หายขาด บอกลาไมเกรน ในเวลา 9 เดือน !! ^0^

บอกก่อนเลยว่าเป็นครั้งแรกที่ตั้งกระทู้ค่ะ
หนูอายุ 17 ค่ะ เป็นไมเกรน มีอาการปวดข้างเดียว หรือ ปวดร้าวอย่างหนัก จนมีอาการหน้ามืด และปวดเบ้าตา ปวดเมื่อยตามตัว ไปจนถึงชาและไม่มีแรง แม้กระทั่งจับช้อนทานข้าว

เวลาไมเกรนกำเริบทีไร หนูร้องไห้ งอแง ยิ่งร้องก็ยิ่งปวด ไปนอนโรงพยาบาลหลายวันเลยค่ะ นอนแผนกประสาทและสมอง ไปนอนคืนแรก หนูก็ร้องไห้ใส่คุณหมอเพราะปวดหัวด้วย คุณหมอก็ให้หนูกำมือคุณหมอ หนูก็ทำไม่ได้ไม่มีแรง ปวดหัวมาก เลยต้องนอนโรงพยาบาลไปตามระเบียบ ห่อเหี่ยวมากค่ะ

คุณพ่อคุณแม่หนูกลุ้มใจมาก แต่โชคยังดีที่ทางบ้านค่อนข้างมีฐานะ เลยรีเควสหมอเก่งๆมารักษา คุณหมอมาหาตอน 3 ทุ่มคืนนั้นเลยค่ะ ตอนแรกตรวจเพราะกลัวจะเป็นเนื้องอกหรือเนื้อร้ายในสมอง เพราะอาเจียนลักษณะพุ่ง และเกิดอาการหน้าชาตัวชา

หลังจากตรวจแน่ชัดแล้วว่าไม่ได้เป็นโรคร้าย เป็นเพียงไมเกรนเท่านั้น เลยปรึกษาหมอ อยากจะรักษาให้หายขาด มีวิธีใดบ้าง หมอให้รับการรักษาบำบัด วางแผนให้หายขาดใช้เวลา 2 ปี หรือ 1 ปี 6 เดือน

ตอนนี้หนูหายแล้วค่ะ หนูหายจากวงจรทั้งหมดทั้งมวลเพียงเวลา 9 เดือน หัวเราะ

ไมเกรน ถ้าฉีดยา หรือ ทานยา เป็นการแก้ที่ปลายเหตุค่ะ อย่างที่น่าจะทราบอยู่แล้ว ปวดหัว กินยา จะได้หาย พอปวดอีก ก็กินอีก

จริงๆแล้วต้องปรับเปลี่ยนต้นเหตุค่ะ สังเกตดูนะคะ
1.ระยะเวลาการทำงาน เครียดโดยไม่รู้ตัว
2.การดื่มน้ำ เพียงพอมั้ย สำคัญมากๆค่ะ
3.อาหารที่ทาน ความเข้มข้น หรือ เด่นรสมากเกินไป
4.สิ่งแวดล้อม สภาพอากาศ รวมไปถึง บรรยากาศเดิมๆด้วยนะคะ
5.ถ้าทำงานออฟฟิศ พนักโซฟา ความสะดวกสบาย
6.การพักผ่อน นอนหลับ นอนให้ครบ 8 ชั่วโมง
7.การเพ่งหน้าจออิเล็กโทรนิกส์ทุกชนิด ย้ำ ! ทุกชนิดเลยค่ะ
8.ออกกำลังกาย

ตอนที่หนูเป็นไมเกรน ในตอนแรกหมอวินิจฉัยว่าอาจจะเป็นเนื้องอกในสมองค่ะ เพราะมีอาการอาเจียนแบบพุ่ง และเหน็บชา ทานยาเป็นว่าเล่นเลยค่ะ เลยตัดสินใจเข้าเครื่อง MRI(เรียกถูกหรือเปล่า ขอโทษด้วยนะคะ) เป็นอุโมงค์อ่ะค่ะ

