✿ จำคุกพระเกษม 2 ปี คดีเหยียบ-ตบหน้าพระพุทธรูป" (ข่าวเก่าพระเกษม) ✿

หลายทท่านคงลืมข่าวเก่าของ "พระเกษม" กันไปแล้ว


"จำคุกพระเกษม 2 ปี คดีเหยียบ-ตบหน้าพระพุทธรูป" (ข่าวเก่าพระเกษม)
-----------------

ศาลอุทธรณ์ สั่งจำคุก "พระเกษม" แห่งที่พักสงฆ์สามแยก จ.เพชรบูรณ์ เป็นเวลา 2 ปี ปรับ 2 หมื่น คดีเหยียบ-ตบหน้าพระพุทธรูป โดยโทษจำให้รอลงอาญา ด้าน "พระเกษม" ยันเดินหน้าฎีกา ...

เวลา 10.00 น. วันที่ 13 มีนาคม 2555 "พ.ต.อ.สมนึก คำวิเศษ" ผกก.สภ.หล่มสัก อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 10 นาย เข้าดูแลความสงบเรียบร้อยภายในบริเวณพื้นที่ศาลจังหวัดหล่มสัก

เนื่องจากในวันนี้พระเกษมอาจิณณสีโล แห่งที่พักสงฆ์สามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์ พร้อมคณะลูกศิษย์กว่า 100 คน ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 6

ในคดีที่ "นายอินทพร จั่นเอี่ยม" ผอ.สำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.น้ำหนาว ให้ดำเนินคดีกับ พระเกษม อาจิณณสีโล แห่งที่พักสงฆ์สามแยก บ้านห้วยยางทอง ต.วังกวาง อ.น้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์

ในข้อหาดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนวัตถุ จนเป็นข่าวครึกโครมลงหน้า 1 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2551 ต่อเนื่องนานกว่าสองสัปดาห์

โดยคดีนี้สืบเนื่องจากกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนที่ไปทำบุญที่พักสงฆ์สามแยก บ้านห้วยยางทอง แล้วพบว่าพระเกษมได้เผยแพร่คำสอนในแนวทางให้ยึดถือแต่เพียงพระไตรปิฎกเป็นแนวทางปฏิบัติเท่านั้น พร้อมห้ามชาวบ้านกราบไหว้พระพุทธรูปแถมยังติดป้ายข้อความไว้ที่ฐานหน้าองค์พระพุทธรูปอย่างไม่เหมาะสมด้วยข้อความว่า “ทองเหลืองหล่อนี้ ไม่ใช่พุทธเจ้าแน่ ไม่ต้องกราบมัน” และข้อความ “ห้ามนำดอกไม้และเครื่องบูชามาวางบริเวณนี้” จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเหมาะสมหรือไม่อย่างไรต่อมาที่ ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) สั่งล้อมคอกตรวจสอบวัดทั่วประเทศ พร้อมสั่งให้สำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์แจ้งพระเกษมให้นำป้ายดังกล่าวออกไป กลับไม่ได้รับความร่วมมือจากพระเกษม ที่ยังยืนยันว่าทำถูกต้องแล้ว

กระทั่งมีผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ช่องหนึ่งเข้าสัมภาษณ์ พร้อมท้าให้พระเกษมพิสูจน์ถึงคำสอนดังกล่าวว่าถูกต้องจริงหรือไม่ พระเกษมจึงใช้มือตบที่พระพักตร์ของพระพุทธรูปพร้อมใช้เท้าเหยียบที่ฐานพระ แสดงโชว์ให้เห็นว่า พระพุทธรูปองค์นี้เป็นเพียงทองเหลืองเท่านั้น ยิ่งเป็นเหตุให้ลุกลามบานปลายขยายเป็นวงกว้างออกไป จนทำให้ชาวบ้านในจังหวัดพิษณุโลกไม่พอใจ รวมตัวกว่า 200 คน ใช้ชื่อกลุ่มคนรักพิษณุโลก พร้อมนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่ทวงคืน เหตุเพราะพระพุทธรูปดังกล่าวเป็นพระพุทธรูปพระพุทธชินราชจำลอง ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของชาวพิษณุโลก อันเป็นที่เคารพสักการะของคนในจังหวัดพิษณุโลกและประชาชนทั่วประเทศ พร้อมอัญเชิญไปประดิษฐานที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก

