ธารทิพย์ บทที่ 24

กระทู้สนทนา
ธารทิพย์

โดย อัศวรักษ์


ธารทิพย์ บทที่ 23 http://ppantip.com/topic/33106297

            พรานโละแทรกตัวออกมาจากซอกที่หนีเข้าไปติดกับอยู่ ป่ามืดสนิทไปนานแล้วเขาจึงคลำหากิ่งไม้อยู่นานเพื่อทำคบไฟ เมื่อแสงสว่างจากคบในมือถูกจุดขึ้นโละจึงรีบออกวิ่งกลับเรือนอย่างรีบเร่ง เขาคิดโกรธแค้นตัวเองในใจที่ไม่ควรตามเหยื่อมาจนติดกับทำให้น้องสาวกับหลานต้องอยู่กันลำพังเมื่อตะวันตกดินไปแล้ว โละวิ่งพลางหยุดพลางเพื่อทำคบไฟอันใหม่แทนคบในมือที่ใกล้จะดับ เขาออกวิ่งต่อ ภาวนาในใจอย่าให้มีภัยใดเกิดขึ้น

            แต่คำภาวนาของเขาไร้ผล โละวิ่งหลุดออกจากชายป่าตรงมายังที่ที่เคยมีเรือนของพวกเขาปลูกอยู่ พรานหนุ่มดวงตาเหลือกลานยืนตะลึงจ้องไปที่นั่นซึ่งบัดนี้เรือนหลังนั้นหายไปแล้ว มีเพียงเศษซากที่มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน สติของเขาขาดผึงลงในบัดดล พรานหนุ่มวิ่งเข้าไปล้มตัวลงกวาดคุ้ยเถ้าถ่านพลางทุบตีบนใบหน้าและบนหน้าอกตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เสียงตะโกนร้องไห้โหยหวนดังไปไกล สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในสติคือหาซากศพของน้องและทารกน้อยผู้เป็นประหนึ่งดวงใจของเขา ความโศกเศร้าเสียใจและโกรธแค้นชิงชังตัวเองพุ่งขึ้นถึงขีดสุดทำให้โละคว่ำหน้าแน่นิ่งไปกับเถ้าถ่านหมดสติลงในที่สุด

                ดึกสงัด ป่าเย็นเยือกวังเวงจับหัวใจ หมอกปกคลุมไหลเอื่อยมาเป็นสาย บางสิ่งปลุกลอยาให้ลืมตาขึ้นจากการหลับใหล ร่างกายเวลานี้ปวดร้าวหนาวเหน็บจนขยับเขยื้อนแสนยาก เธอนั่งหลับตาลงอีกครั้งดีใจที่ยังมีชีวิตอยู่ ชั่วขณะเธอลืมตาขึ้นหันไปมองที่ราวป่านอกถ้ำเมื่อสำเหนียกความเคลื่อนไหวในป่าใกล้เข้ามา

                พวกมันยังไม่ละความพยายามตามฆ่า สติที่ยังเหลืออยู่บอก ลอยารวบรวมกำลังอีกครั้งเพื่อต่อสู้ เธอไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้วที่จะอุ้มลูกหนี ลอยาขยับห่อผ้าที่ห่อลูกน้อยอย่างเบาที่สุดเพื่อไม่ให้ทารกน้อยร้องออกมาอีกแล้วค่อยๆถัดร่างกายช้าๆไปบรรจงวางลงหลังโขดหินภายในถ้ำ

            เธอกัดฟันถัดตัวเองลากปืนมาหลบหลังก้อนหินที่ลานเล็กๆหน้าปากถ้ำ วางปากกระบอกปืนพาดก้อนหินเอาไว้ ลอยาเพ่งสายตาอันพร่ามัวมองภัยที่กำลังใกล้เข้ามาสลับกับหันไปมองโขดหินที่วางลูกน้อยหลบไว้ น้ำตาไหลพรากลงมาตัวเธอสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวและความเป็นห่วงลูก เธอกัดริมฝีปากอย่างแรงกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้หลุดรอดออกมา

