราคาอันมหาโหดชนิดที่เรียกว่าสะดุดและหันหลังหนีกันแทบไม่ทันเลยทีเดียว รวมไปถึงปลาแปลกๆ ที่มันไม่น่าเชื่อว่า เขากล้าจับขึ้นมาขาย และมันก็มีคน กล้า ซื้อมากินกันด้วย แต่จริงๆ ความประทับใจในตลาดปลาของเกาหลีที่ผมไปเดินดูมาก็คือความสะอาดที่บ้านเรานี่มันเหมือนคนละโลกกันไปเลย มันดูสะอาด สบายตา เป็นระเบียบ และน่าเดินดูกันมากๆ อีกด้วย ซึ่งผมเองก็หวังเหมือนกันว่าตลาดปลาในญี่ปุ่นน่าจะมีอะไรแปลกๆ น่าตื่นตามาให้ชมกัน

ใครกันน้า... ที่ทำให้เราพลาดโอกาสมาแล้วไม่ได้ดูเนี่ย ....



ในเมื่อเรามาดูตลาดไม่ทัน เราก็ต้องไปจุดประสงค์อีกอย่างของเรา นั่นก็คือการมากินชูชิที่ตลาดปลาสึกิจินั่นเอง มาญี่ปุ่นแล้วยังไงก็ต้องกินชูชิ และร้านชูชิที่ตลาดปลาสึกิจินั้นก็ขึ้นชื่อเรื่องความสดมาก (แหงหละ จับปุ๊บก็เอาเข้าร้านปั๊บ) เนื่องจากร้านที่พวกเราเดินๆ ผ่านๆ มานั้นมีคนต่อแถวเยอะมาก เราจึงต้องมองหาร้านนึงที่ไม่มีคนต่อแถวเยอะ ซึ่งนั่นก็คือร้านนี้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่