ศาลจังหวัดหล่มสักจึงได้ออกหมายจับพระเกษมในข้อหาดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนวัตถุ ส่วนตำรวจนำหมายศาลเตรียมจับสึก แต่ลูกศิษย์พระเกษมที่คอยอารักขาโต้ไม่ยอมให้จับสึก อ้างยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ต้องรอให้คดีถึงที่สุดเสียก่อน ตำรวจหวั่นเกิดเหตุปะทะรุนแรงจึงต้องให้ประกันตัวสู้คดีทั้งผ้าเหลือง ส่วนพนักงานอัยการจังหวัดหล่มสักมีความเห็นสั่งฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 , 206 พระเกษมให้การปฏิเสธ


ต่อมาศาลจังหวัดหล่มสักได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2553 โดยพิพากษาว่า ตามฟ้องมาตรา 91 นั้น นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.พศจ.พช. ไม่ใช่เป็นผู้เสียหายและไม่มีอำนาจแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 206 ฐานกระทำการแก่วัตถุอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาอันเป็นการเหยียดหยามศาสนานั้น จำเลยก็เชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า สิ่งนั้นคือทองเหลือง ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า และก็ไม่ใช่กระทำแก่สิ่งอันเป็นที่เคารพในศาสนาพุทธ จึงไม่มีลักษณะเหยียดหยามศาสนาพุทธ จำเลยไม่มีความผิดพิพากษายกฟ้อง



พนักงานอัยการจังหวัดหล่มสักได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 6 และได้มีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ในวันนี้เวลาประมาณ 10.40 น. ที่ห้องพิจารณาคดีหมายเลข 6 ผู้พิพากษาได้ใช้เวลาประมาณ 25 นาที ขึ้นบัลลังก์อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดหล่มสัก โจทก์ และพระเกษม อาจิณณสีโล หรือดวงแพงมาต จำเลย โดยศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาว่า


“จำเลยต่อสู้ทำนองว่า พระพุทธรูปมิใช่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาเนื่องจากพระไตรปิฎก ที่เผยแพร่ในประเทศไทยทั้ง 5 ฉบับ ไม่มีฉบับใดบัญญัติว่า พระพุทธรูปเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกคงบัญญัติให้พระธรรมวินัยเท่านั้น เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นเรื่องความเข้าใจและความเชื่อส่วนตัวของจำเลยจากการที่จำเลยได้ศึกษาพระธรรมวินัย พระไตรปิฎก ที่จำเลยกล่าวอ้าง ความเข้าใจและความเชื่อของจำเลยดังกล่าวเป็นความรู้ด้านวิชาการเกี่ยวกับเรื่องศาสนาพุทธในประเทศไทย ซึ่งยังมีความเห็นที่แตกต่าง อาทิ พระวิสุทธินายกเจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ เบิกความว่าพระพุทธรูปไม่ใช่พระพุทธเจ้า แต่พระพุทธรูปเปรียบเสมือนรูปแทนพระพุทธเจ้า เป็นวัตถุที่สื่อให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ดังนั้น การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา จึงมีพระพุทธรูปเป็นประธานในพิธีเพื่อให้ระลึกถึงว่า มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานและร่วมประกอบพิธีกรรมนั้นด้วย

