เกริ่นนำ
เราเป็นไมเกรนมาหลายปีแล้วค่ะ ถ้าจำไม่ผิดครั้งแรกก็คือช่วงม.2 อายุประมาณ14 ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราเป็น อาการปวดหัวจี๊ดที่ขมับ ตาพร่าเบลอ ปวดต้นคอ แบบนี้เรียกว่าการปวด “ไมเกรน” เพราะฉะนั้นเวลาปวดหัว สิ่งที่เราทำคือ การทานยาพาราเซตามอล เพื่อแก้ปวด รอเวลาให้หาย แต่ถามว่าหายไหม? คำตอบคือไม่
ช่วงเริ่มแรกคือ นานๆทีเป็นค่ะ ไม่ค่อยมีอุปสรรคในชีวิตเท่าไหร่ มีช่วงเป็นถี่บ้าง เบาบ้าง ก็ประคองอาการให้ผ่านไปโดยไม่เคยไปหาหมออย่างจริงจัง จนกระทั่งเวลาผ่านไป เราเรียน ปวช. ปี2 ถ้าจำไม่ผิดน่าจะอายุ 17ปี อาการปวดมันกลับมา คราวนี้เป็นหนักมาก เป็นทุกวัน เฉลี่ยวันละ 1 ครั้ง ช่วงกลางวัน อาจเป็นเพราะการเรียนเป็นแบบเดินเรียน แล้วอากาศเมืองไทย ทุกคนก็รู้นะคะว่า ร้อนขนาดไหน คิดว่านั้นอาจเป็นตัวกระตุ้นอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดไมเกรน
เราเป็นหนักถึงขั้นอาเจียนเลยตัดสินใจบอกพ่อ ให้พ่อพาไปหาหมอ เมื่อถึงไปโรงพยาบาล หมอฉีดยาแก้ปวดให้ แต่ก็ไม่ค่อยดีขึ้น พอปล่อยเวลาผ่านไป อาการปวดหัวหาย ถึงได้กลับบ้าน ส่วนเรื่องอาการคุณหมอไม่เคยวินิจฉัยถึงอาการที่เป็นนี้ว่า “ไมเกรน” เลยสักครั้ง อาจจะเป็นเพราะอายุที่ยังน้อยด้วย คุณหมอเลยไม่คิดว่าเราเป็น วนลูปอยู่อย่างนี้ประมาณ 3 ครั้งมั้งคะ ปวดหัวหนัก หาหมอ ฉีดยา กลับบ้าน
จนครั้งที่ 4 ไปหาหมอ ไปเจอคุณหมอท่านหนึ่งค่ะ ท่านบอกว่า เราปวดหัวบ่อยผิดปกติ แล้วก็ไม่คิดว่าเราจะเป็นไมเกรนด้วย เพราะอายุน้อย เค้าเลยส่งเราไป ฉีดยา เข้าอุโมงค์ทำ CT Scan ไปค่ะ เพื่อหาสาเหตุ พอทำเสร็จ รอผล ผลออกมา...
... สรุป ปกติดีทุกอย่างค่ะ เอาละ คราวนี้ คุณหมอเลยสรุปออกมาว่าเราเป็นไมเกรนจริงๆแล้วแหละ แล้วคุณหมอก็สั่งยามาให้ทาน เสร็จจบ กลับบ้าน
หลังจากนั้น เราเลยรู้ว่า ไปหาหมอไม่หาย เพราะฉะนั้นเวลาปวด เราจึงไปร้ายขายยา และบอกว่าซื้อยาแก้ปวดหัว “ไมเกรน” ค่ะ
สาเหตุที่ทำให้ไปฝังเข็ม
ด้วยความที่เป็นไมเกรนมานาน ทำให้มียาไมเกรนติดตัวตลอดเวลา เมื่อปวดก็ทาน เป็นๆ หายๆ ลากยาวจนปัจจุบันอายุ 25 ปี ไม่ได้ปวดหัวไมเกรนมาประมาณเดือนนึงแล้ว อยู่ๆก็กลับมาปวด แล้วอาการปวดหัวนั้นก็ปวดหนักขึ้น ปวดมากขึ้น ถี่ขึ้น จากเฉลี่ยวันละ 1 ครั้ง เป็น 2 และที่สำคัญ คือปวดขณะที่เราหลับอยู่ ใช่ค่ะ หลับๆอยู่ก็ปวดจนต้องตื่นขึ้นมาเพื่อทานยา ประเด็นคือ ทานยาแล้วไม่หาย เอ้า! อะไรวะ ปกติกินยาก็หายนะ คราวนี้ไม่หาย ก็รับกรรมไปค่ะ ทนปวดจนกว่าจะหายเอง (คิดว่าตัวเองน่าจะดื้อยาแล้ว)