ช่วงแรก หนูต้องไปหาคุณหมอทุกอาทิตย์ นอกจากจะตรวจดูอาการแล้ว หมอจะเช็คการทำงานของร่างกาย ให้กำมือหมอแน่นๆ ห้ามให้หมอดึงออกได้ การตอบสนอง เช่น ใช้ค้อนตีเข่า จากนั้นหนูก็ต้องไปตรวจตาค่ะ เพราะหนูปวดเบ้าตา คุณหมอบอกว่ากล้ามเนื้อตาเป็นตระคิว เกิดจากหนูอ่านหนังสือหนักมาก และเรียนอยู่ในห้องแลป มีการใช้กล้องจุลทรรศ สลับกับการเพ่งเล็งหน้าจอตลอดเวลา

-หนูต้องหยอดยาขยายม่านตา- จะมีอาการตามัว ประมาน 6 ชั่วโมง รู้สึกง่วง เมื่อยล้าเมื่อโดนแสง
-ก่อนนอน ทานยาเพื่อให้หลับสนิท บรรเทาอาการปวดหัว มีสองแบบ แบบง่วงจัดเมื่อปวดมาก กับ แบบปกติที่ต้องทานทุกวัน
-ต้องหยอดตา 3 เวลาทุกวัน

ตอนนั้นรู้สึกแย่มากค่ะ เพราะปกติหนูเป็นนักกีฬา เป็นเด็กออกกำลังกายสม่ำเสมอ ค่อนไปทางหนักด้วยซ้ำ หนูเล่นดนตรี ร้องเพลง เป็นเด็กที่ชอบหาอะไรใหม่ๆค่ะ แต่ในขณะเดียวกันก็เรียนหนักมากๆด้วย

แต่พอเป็นไมเกรน กลายเป็นคนละคนไปเลยค่ะ กลายเป็นเด็กอ่อนแอ ป่วยออดๆแอดๆ โรงเรียนไปไม่เคยจะครบอาทิตย์เหมือนเด็กคนอื่น ไปเรียนก็ต้องพกยาไปด้วย กลางวันทานข้าวกับเพื่อนเสร็จแล้ว แทนที่จะออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อน พี่พยาบาลก็จะมาตามให้ไปหยอดตา ทานอาหารแยกจากเพื่อนๆ เพราะต้องทานอาหารเน้นผักผลไม้ รสชาติอ่อนๆ หนูเลยรู้สึกแปลกไปจากเพื่อนๆ

ทำให้หนูเกิดอาการซึมเศร้า ท้อแท้ จากที่ตัวเองได้เล่นสนุก มีแรงออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนไม่รู้เหนื่อย กลายเป็นเดินเล่นยังรู้สึกเพลีย เลยเอาแต่นอนเก็บตัวอยู่ในห้องเพราะปวดหัว อ่อนเพลีย ประกอบกับคุณพ่อกับคุณแม่เป็นห่วงมาก เลยจะให้ออกจากโรงเรียนประจำกลับไปรักษาตัวที่บ้าน ยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปอีก เสาร์-อาทิตย์ ใช้เวลากับการไปหาคุณหมอ เรียกได้ว่าโรงพยาบาลเป็นบ้านหลังที่ 2 เลยค่ะ

หลังจากช่วงแรกไปหาคุณหมอทุกอาทิตย์ ก็เริ่มเว้นช่วงค่ะ เป็นสองอาทิตย์ครั้ง หมอแนะนำให้ออกกำลัง หนูเลยลองไปห้องฟิตเนสค่ะในหอพัก ตัวเองเป็นนักกีฬาทุนเดิมอยู่แล้ว เลยเดินบนลู่วิ่งค่ะในวันแรก ๆ เอาที่ตัวเองพอไหว ประหลาดใจมากค่ะ ตัวเองกลับร็สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้สึกมึนตื้อ เหมือนที่เป็นตั้งแต่เช้า

อาหารที่ทานหนูจะมีผักสดทานพร้อมกับมื้ออาหารด้วยตลอดเลยค่ะทุกมื้อ อาหารรสจืดหรืออ่อนๆและไม่แข็ง กล้วยและแอปเปิ้ล ทุกๆวัน ผักสดก็จำพวกสีเขียว สีส้ม พี่เลี้ยงจะหั่นแครอทไว้ให้ พร้อมกับล้างผัก กล้วยหอมกับแอปเปิ้ล อย่างละ 1 ผล ห่อใส่ถุง จนเพื่อนให้ฉายาว่า เต่าน้อย เลยค่ะ แล้วก็ดื่มน้ำเยอะๆๆๆ ตื่นเช้าก็ดื่มน้ำเลยค่ะ คุณหมอบอกว่า ให้หนูดื่มจะได้ช่วยเลือดไหลเวียนดี ไม่รู้สึกหัวหมุนๆ อ้อ ตื่นเช้ามาก็ต้องวัดชีพจรด้วยค่ะ ว่าเต้นเท่าไหร่ จดไว้แล้วก็เอาบันทึกไปให้คุณหมอดูค่ะ