                พวกมันไม่เปลี่ยนทิศทาง ยังคงก้มตัวเดินช้าๆใกล้เข้ามาอย่างประสงค์ร้าย

                เมื่อหมดทางหนี ลอยาปักหลักเตรียมต่อสู้อีกครั้งเพื่อรักษาชีวิตลูกน้อยของเธอด้วยสัญชาตญาณของแม่ผู้ยอมตายแทนลูกได้  เธอหลับตาคิดถึงดวงหน้าของสร้อยแก้วและท่านพี่ไกรศักดิ์ผู้เป็นดวงใจไว้ในสำนึก

                “ท่านพี่ช่วยข้าด้วย” ลอยาพูดไม่มีเสียงออกมา

                ในความมืดนั้น ดวงตาของเธอฉายแววเป็นประกายดุดันดั่งพยัคฆ์สาวที่หวงลูก จ้องเขม็งไปยังจุดที่มีพวกมันคืบคลานเข้ามา เธอภาวนาขอให้พวกมันเปลี่ยนเส้นทางเพื่อจะไม่ต้องมีบาปเวรต่อกัน ในชีวิตของลอยา นอกจากไอ้ผะโละที่เบียดตัวเข้ามาหวังจะเผาเธอกับลูกทั้งเป็นแล้ว เธอไม่เคยคิดเบียดเบียนฆ่าสัตว์ตัดชีวิตใดๆมาก่อน แต่ไม่เป็นอย่างที่เธอหวังพวกมันยังคงตรงเข้ามาจนถึงระยะที่เธอต้องตัดสินใจ  
    
            แล้วลอยาก็เหนี่ยวไกระเบิดหัวกระสุนออกจากปากกระบอกปืน

                “ปัง ปัง ปังปัง” ลูกเลื่อนปืนไรเฟิลสงครามสลัดปลอกกระสุนสี่นัดลงข้างตัว

                คมกระสุนพุ่งไปทางที่พวกมันเดินเข้ามา มันพุ่งตัวลงบนพื้นเมื่อเสียงปืนแผดขึ้นก้องป่า แล้วชั่วพริบตาแสงหนึ่งก็พุ่งวูบตรงเข้ามาหาตำแหน่งที่ลอยานั่งหลบอยู่

                “ตูม..” เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว แรงระเบิดและสะเก็ดฉีกร่างกายท่อนล่างของลอยาจนแหลกยับ เธอหงายหลังฟาดพื้นหินดวงตาถลนเหลือกลาน
    
            บัดนี้ ภาพสุดท้ายในสำนึกก่อนสิ้นใจ ร่างของลอยากรอกตาที่เหลือกลานไปทางโขดหินที่มีเสียงร้องไห้จ้าเพื่อจะจดจำดวงหน้าของลูกน้อยและผัวรักไว้อย่างแสนอาลัย แล้วกรอกดวงตาเหลือกลานกลับมาจ้องมองไอ้คนชั่วที่ยังตามมาพรากเธอไปจากพวกเขาผู้เป็นที่รัก จิตของลอยาจ้องจำใบหน้าสีดำของมันที่มายืนนิ่งมอง เธอมองมันอย่างเคียดแค้นชิงชัง สำนึกสุดท้ายของเธอคือ กูจะตามล้างผลาญของรักของตลอดไป

                แล้ววิญญาณอาฆาตก็ปลิดปลิวออกจากร่าง ติดกับอยู่ในสำนึกที่แสนรักและแสนเกลียดต่อไป นานชั่วกัปชั่วกัลป์ไม่มีอะไรจะเปลี่ยนแปลงได้

                หากย้อนเวลากลับไปหลายนาทีก่อนหน้า

                ม่านหมอกขาวทึบสลับเทาปกคลุมมัวมิดไปทั่วป่า บดบังทัศนะวิสัยให้มองเห็นได้เพียงไม่กี่ก้าว แต่ละย่างเท้านั้นเต็มไปด้วยอันตรายที่รับรู้อยู่ในสัญชาตญาณ
    
            พรานใหญ่ก้มตัวลงเดินช้าๆไปข้างหน้า นายทหารหนุ่มก้มเดินปิดหลังตามมาอย่างระวังภัย จากจุดพักเมื่อเวลากลางวันทั้งสองออกเร่งฝีเท้ากลับบ้านเมื่อพระอาทิตย์ตกดินจนมาถึงบริเวณนี้ในดึกสงัด