เป็นอย่างนี้ประมาณ 2 อาทิตย์ ปวดหัวตอนนอน เลยทำให้หลับไม่เต็มอิ่ม จุดพีคคือ วันนั้นวันเสาร์ เราต้องไปทำงานค่ะ ดันปวดตอนตี3ครั้งนึง พอหายแล้วก็เป็นอีก ตอนตี5 คราวนี้ปวดลากยาวยันเที่ยง ปวดจนต้องอาเจียน โมโหมาก ว่าจะปวดอะไรนักหนา ทำงานไม่ได้ ทานไม่ได้ ทรมานมาก ตาลืมแทบไม่ขึ้น แทบอยากตาย เลยเสิร์ทหาข้อมูลวิธีรักษา ไมเกรน เจอคอมเมนต์ในพันทิปเนี่ยแหละค่ะ ว่าฝังเข็มช่วยแก้ไมเกรนได้ ว่าแล้วก็เข้าอากู๋ เสิร์ทหาที่ฝังเข็มที่ใกล้ที่สุด (เพิ่งย้ายที่ทำงาน+ที่อยู่ มาสมุทรสาคร) โทรหา แล้วนัดเลย (เสร็จภายใน3นาที คือปวดด้วย โมโหด้วย) ได้นัดเป็นวันถัดมา (อาทิตย์) 10 โมง
สถานที่ฝังเข็ม
สถานที่ที่เราไปฝังเข็ม คือโรงพยาบาลเอกชัยค่ะ แผนกแพทย์แผนจีน คือที่ๆใกล้ที่สุด ตอนที่เราหา (ดูจาก Google Map)
โรงพยาบาลเอกชัยเป็นโรงพยาบาลเอกชนเทั่วไปเลยค่ะ เพิ่มเติมคือมีแผนกแพทย์แผนจีน (ราคาค่ารักษาทั้งหมดเดี๋ยวค่อยบอกนะคะ)
เริ่มต้นรักษาไมเกรนด้วยการฝังเข็ม
ครั้งแรกที่ไปคือ ด้วยความที่เราเพิ่งย้ายมาอยู่แถวนี้ เลยไปโรงพยาบาลไม่ถูก ไม่ทราบว่าต้องนั่งรถอะไร เลยใช้บริการรถแท็กซี่ เมื่อไปถึงก็ไปติดต่อที่จุด Customer Service บอกว่ามีนัดฝังเข็ม (เพื่อนๆที่อยากจะไปรักษาด้วยการฝังเข็มเหมือนกันควรโทรนัดก่อนนะคะ ไม่งั้นอาจต้องไปนั่งรอแง่ว เพราะคุณหมอติดนัด) พี่ที่จุดนี้ก็จะถามข้อมูลเรา ถ้าคนเพิ่งเคยมาครั้งแรก ก็ต้องถ่ายรูปทำประวัติแล้วรอสักพัก ให้พี่เค้าออกเวชระเบียนใหม่ แต่ถ้าเคยมาแล้ว ยื่นบัตรประชาชนใบเดียว พี่เค้าจะออกใบสีขาวๆ แล้วเราก็ขึ้นไปชั้น 2 แผนกแพทย์แผนจีนได้เลยจ้า
พอมาถึงแผนกฝังเข็ม เราก็ยื่นใบสีขาวที่เราได้รับมาเมื่อกี้ให้พี่พยาบาลที่หน้าเคาเตอร์ แล้วก็ไปนั่งรอสวยๆที่ โซฟาค่ะ สถานที่นั่งรอตรวจของโรงพยาบาลจัดว่าดีมากค่ะ แอร์เย็น สะอาด มีจุดบริการน้ำดื่ม กาแฟ ฟรี
รอจนคุณพยาบาลเรียกชื่อเรา ไม่นานค่ะ ประมาณ3 นาที ก็จะพาเราเข้าห้อง ทำการซักประวัติ วัดความดัน ชั่งน้ำหนักทั่วไปเลยค่ะ
จากนั้นคุณพยาบาลจะเอาชุดมาให้เราเปลี่ยน หลังจากเปลี่ยนแล้วก็มานั่งรอเรียกตรวจ จากนั้นก็พบหมอค่ะ
