เหตุผลที่ System Trader เลิกดูกราฟ

กระทู้สนทนา
เห็นเป็นประเด็นให้ถกกันในหลายเพจ หลังจากที่ "คุณมดแห่งแมงเม่าคลับ" ปล่อยบทความ
เหตุผลที่ผม “เลิกดู” กราฟหุ้น (ด้วยตาเปล่า) โดยคุณมดได้ให้เหตุผลมา 3 ข้อดังต่อไปนี้

1. การดูกราฟหุ้นด้วยตาเปล่านั้นเป็นสิ่งที่คลุมเครือ
2. การดูกราฟหุ้นด้วยตาเปล่าเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้
3. การดูกราฟหุ้นด้วยตาเปล่าไม่อาจเอาชนะขีดจำกัดของสมองมนุษย์ (Brain Limit)

ซึ่งหัวข้อบทความมันก็บอกอยู่แหละนะว่า เหตุผลที่ "ผม" เลิกดูกราฟหุ้นด้วยตาเปล่า
ซึ่งน่าจะแปลว่าเขาเลิกดูคนเดียว ไม่ได้บังคับให้ใครเลิกดูตาม
http://www.mangmaoclub.com/why-i-stop-reading-stock-chart/

วันนี้มาขอแอบเพิ่มเติมเหตุผลนิดๆหน่อยๆ ในฐานะที่ต้องนั่งดูกราฟทุกวันๆ มาเป็นเวลาหลายปี
ทั้งนี้ทั้งนั้นคนที่เริ่มใหม่ ก็ยังแนะนำให้หัดดูไปก่อนเพื่อทำความเข้าใจในส่วนประกอบการเคลื่อนไหวของราคา
และอินดิเคเตอร์ต่างๆ เพราะถ้าวันไหนคุณระบุส่วนประกอบได้ หาวิธีวัดได้ คุณก็จะดูกราฟน้อยลงไปเอง

1.การดูกราฟไม่ว่าจะมีอินดิเคเตอร์หรือไม่มีอินดิเคเตอร์ "ทีละตัว" ต่อให้คุณมี 10 จอ แต่อย่าลืมว่าลูกตาคุณมีแค่ 2 ข้าง
(หรืออาจจะ 4 ข้าง ในกรณีใส่แว่น) ซึ่งมันเป็นอะไรที่เสียเวลามาก อีกทั้งชีวิตของคนเรามีต้นทุนเป็นเวลา และถึงแม้ว่าคุณจะ
ดูคล่องแล้ว กดไล่กราฟให้ผ่านตาเพื่อหาหุ้นที่เทรนด์มันเป็นขาขึ้นอย่างเดียว มันก็คงยังต้องใช้เวลาในการตัดสินใจพอสมควร
ยกเว้นในกรณีที่คุณเลือกหุ้นมาแล้วไม่เกิน 10 ตัว แล้วเอามาพินิจพิเคราะห์ดูอีกที หรือในกรณีที่คุณลงทุนหรือเทรดในสินค้า
เพียงชนิดเดียว เช่น SET50F GoldF OilF เป็นต้น

2.การดูกราฟทำให้คุณเสียโอกาส จากข้อแรกแน่นอนว่าการเสียเวลาทำให้คุณเสียโอกาสบางอย่างไป แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น
จริงๆ แล้วถึงแม้ว่าสมองจะไม่สามารถตัดสินใจอะไรที่คลุมเครือได้ แต่สมองคุณยังมีส่วนที่สามารถคำนวณ หรือการตัดสินใจ
อย่างเป็นระบบได้ (การวิเคราะห์ตัวเลขทางงบการเงินก็เป็นการตัดสินใจอย่างเป็นระบบอย่างหนึ่ง) เพียงแต่อาจจะต้อง
ใช้เครื่องมือเข้ามาช่วยในการคำนวณหรือค้นหาตัวแปร ในขณะที่การดูกราฟอย่างเดียว จะทำให้สมองได้ใช้แต่ทฤษฎี
The Gestalt Laws of Organization (Wertheimer,1923) และจะทำให้คุณเสียโอกาสในการพัฒนาระบบและทักษะความคิดของคุณ

3.การดูกราฟจะทำให้เกิดการยึดมั่นถือมั่นในตำราที่เล่าเรียนมามากเกินไป ว่ามันต้องเป็นอย่างงั้นสิ ก็ตำรามันสอนมาแบบนี้
ระยะเวลาเท่านี้ แพทเทิร์นแบบนี้ แต่คุณอย่าลืมนะว่า ตลาดเป็นพลวัตเสมอ อย่างที่ท่านเซอร์ จอห์น เทมเพอร์ตัน
กล่าวไว้ว่า " this time is different " และถ้าคุณคิดว่ามันจะซ้ำรอยในรายละเอียดในทุกๆอย่าง โดยเฉพาะพวกท่านๆ
ที่ชอบรออินดิเคเตอร์คอนเฟิร์มหลายๆตัว ก็จะยิ่งทำให้ความคิดคุณเกิด fallacy และ misconception ขึ้นเรื่อยๆ

สรุปว่า ข้อที่ 1 เป็นข้อเสียจากการนั่งดูกราฟมากเกินไปโดยตรง ข้อที่ 2 เป็นข้อเสียจากกราฟครึ่งนึงสมองมนุษย์ครึ่งนึง
ในขณะที่ข้อที่ 3 เป็นข้อเสียจากการยึดมั่นถือมั่นในวิชาและตำราการดูรูปแบบของกราฟ หรือถือเป็นข้อเสียจากมนุษย์เพียวๆ

อีกส่วนที่อยากจะเพิ่มคือ เครื่องมือที่ดีสมควรที่จะสามารถวัดสิ่งที่เราต้องการจะวัดได้ออกมาเป็นหน่วย ไม่ใช่เป็นเพียง
การคาดคะเนคร่าวๆ เพราะถ้าวัดไม่ได้ก็ควบคุมไม่ได้ ถ้าวัดไม่ได้ก็ระบุปัญหาไม่ได้ และถ้าระบุปัญหาไม่ได้ก็แก้ไข้จุด
บกพร่องไม่ได้ ซึ่งหลายๆเครื่องมือที่หลายๆท่าน ยอมเสียเงินแพงๆ ไปเรียนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถระบุหน่วยวัด ออกมาได้ด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าการดูกราฟราคาโดยรวมนั้นจะเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้าเราสามารถเข้าใจถึงโครงสร้างและองค์ประกอบ
มากกว่าภาพรวมด้วยการคาดคะเนคร่าวๆ จะเป็นอะไรที่ดีต่อการลงทุนของหลายๆท่านมากขึ้น เพราะถ้าหากเทียบกับอย่างอื่น
ในชีวิตจริงเราก็คงไม่อยากให้หมอวินิจฉัยโรคด้วยการดูอาการแบบคร่าวๆแล้วจ่ายยา หรือให้ตำรวจสักแต่จับคนมารับผิดได้ก็พอ
ผิดจริงไม่จริงก็ไม่รู้ ไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่ชัด หรือซื้อบ้านก็ขอให้แค่บ้านสวยเป็นพอ โครงสร้างเบื้องหลังจะเป็นอย่างไรก็ได้ไม่สนใจ
ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไป พายุมาบ้านพังก็ไม่ได้ไร อะไรแบบนั้น ... จบละจ้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่