หนูเริ่มออกกำลังกายมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะยิ่งออกก็ยิ่งรู้สึกดี แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆก็พักค่ะ แต่จะไม่ค่อยสดใส มีอยู่ช่วงนึง กลับจากโรงเรียนตอน 4 โมงมาที่หอ หลับจนถึง 6 โมงเช้าอีกวันเลยค่ะ ไม่รู้เพราะอะไร ถามคุณหมอก็บอกว่า คงพักผ่อนน้อย แต่ห้ามไม่ให้หนูนอนแบบนั้นบ่อยๆ หมอกลัวว่าชีพจรจะเต้นอ่อนเกินไป

เดือนที่ 4 หนูก็เริ่มเข้ากิจกรรมกับเพื่อนๆ แต่ก็ยังปวดหัวอยู่เรื่อยๆ เรียกได้ว่าทุกวันด้วยซ้ำ แต่จะเป็นบางวัน หรือวันเว้นวัน ที่ปวดหนักๆแล้วก็ต้องขอลากลับหอก่อน หนูก็เริ่มท้อว่าทำไมไม่หายสักที มันทรมานมากๆ

เลยเริ่มเปลี่ยนการออกกำลังกายเป็นอย่างอื่นค่ะ หนูเริ่มลงคอร์สเรียนเต้น เล่นแบตกับเพื่อน เล่นอย่างอื่นที่หลากหลาย ทำให้เราไม่เบื่อ แล้วก็ได้ออกกำลัง ในตอนนั้นยังกินยาก่อนนอนทุกคืน รวมถึงพาราเวลาปวดหัว

เดือนที่ 6 หนูก็บอกลาคุณหมอที่ดูแลตาค่ะ ไม่ต้องหยอดตาแล้ว เย้ ๆ ดีใจมากค่ะ เพราะว่าเวลาไปขยายม่านตา หนูจะมองไม่เห็น ภาพเบลอ ตอนหยอดก็เจ็บด้วยค่ะ

พอเข้าเดือนที่ 7  ดีขึ้นมากๆ แต่ยังติดทานยาก่อนนอน ถ้าไม่ทานจะนอนไม่หลับ คุณหมอเริ่มจ่ายยาน้อยลง ไม่พอถึงวันนัด เริ่มรู้สึกกังวล นอนไม่ค่อยสนิท แต่คุณหมอก็บอกว่าต้องพยายามหน่อย แต่ถ้าไม่ไหวก็ทานยา

พอไปสักพักเข้าเดือนที่ 8 หนูสามารถนอนหลับได้แม้จะไม่ได้ทานยา ปวดหัวน้อยลงมาก ร่าเริ่งขึ้น ที่สำคัญไปโรงเรียนได้ไม่กลับก่อนเพื่อน มีเวลาเล่นกับเพื่อนมากขึ้น แต่ยังต้องไปหาคุณหมออยู่เนืองๆ

เดือนที่ 9 ต้นเดือนหนูวิ่งเล่นกับเพื่อนไม่รู้เหนื่อยเลยค่ะ แต่พี่พยาบาลก็ปรามเอาไว้บ้าง กลางเดือนไปพบคุณหมอ คุณหมอไม่ให้ยาแล้วค่ะ แล้วก็บอกลาคุณหมอพร้อมกับขอบคุณด้วยค่ะ ที่ทำให้หนูหายขาดจากอาการที่เป็นอยู่

หนูก็ไม่รู้ที่หนูเป็นเหมือนกับไมเกรนของคนอื่นๆมั้ยนะคะ แต่หนูแค่อยากเอามาเล่าให้ฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้างน่ะค่ะ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เม่ารดน้ำเม่ารักสัตว์เม่าเริงร่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่