ห้องน้ำที่นี่ก็สะอาดสะอ้านดีค่ะ มีล็อคเกอร์ให้เก็บของ เอาของใส่ล็อคกุญแจ เวลาพบหมอก็เข้าไปตัวเปล่าพร้อมกุญแจค่ะ
และนี่คือโฉมหน้าของคุณหมอค่ะ (หล่อคมเข้ม) อวยขนาดนี้นี่เค้าไม่ได้จ่ายมารีวิวนะคะคู๊ณณณณณ ที่อวยเพราะหมอเค้ารักษาเราจนหายจริงๆค่ะ (ผู้มีพระคุณ กราบบบบ)
คุณหมอที่ทำการรักษาให้เราชื่อ
คุณหมอชัยรัตน์ ช่างสลัก ค่ะ
เริ่มการรักษา
ฝังเข็มครั้งที่1
พอเข้าไปคุณหมอก็จะถามอาการค่ะ พอเปิดโอกาสให้พูดปุ๊บ ใส่เลยค่ะ ฉอดๆๆๆๆ บอกไปเลยค่ะ บอกให้ละเอียด ปวดหัวตรงนั้น ปวดต้นคอบ่าไหล่ตรงนี้ เป็นหนักขนาดนั้น เป็นถี่ขนาดนี้ บอกให้หมดค่ะ เพราะทุกอย่างคุณหมอเค้าจะเอาไปประกอบการวินิจฉัยค่ะ คุณหมอใจดีค่ะ ไม่ต้องกลัว
จากนั้นคุณหมอจะทำการตรวจโดยการจับชีพจร ดูลิ้น ดูเท้า สารพัน ซึ่งพวกนี้เราก็ไม่ค่อยเข้าใจค่ะ แต่คุณหมอให้ทำอะไร เราก็ทำตาม เพราะว่าอยากหายจริงๆ
ตรวจเสร็จก็ขึ้นเขียงค่ะ เอ้ย! ขึ้นเตียงค่ะ นี่เป็นการฝังเข็มครั้งแรก คุณหมอและคุณพยาบาลก็จะคอยปลอบใจว่าไม่เจ็บหรอกเจ็บจิ๊ดเดียว ตึงๆ แล้วคุณหมอก็เอาสำลีชุบแอลกอฮอล์มาเช็ดๆจุดที่จะทำการฝังเข็ม แล้วแกก็บ่นพึมพำ ซึ่งเราฟังบไม่ออก) พอเราฝังเข็มจริงๆก็ไม่ค่อยเจ็บค่ะ จิ๊ดๆบริเวณที่ฝังนิดนึง จุดที่รู้สึกมากหน่อยจะเป็น บริเวณมือและเท้าค่ะ ส่วนบริเวณหัวหรือหน้าไม่เจ็บเลยค่ะ (หน้าเราหน้าหนาหว่า?)
หลังจากฝังเข็มก็ทิ้งเข็มไว้ให้คาที่ตัวเรา แล้วก็จะให้เราหลับพักค่ะ 40นาที พอครบ 40 นาที คุณพยาบาลก็จะเอาเข็มออก (เข็มเป็นแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งนะคะ) จากนั้นก็ทำการครอบแก้วที่หลังค่ะ โดยการให้ใส่เสื้อกลับหลัง ครอบแก้วทิ้งไว้ 20 นาทีค่ะ (รักษาอาการปวดคอบ่าไหล่) พอเสร็จ แล้วเอาแก้วออก คุณหมอก็จะนวดให้ค่ะ
ใช่ค่ะ หมอฝังเข็มกลายเป็นหมอนวดแล้วค่ะ การนวดที่คุณหมอนวด เรียกว่าการ “นวดทุยหนา” นวดเสร็จก็จะระบมหน่อยค่ะ เพราะคุณหมอ มือหนักใช่เล่น จากนั้นก็จบค่ะ การฝังเข็มครั้งที่1 ค่ารักษาครั้งนี้เรายังไม่ได้ซื้อคอร์สอะไรนะคะ ขอจ่ายเป็นรายครั้งค่ะ
ฝังเข็มครั้งที่2 (ผ่านไป1อาทิตย์)
นึกว่าจะดีขึ้นค่ะ กลับกลายเป็นปวดหนักกว่าเดิมถี่กว่าเดิม เล่นเอาผวาเลยค่ะว่ารักษาแล้วจะหายจริงไหมหว่า? แต่ก็เอาวะ ไปอีก