                ในผืนป่าใกล้เขตสงครามเช่นนี้ทั้งสองต้องตื่นตัวเต็มที่เพื่อรับการโจมตีที่อาจซุ่มซ่อนอยู่ที่ไหนก็ได้เวลาใดก็ได้ทุกเมื่อ เพื่อรักษาชีวิตตนเองกลับไปหาครอบครัวที่จากมา หลายวันมาแล้วที่ทั้งสองต้องกัดฟันทนต่อความหนาวเหน็บและหิวโหย ด้วยไม่สามารถก่อกองไฟขึ้นได้เพราะจะบอกตำแหน่งตนเองต่อข้าศึก มีเพียงเสื้อผ้าที่สวมอยู่เพื่อสู้กับความหนาวกับผลไม้ป่าปะทังชีวิต การเคลื่อนตัวก็ทำได้เฉพาะในเวลากลางคืนที่ยากลำบากทั้งจากข้าศึก การมองเห็นและสัตว์มีพิษต่างๆ ความเครียดจึงเกาะกุมสองสหายร่วมรบมาหลายวันแล้ว

                แล้วในนาทีแห่งความตึงเครียดนั้นเสียงแผดก้องของไรเฟิลสงครามก็ดังขึ้น

                “ปัง ปัง ปังปัง”
    
            ไกรศักดิ์และพรานผาพุ่งตัวลงหมอบหันไปทางทิศของเสียงปืนด้วยสัญชาตญาณของนักรบ หัวกระสุนและแรงปะทะที่แหวกอากาศมาผ่านวูบข้ามหัวทั้งสองไป หางตาของไกรศักดิ์จับที่มาของหัวกระสุนส่องวิถีที่เรืองแสงพุ่งเข้ามาในพริบตาขณะโดดลงหมอบ

                นายทหารหนุ่มไม่ต้องหยุดคิดอันใด เขากลิ้งตัวไปหลังต้นไม้แล้วลุกขึ้นนั่งคุกเข่าเหนี่ยวไกตอกหัวระเบิดเอ็มเจ็ดสิบเก้าที่บรรจุพร้อมอยู่แล้วผ่านท่อยิงที่ติดตั้งอยู่กับไรเฟิลเข้าสู่เป้าหมายทันที

                “ตูม..” เสียงระเบิดทำงานดังสนั่น ร่างของมนุษย์กระดอนขึ้นแล้วฟุบหายไปหลังก้อนหินกำบัง ชั่วไม่ถึงอึดใจที่ทั้งสองเฝ้ามองเป้าหมาย เสียงเด็กทารกก็ร้องไห้จ้าขึ้นจนงอหาย

                ทั้งพรานผาและไกรศักดิ์ลุกพรวดขึ้นยืนพร้อมกัน สีหน้าของคนทั้งสองตกใจตะลึงงันกับภาวะที่พลิกผัน ไม่เข้าใจว่านี่เกิดอะไรขึ้น จากสถานการณ์ที่ถูกโจมตีแล้วเริ่มตอบโต้ ตั้งมั่นจะโรมรันกับข้าศึก กลับมีเสียงเด็กทารกร้องไห้ พวกเขาหันมองกันในความมืด

                ไกรศักดิ์กระโจนพรวดออกจากที่กำบัง ดึงไฟฉายออกมาจากเอววิ่งตรงเข้าไปยังจุดที่ระเบิดตกซึ่งยังมีเสียงร้องของทารกดังจ้าอยู่ มีพรานผาวิ่งตามมาติดๆ จนถึงลานเล็กหน้าปากถ้ำ

                อนิจจา ชะตากรรมอันเลวร้ายที่สุดของครอบครัวปรากฏต่อสายตาเมื่อเขากดไฟฉายลง

                ดั่งรามสูรผู้กริ้วโกรธฟาดสายฟ้าผ่าลงกลางหัวใจ นรกอเวจีทุกขุมพลันถมทับเสริม ผ่านประสาทสัมผัสทุกส่วนของร่างกายให้ตอกตรึงหยุดนิ่งแข็งเกร็งแล้วฉายทะลักออกจากดวงตาที่เหลือกลานของไกรศักดิ์ เมื่อได้เห็นใบหน้าของร่างมนุษย์ซึ่งขาดรุ่งริ่งไปครึ่งตัวนอนอยู่บนพื้นตรงหน้าของเขาคือ ลอยา