ความเข้าใจและความเชื่อของจำเลยเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและต้องศึกษาอย่างถ่องแท้ในหมู่คณะสงฆ์ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งบุคคลที่มีหน้าที่ตามกฎหมายโดยตรง กรณีมิใช่เรื่องที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะหยิบยกขึ้นมาโดยลำพัง เพื่อปฏิเสธความเชื่อของพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ที่มีมาช้านานแล้วเช่นนี้ได้ พระพุทธรูปจึงเป็นที่เคารพสักการะในทางศาสนาของประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธ โดยทั่วไป ที่จำเลยจัดให้มีการนำแผ่นป้ายข้อความว่า ”ทองเหลืองหล่อนี้ ไม่ใช่พุทธเจ้าแน่ ไม่ต้องกราบมัน” ไปติดที่ฐานองค์พระพุทธรูป และจำเลยใช้เท้าเหยียบฐานพระพุทธรูปและใช้มือขวาตบพระพักตร์พระพุทธรูปเช่นนี้

นอกจากเป็นการไม่เคารพต่อพระพุทธรูปแล้ว จำเลยยังได้แสดงตนเสมอกับพระพุทธรูป จึงเป็นการกระทำอันไม่สมควรและเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามพุทธศาสนา จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง จำเลยบวชเป็นพระมานานแล้วย่อมรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร จำเลยควรปฏิบัติให้เป็นเยี่ยงอย่างที่ดีแก่พุทธศาสนิกชน การที่จำเลยจะอธิบายถึงพระไตรปิฎกว่า พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้ยึดติดในรูปวัตถุนั้น จำเลยควรจะมีวิธีสอนหรือยกตัวอย่างให้เห็นโดยไม่จำเป็นต้องลงมือกระทำ จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าพระพุทธรูปเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวด้านจิตใจ และเป็นที่เคารพในทางศาสนาของพุทธศาสนิกชนย่อมแสดงได้ถึงเจตนาของจำเลยอัน เป็นการเหยียดหยามต่อพุทธศาสนา”

ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งคดีและสภาพความผิดแล้วเห็นสมควรรอการลงโทษจำคุก แก่จำเลยพิพากษากลับเป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 206 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี และปรับกระทงละ 10,000 บาท รวม 2 กระทง จำคุก 2 ปี และปรับ 20,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56


ภายหลังฟังคำพิพากษาพระเกษมได้เดินออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่บริเวณด้านหน้าศาลจังหวัดหล่มสักว่า จะขอยื่นฎีกาต่อสู้คดี เพื่อให้เป็นแนวทางให้ลูกหลานได้เรียนรู้ หากไม่ฎีกา เท่ากับหักการเรียนรู้ของลูกหลานในวันนี้ หากฎีกาแล้วตัดสินผิด ต่อไปก็อาจจะไปศาลใหญ่ๆกว่านี้ จะมีเวอร์ชั่นใหม่แน่นอน ทั้งนี้ จะฎีกาภายใน 30 วัน หากไม่ทันก็จะขอขยายเวลาต่อไปอีก

เมื่อถามว่า จะแสดงไตเติ้ลภาค 3 ได้หรือไม่ พระเกษมตอบว่ามี แต่ต้องใจเย็นๆ จากนั้นจึงขึ้นรถเก๋งเดินทางกลับออกไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้พระเกษมยังตกเป็นจำเลยถูกสำนักพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์แจ้งความดำเนินคดีในข้อหาเป็นพระภิกษุทราบคำวินิจฉัย ให้สละสมณเพศ แต่ไม่ยอมสละสมณเพศ ตามกำหนดอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ประกอบกฎมหาเถรสมาคม สืบเนื่องมาจากที่พระเกษมได้แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมใช้เท้าเตะสำรับอาหารบนโต๊ะ ขณะญาติโยมและแม่ชีกำลังตักบาตรในหอฉัน พร้อมเผยแพร่ในเว็บไซต์ยูทูปจนเป็นข่าวครึกโครมบนหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2554 อีกด้วย โดยนายถิระศักดิ์ ตระกูลอินทร์ อัยการจังหวัดหล่มสัก ได้นัดฟังคำสั่งในวันที่ 23 มีนาคม 55 ว่าจะมีความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่


ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/245205
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่