ตลอดทั้งอาทิตย์ 6 คืน กว่าจะไปพบคุณหมอใหม่ ซี่งนัดวันอาทิตย์ คือปวดคืนละ 3 ครั้งเลย ไม่ขาดไม่เกิน พอไปหาคุณหมอเล่าอาการให้ฟัง (เราจด วัน เวลา ครั้ง ที่ปวดไปด้วยค่ะ คือ อยากหายมากจริงๆค่ะ คนที่เป็นจะเข้าใจมาก เลยละเอียดนิดนึง เพื่อให้คุณหมอทำงานง่ายขึ้น ) คราวนี้คุณหมอบอกว่านัดอาทิตย์ละ 1 วันไม่พอ เราคือเป็นหนักมาก ให้เปลี่ยนมารักษาอาทิตย์ละ 2 ครั้ง (ต้องบอกก่อนนะคะ ว่าการรักษาไมเกรนของเรา เราค่อนข้างเชื่อฟังคุณหมออย่างเคร่งครัดค่ะ หมอให้มาถี่ขึ้นก็จะมาค่ะ ไม่เคยมีความคิดถี่ว่ามาถี่กว่าเดิมจะเปลืองหรือว่าอะไรเลยค่ะ ด้วยที่เราเข้าใจอยู่แล้วว่าการรักษาด้วยแพทย์ทางเลือกต้องใช้เวลาค่ะ)
คราวนี้ก็เหมือนเดิมค่ะ ฝังเข็ม ครอบแก้ว แต่คราวนี้ไม่มีการนวดทุยหนานะคะ (การรักษาแต่ละครั้งคุณหมอจะทำการรักษาไม่เหมือนกันค่ะ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจคุณหมอ ว่าต้องการแก้อะไรบ้างค่ะ เพราะไมเกรนมีตัวกระตุ้นหลายอย่างที่ทำให้เกิดค่ะ) มีเพิ่มเติมคือ คุณหมอให้ไปซื้ออบเชยผงมาชงทานกับน้ำร้อนก่อนนอนค่ะ เพราะเราบอกว่านอนไม่หลับเพราะปวดหัว และปัสสาวะบ่อยด้วยค่ะ ค่ารักษาครั้งนี้ก็ยังคง ขอจ่ายเป็นรายครั้งค่ะ
ฝังเข็มครั้งที่3 (ผ่านไปอีก2วัน)
ความถี่ในการเริ่มปวดลดลงค่ะจากคืนละ3ครั้งเป็น2ครั้ง ความหนักเวลาปวดก็ลดลงค่ะ แต่ยังปัสสาวะบ่อยอยู่คราวนี้ก็ ฝังเข็ม ครอบแก้ว เพิ่มเติมคือ รมยาค่ะ
โดยการรมยาคุณพยาบาลจะจุดคล้ายๆกำยานมา แล้ววางบนแท่นไม้ แล้วก็เอามาวางบนท้องน้อยเราประมาณ 30 นาทีค่ะ ซึ่งสาเหตุที่คุณหมอให้รมยานี้คือ คุณหมอว่ามดลูกเรานั้นชื้นมาก การรมยานั้นเพื่อระบายความชื้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการไมเกรน ระบบไม่ดี ก็ไม่ดีทั้งร่างกาย ซึ่งเราก็ลืมไป ไม่เคยบอกคุณหมอเลยว่าก่อนหน้านี้เคยเป็นถุงน้ำในมดลูกแต่รักษาจนยุบแล้ว (รักษาโดยวิธีทานยาคุม) ประจวบเหมาะกับที่คุณหมอบอกว่ามดลูกเราไม่ดี ด้วยการจับชีพจร(หมอเทพขิงๆ) แล้วยาคุมที่เราทานก็กำลังจะหมดแผง ก็เลยเลิกทาน เพราะว่าคุณหมอบอกว่าบางทีฮอร์โมนในยาคุมก็อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดไมเกรนเช่นกัน ส่วนค่ารักษาครั้งนี้จ่ายเป็นรายครั้งค่ะ
ฝังเข็มครั้งที่4 (ผ่านไปอีก3วัน)
ความถี่ในการเริ่มปวดลดลงค่ะเป็นคืนละ1ครั้ง ความหนักเวลาปวดยังคงเดิมค่ะ ฝังเข็มแก้ปวดหัวและครอบแก้วปกติค่ะ ส่วนค่ารักษาครั้งนี้จ่ายเป็นรายครั้งค่ะ
ฝังเข็มครั้งที่5 (ผ่านไปอีก2วัน)