                จอมพยัคฆ์แห่งพงไพรในชุดรบเต็มอัตรา มอมหน้าตัวเองด้วยเขม่าฟืนจนดำสนิทเมื่อออกทำสงคราม ตกตะลึงยืนมองดวงตาถลนเหลือกลานของเมียรักที่จ้องกลับมา

                หัวใจของเขาแหลกสลายลงเป็นธุลีแล้วบัดนี้ สิ้นศักดิ์สิ้นศรีสิ้นแล้วทุกสิ่ง เขาทรุดตัวคุกเข่าก้มลงจนหน้าผากจรดพื้นข้างศพ กอดครึ่งร่างของเมียรักไว้แนบอก แล้วเริ่มร้องไห้โฮโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง เกลือกกลิ้งคลุกหน้าของเขาลงบนใบหน้าไร้วิญญาณของจอมขวัญอย่างเสียสติ คร่ำครวญเพ้อหาเรียกชื่อเมียรักอยู่อย่างนั้นหวังจะปลุกให้ตื่น พลางฟาดฝ่ามือตนเองลงบนพื้นหินครั้งแล้วครั้งเล่า ลงทัณฑ์ที่มันผู้โง่เขลาเป็นต้นเหตุลั่นไกออกไป

                พรานใหญ่จอมขมังเวทย์ก็เฉกเช่นกัน ตบะบารมีแม้จะแก่กล้าเพียงใดก็มิอาจทานทน เขาคุกสองเข่าลงสองมือปิดหน้าร้องไห้โฮสะอึกสะอื้นอย่างสิ้นลาย

                “ลอยา..ลอยา..” เขาโงหัวขึ้นร้องไห้โฮตะโกนสุดเสียงเพื่อเพรียกหา ให้เธอกลับมาจากที่อันห่างแสนไกล

                เขาปล่อยร่างของเมียรักลง ลุกขึ้นยืนแหงนหน้าดวงตาลุกวาว กำมือทั้งสองข้างไว้แน่น ตวาดก้องสุดเสียงร้องหาความยุติธรรมจากฟ้าดิน

                “ทำไม..ทำไม..”

                “บอกข้ามา ทำไม..” บุรุษผู้สูญเสียยังแหงนหน้ากู่ตะโกนถามท้าอย่างเคืองแค้นต่อฟ้าดินและโชคชะตา

                เขาทรุดตัวลงกอดเมียรักอีกครั้ง ซบหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นนอนกอดอยู่อย่างนั้นจนหมดสติไป

                จอมพรานได้สติขึ้นเมื่อโสตประสาทเริ่มรับรู้เสียงเด็กร้อง เขาลุกขึ้นวิ่งเข้าไปภายในถ้ำตรงเสียงที่ได้ยินหลังโขดหิน นั่งลงอุ้มห่อผ้าสีน้ำเงินไว้แนบอกแล้ววิ่งกลับออกมาภายนอก เขาเปิดห่อผ้าบางส่วนออกแล้วฉายไฟฉายส่องดูทารกน้อย เธอมีอาการเกร็งจากความเย็นของอากาศและอาการผวาเฮือกร้องไห้ด้วยความตกใจเป็นระยะ

                พรานผาไม่มีเวลาคิดถึงสิ่งอื่น เขาวางทารกน้อยลงแล้วรีบก่อไฟเพื่อช่วยเด็กก่อน พลันเมื่อกองไฟค่อยๆลุกโชนขึ้นจนทั่วบริเวณเริ่มสว่าง เขาวิ่งไปหาไม้ฟืนรอบๆทั้งเล็กใหญ่โยนใส่ลงในกองไฟเพื่อไล่ความหนาวออกไปให้เร็วที่สุด

                ไฟกองใหญ่ลุกโพลงขึ้นแล้ว ความร้อนจากไฟไล่ความเย็นเยือกให้อากาศรอบๆอุ่นขึ้น พรานผาอุ้มทารกสร้อยแก้วมากอดไว้แล้วนั่งลงข้างกองไฟมองไปรอบบริเวณ