ความถี่ในการเริ่มปวดลดลงอีกค่ะ ตกคืนละครั้ง บางคืนก็ไม่ปวด (จำได้ว่าฝังเข็มครั้งที่5ตื่นเต้นมาก เพราะเริ่มเห็นผลชัดเจน พอไม่ปวดหัวกลางคืนก็นอนหลับสนิทมากขึ้นค่ะ ซึ่งดีต่อการรักษา) ความหนักเวลาปวดก็ลดลงค่ะ คราวนี้การฝังเข็มมีฝังเข็มแก้ปวดหัวปกติ ไม่ครอบแก้วค่ะ
แต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือ ฝังเข็มกระตุ้นไฟฟ้า บริเวณคอบ่าไหล่ค่ะ โดยความรู้สึกตอนเปิดเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าก็ตื้ดๆ เป็นพักๆ (คือ?) เพราะเราบอกว่าปวดตึงคอบ่าไหล่มาก ค่ารักษาครั้งนี้จ่ายเป็นรายครั้งค่ะ
(มีต่อด้านล่างค่ะ)
[CR] รีวิวฝังเข็มรักษาไมเกรน จากเป็นหนักแทบขาดใจ จนหาย
เราเป็นไมเกรนมาหลายปีแล้วค่ะ ถ้าจำไม่ผิดครั้งแรกก็คือช่วงม.2 อายุประมาณ14 ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เราเป็น อาการปวดหัวจี๊ดที่ขมับ ตาพร่าเบลอ ปวดต้นคอ แบบนี้เรียกว่าการปวด “ไมเกรน” เพราะฉะนั้นเวลาปวดหัว สิ่งที่เราทำคือ การทานยาพาราเซตามอล เพื่อแก้ปวด รอเวลาให้หาย แต่ถามว่าหายไหม? คำตอบคือไม่
ช่วงเริ่มแรกคือ นานๆทีเป็นค่ะ ไม่ค่อยมีอุปสรรคในชีวิตเท่าไหร่ มีช่วงเป็นถี่บ้าง เบาบ้าง ก็ประคองอาการให้ผ่านไปโดยไม่เคยไปหาหมออย่างจริงจัง จนกระทั่งเวลาผ่านไป เราเรียน ปวช. ปี2 ถ้าจำไม่ผิดน่าจะอายุ 17ปี อาการปวดมันกลับมา คราวนี้เป็นหนักมาก เป็นทุกวัน เฉลี่ยวันละ 1 ครั้ง ช่วงกลางวัน อาจเป็นเพราะการเรียนเป็นแบบเดินเรียน แล้วอากาศเมืองไทย ทุกคนก็รู้นะคะว่า ร้อนขนาดไหน คิดว่านั้นอาจเป็นตัวกระตุ้นอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดไมเกรน
เราเป็นหนักถึงขั้นอาเจียนเลยตัดสินใจบอกพ่อ ให้พ่อพาไปหาหมอ เมื่อถึงไปโรงพยาบาล หมอฉีดยาแก้ปวดให้ แต่ก็ไม่ค่อยดีขึ้น พอปล่อยเวลาผ่านไป อาการปวดหัวหาย ถึงได้กลับบ้าน ส่วนเรื่องอาการคุณหมอไม่เคยวินิจฉัยถึงอาการที่เป็นนี้ว่า “ไมเกรน” เลยสักครั้ง อาจจะเป็นเพราะอายุที่ยังน้อยด้วย คุณหมอเลยไม่คิดว่าเราเป็น วนลูปอยู่อย่างนี้ประมาณ 3 ครั้งมั้งคะ ปวดหัวหนัก หาหมอ ฉีดยา กลับบ้าน
จนครั้งที่ 4 ไปหาหมอ ไปเจอคุณหมอท่านหนึ่งค่ะ ท่านบอกว่า เราปวดหัวบ่อยผิดปกติ แล้วก็ไม่คิดว่าเราจะเป็นไมเกรนด้วย เพราะอายุน้อย เค้าเลยส่งเราไป ฉีดยา เข้าอุโมงค์ทำ CT Scan ไปค่ะ เพื่อหาสาเหตุ พอทำเสร็จ รอผล ผลออกมา...
... สรุป ปกติดีทุกอย่างค่ะ เอาละ คราวนี้ คุณหมอเลยสรุปออกมาว่าเราเป็นไมเกรนจริงๆแล้วแหละ แล้วคุณหมอก็สั่งยามาให้ทาน เสร็จจบ กลับบ้าน
หลังจากนั้น เราเลยรู้ว่า ไปหาหมอไม่หาย เพราะฉะนั้นเวลาปวด เราจึงไปร้ายขายยา และบอกว่าซื้อยาแก้ปวดหัว “ไมเกรน” ค่ะ
สาเหตุที่ทำให้ไปฝังเข็ม
ด้วยความที่เป็นไมเกรนมานาน ทำให้มียาไมเกรนติดตัวตลอดเวลา เมื่อปวดก็ทาน เป็นๆ หายๆ ลากยาวจนปัจจุบันอายุ 25 ปี ไม่ได้ปวดหัวไมเกรนมาประมาณเดือนนึงแล้ว อยู่ๆก็กลับมาปวด แล้วอาการปวดหัวนั้นก็ปวดหนักขึ้น ปวดมากขึ้น ถี่ขึ้น จากเฉลี่ยวันละ 1 ครั้ง เป็น 2 และที่สำคัญ คือปวดขณะที่เราหลับอยู่ ใช่ค่ะ หลับๆอยู่ก็ปวดจนต้องตื่นขึ้นมาเพื่อทานยา ประเด็นคือ ทานยาแล้วไม่หาย เอ้า! อะไรวะ ปกติกินยาก็หายนะ คราวนี้ไม่หาย ก็รับกรรมไปค่ะ ทนปวดจนกว่าจะหายเอง (คิดว่าตัวเองน่าจะดื้อยาแล้ว)
เป็นอย่างนี้ประมาณ 2 อาทิตย์ ปวดหัวตอนนอน เลยทำให้หลับไม่เต็มอิ่ม จุดพีคคือ วันนั้นวันเสาร์ เราต้องไปทำงานค่ะ ดันปวดตอนตี3ครั้งนึง พอหายแล้วก็เป็นอีก ตอนตี5 คราวนี้ปวดลากยาวยันเที่ยง ปวดจนต้องอาเจียน โมโหมาก ว่าจะปวดอะไรนักหนา ทำงานไม่ได้ ทานไม่ได้ ทรมานมาก ตาลืมแทบไม่ขึ้น แทบอยากตาย เลยเสิร์ทหาข้อมูลวิธีรักษา ไมเกรน เจอคอมเมนต์ในพันทิปเนี่ยแหละค่ะ ว่าฝังเข็มช่วยแก้ไมเกรนได้ ว่าแล้วก็เข้าอากู๋ เสิร์ทหาที่ฝังเข็มที่ใกล้ที่สุด (เพิ่งย้ายที่ทำงาน+ที่อยู่ มาสมุทรสาคร) โทรหา แล้วนัดเลย (เสร็จภายใน3นาที คือปวดด้วย โมโหด้วย) ได้นัดเป็นวันถัดมา (อาทิตย์) 10 โมง
สถานที่ฝังเข็ม
สถานที่ที่เราไปฝังเข็ม คือโรงพยาบาลเอกชัยค่ะ แผนกแพทย์แผนจีน คือที่ๆใกล้ที่สุด ตอนที่เราหา (ดูจาก Google Map)
โรงพยาบาลเอกชัยเป็นโรงพยาบาลเอกชนเทั่วไปเลยค่ะ เพิ่มเติมคือมีแผนกแพทย์แผนจีน (ราคาค่ารักษาทั้งหมดเดี๋ยวค่อยบอกนะคะ)
เริ่มต้นรักษาไมเกรนด้วยการฝังเข็ม