                นายทหารหนุ่มยังคงนอนกอดศพลอยาหมดสติแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น

                พรานผาเพิ่งจะได้มีเวลาสังเกตสิ่งที่อยู่รอบตัว เขามองสำรวจไปมาช้าๆ ตรงที่นั่งอุ้มทารกน้อยไว้นี้คือลานหน้าปากถ้ำตื้นๆ มีที่ราบกว้างถัดออกไปจนถึงราวป่าไม่ไกล

                พรานใหญ่ก้มลงมองหน้าทารกน้อยวัยเพียงเดือน ขมวดคิ้วสีหน้างุนงงสงสัยต่อคำถามที่ว่า ลอยาและลูกน้อยมาอยู่กลางป่าที่มืดมิดหนาวเย็นนี้ได้อย่างไร แล้วโละพี่ชายหายไปไหน หรือมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับโละเสียแล้ว เขามองไปหยุดนิ่งที่ร่างของไกรศักดิ์ด้วยความรันทด สภาพของลอยาที่เขานอนกอดหมดสติอยู่นั้นท่อนร่างแหลกเป็นชิ้น

                พรานผาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ในกรรมฐานที่ผ่านมาเขาสัมผัสได้ว่าวิบากกรรมจะเกิด แต่คิดไม่ถึงว่าจะโหดร้ายถึงเพียงนี้ เขามองไปทีละคน พ่อนอนกอดแม่ที่เป็นศพ แล้วก้มมองลูกของทั้งสองในอ้อมแขนอีกครั้ง พรานใหญ่หลับตาลงเพื่อเข้าสู่กรรมฐานอีกครั้ง แล้วพูดพึมพำ

                “ข้าแต่ลิขิต อีกทั้งโสมผู้เป็นใหญ่แห่งราตรี ส่องตาให้ข้าได้ประจักษ์ในหนทางด้วยเถิด”

                ล่วงเลยผ่านเวลามายี่สิบปี      
                ลุงไกรศักดิ์ก็เช่นเดียวกัน เขาคุกเข่าลงด้วยท่านั้นร้องไห้อย่างเสียสติ ทำท่ากอดบางสิ่งไว้ในอ้อมแขน  เจ็บปวดที่ต้องกรีดหัวใจออกมาเป็นคำพูดบอกเล่าถึงนาทีที่โหดร้าย

                “พ่อฆ่าแม่ของลูก..พ่อฆ่าแม่ของลูก..” เขาตะโกนร้องไห้ลั่นแล้วฟาดฝ่ามือลงบนพื้นอยู่อย่างนั้น

                สร้อยแก้ว ทารกน้อยที่รอดตายมาจากคืนนั้นโผเข้ากอดห้ามพ่อไว้ เธอร้องไห้โฮกอดพ่อไว้แน่นไม่ให้ทำร้ายตัวเอง หัวใจชองเธอเศร้าโศกสงสารแม่ สงสารพ่อและสงสารชะตากรรมของตัวเอง

                พรานโละ เพิ่งจะได้รู้ความจริงที่พ่อครูผาเก็บเงียบงำมาตลอดยี่สิบปีหลังจากที่เขาได้สติลุกขึ้นจากกองเถ้าถ่าน เวลานี้เขาก็นั่งคุกเข่าสองมือปิดหน้าสะอึกสะอื้นอยู่เช่นเดียวกัน

            สองคนโจกับเหมียวก็ร่วมความทุกข์โศกแสนสาหัสนั้นไปด้วย เหมียวโผเข้ากอดเขาไว้เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วยกัน
    คนทั้งห้าต่างนั่งนิ่งไปนานครู่ใหญ่ เหมียวที่พอจะสงบจิตใจลงได้ก่อนลุกขึ้นไปรินน้ำมาส่งให้ทุกคนดื่ม ลุงไกรรับมาแล้วยิ้มน้อยๆจับไหล่เธอขอบใจ

                “เจ้าทั้งสองคิดเยี่ยงไร” ไกรศักดิ์พูดแบบชาวป่าแล้วมองหน้าลูกสาวกับพรานโละ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่