ครั้งแรกที่ไปคือ ด้วยความที่เราเพิ่งย้ายมาอยู่แถวนี้ เลยไปโรงพยาบาลไม่ถูก ไม่ทราบว่าต้องนั่งรถอะไร เลยใช้บริการรถแท็กซี่ เมื่อไปถึงก็ไปติดต่อที่จุด Customer Service บอกว่ามีนัดฝังเข็ม (เพื่อนๆที่อยากจะไปรักษาด้วยการฝังเข็มเหมือนกันควรโทรนัดก่อนนะคะ ไม่งั้นอาจต้องไปนั่งรอแง่ว เพราะคุณหมอติดนัด) พี่ที่จุดนี้ก็จะถามข้อมูลเรา ถ้าคนเพิ่งเคยมาครั้งแรก ก็ต้องถ่ายรูปทำประวัติแล้วรอสักพัก ให้พี่เค้าออกเวชระเบียนใหม่ แต่ถ้าเคยมาแล้ว ยื่นบัตรประชาชนใบเดียว พี่เค้าจะออกใบสีขาวๆ แล้วเราก็ขึ้นไปชั้น 2 แผนกแพทย์แผนจีนได้เลยจ้า
พอมาถึงแผนกฝังเข็ม เราก็ยื่นใบสีขาวที่เราได้รับมาเมื่อกี้ให้พี่พยาบาลที่หน้าเคาเตอร์ แล้วก็ไปนั่งรอสวยๆที่ โซฟาค่ะ สถานที่นั่งรอตรวจของโรงพยาบาลจัดว่าดีมากค่ะ แอร์เย็น สะอาด มีจุดบริการน้ำดื่ม กาแฟ ฟรี
รอจนคุณพยาบาลเรียกชื่อเรา ไม่นานค่ะ ประมาณ3 นาที ก็จะพาเราเข้าห้อง ทำการซักประวัติ วัดความดัน ชั่งน้ำหนักทั่วไปเลยค่ะ
จากนั้นคุณพยาบาลจะเอาชุดมาให้เราเปลี่ยน หลังจากเปลี่ยนแล้วก็มานั่งรอเรียกตรวจ จากนั้นก็พบหมอค่ะ
ห้องน้ำที่นี่ก็สะอาดสะอ้านดีค่ะ มีล็อคเกอร์ให้เก็บของ เอาของใส่ล็อคกุญแจ เวลาพบหมอก็เข้าไปตัวเปล่าพร้อมกุญแจค่ะ
และนี่คือโฉมหน้าของคุณหมอค่ะ (หล่อคมเข้ม) อวยขนาดนี้นี่เค้าไม่ได้จ่ายมารีวิวนะคะคู๊ณณณณณ ที่อวยเพราะหมอเค้ารักษาเราจนหายจริงๆค่ะ (ผู้มีพระคุณ กราบบบบ)
คุณหมอที่ทำการรักษาให้เราชื่อ คุณหมอชัยรัตน์ ช่างสลัก ค่ะ
เริ่มการรักษา
ฝังเข็มครั้งที่1
พอเข้าไปคุณหมอก็จะถามอาการค่ะ พอเปิดโอกาสให้พูดปุ๊บ ใส่เลยค่ะ ฉอดๆๆๆๆ บอกไปเลยค่ะ บอกให้ละเอียด ปวดหัวตรงนั้น ปวดต้นคอบ่าไหล่ตรงนี้ เป็นหนักขนาดนั้น เป็นถี่ขนาดนี้ บอกให้หมดค่ะ เพราะทุกอย่างคุณหมอเค้าจะเอาไปประกอบการวินิจฉัยค่ะ คุณหมอใจดีค่ะ ไม่ต้องกลัว
จากนั้นคุณหมอจะทำการตรวจโดยการจับชีพจร ดูลิ้น ดูเท้า สารพัน ซึ่งพวกนี้เราก็ไม่ค่อยเข้าใจค่ะ แต่คุณหมอให้ทำอะไร เราก็ทำตาม เพราะว่าอยากหายจริงๆ
ตรวจเสร็จก็ขึ้นเขียงค่ะ เอ้ย! ขึ้นเตียงค่ะ นี่เป็นการฝังเข็มครั้งแรก คุณหมอและคุณพยาบาลก็จะคอยปลอบใจว่าไม่เจ็บหรอกเจ็บจิ๊ดเดียว ตึงๆ แล้วคุณหมอก็เอาสำลีชุบแอลกอฮอล์มาเช็ดๆจุดที่จะทำการฝังเข็ม แล้วแกก็บ่นพึมพำ ซึ่งเราฟังบไม่ออก) พอเราฝังเข็มจริงๆก็ไม่ค่อยเจ็บค่ะ จิ๊ดๆบริเวณที่ฝังนิดนึง จุดที่รู้สึกมากหน่อยจะเป็น บริเวณมือและเท้าค่ะ ส่วนบริเวณหัวหรือหน้าไม่เจ็บเลยค่ะ (หน้าเราหน้าหนาหว่า?)
หลังจากฝังเข็มก็ทิ้งเข็มไว้ให้คาที่ตัวเรา แล้วก็จะให้เราหลับพักค่ะ 40นาที พอครบ 40 นาที คุณพยาบาลก็จะเอาเข็มออก (เข็มเป็นแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งนะคะ) จากนั้นก็ทำการครอบแก้วที่หลังค่ะ โดยการให้ใส่เสื้อกลับหลัง ครอบแก้วทิ้งไว้ 20 นาทีค่ะ (รักษาอาการปวดคอบ่าไหล่) พอเสร็จ แล้วเอาแก้วออก คุณหมอก็จะนวดให้ค่ะ
ใช่ค่ะ หมอฝังเข็มกลายเป็นหมอนวดแล้วค่ะ การนวดที่คุณหมอนวด เรียกว่าการ “นวดทุยหนา” นวดเสร็จก็จะระบมหน่อยค่ะ เพราะคุณหมอ มือหนักใช่เล่น จากนั้นก็จบค่ะ การฝังเข็มครั้งที่1 ค่ารักษาครั้งนี้เรายังไม่ได้ซื้อคอร์สอะไรนะคะ ขอจ่ายเป็นรายครั้งค่ะ
ฝังเข็มครั้งที่2 (ผ่านไป1อาทิตย์)
นึกว่าจะดีขึ้นค่ะ กลับกลายเป็นปวดหนักกว่าเดิมถี่กว่าเดิม เล่นเอาผวาเลยค่ะว่ารักษาแล้วจะหายจริงไหมหว่า? แต่ก็เอาวะ ไปอีก
ตลอดทั้งอาทิตย์ 6 คืน กว่าจะไปพบคุณหมอใหม่ ซี่งนัดวันอาทิตย์ คือปวดคืนละ 3 ครั้งเลย ไม่ขาดไม่เกิน พอไปหาคุณหมอเล่าอาการให้ฟัง (เราจด วัน เวลา ครั้ง ที่ปวดไปด้วยค่ะ คือ อยากหายมากจริงๆค่ะ คนที่เป็นจะเข้าใจมาก เลยละเอียดนิดนึง เพื่อให้คุณหมอทำงานง่ายขึ้น ) คราวนี้คุณหมอบอกว่านัดอาทิตย์ละ 1 วันไม่พอ เราคือเป็นหนักมาก ให้เปลี่ยนมารักษาอาทิตย์ละ 2 ครั้ง (ต้องบอกก่อนนะคะ ว่าการรักษาไมเกรนของเรา เราค่อนข้างเชื่อฟังคุณหมออย่างเคร่งครัดค่ะ หมอให้มาถี่ขึ้นก็จะมาค่ะ ไม่เคยมีความคิดถี่ว่ามาถี่กว่าเดิมจะเปลืองหรือว่าอะไรเลยค่ะ ด้วยที่เราเข้าใจอยู่แล้วว่าการรักษาด้วยแพทย์ทางเลือกต้องใช้เวลาค่ะ)
คราวนี้ก็เหมือนเดิมค่ะ ฝังเข็ม ครอบแก้ว แต่คราวนี้ไม่มีการนวดทุยหนานะคะ (การรักษาแต่ละครั้งคุณหมอจะทำการรักษาไม่เหมือนกันค่ะ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจคุณหมอ ว่าต้องการแก้อะไรบ้างค่ะ เพราะไมเกรนมีตัวกระตุ้นหลายอย่างที่ทำให้เกิดค่ะ) มีเพิ่มเติมคือ คุณหมอให้ไปซื้ออบเชยผงมาชงทานกับน้ำร้อนก่อนนอนค่ะ เพราะเราบอกว่านอนไม่หลับเพราะปวดหัว และปัสสาวะบ่อยด้วยค่ะ ค่ารักษาครั้งนี้ก็ยังคง ขอจ่ายเป็นรายครั้งค่ะ
ฝังเข็มครั้งที่3 (ผ่านไปอีก2วัน)
ความถี่ในการเริ่มปวดลดลงค่ะจากคืนละ3ครั้งเป็น2ครั้ง ความหนักเวลาปวดก็ลดลงค่ะ แต่ยังปัสสาวะบ่อยอยู่คราวนี้ก็ ฝังเข็ม ครอบแก้ว เพิ่มเติมคือ รมยาค่ะ
โดยการรมยาคุณพยาบาลจะจุดคล้ายๆกำยานมา แล้ววางบนแท่นไม้ แล้วก็เอามาวางบนท้องน้อยเราประมาณ 30 นาทีค่ะ ซึ่งสาเหตุที่คุณหมอให้รมยานี้คือ คุณหมอว่ามดลูกเรานั้นชื้นมาก การรมยานั้นเพื่อระบายความชื้น ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการไมเกรน ระบบไม่ดี ก็ไม่ดีทั้งร่างกาย ซึ่งเราก็ลืมไป ไม่เคยบอกคุณหมอเลยว่าก่อนหน้านี้เคยเป็นถุงน้ำในมดลูกแต่รักษาจนยุบแล้ว (รักษาโดยวิธีทานยาคุม) ประจวบเหมาะกับที่คุณหมอบอกว่ามดลูกเราไม่ดี ด้วยการจับชีพจร(หมอเทพขิงๆ) แล้วยาคุมที่เราทานก็กำลังจะหมดแผง ก็เลยเลิกทาน เพราะว่าคุณหมอบอกว่าบางทีฮอร์โมนในยาคุมก็อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดไมเกรนเช่นกัน ส่วนค่ารักษาครั้งนี้จ่ายเป็นรายครั้งค่ะ
ฝังเข็มครั้งที่4 (ผ่านไปอีก3วัน)
ความถี่ในการเริ่มปวดลดลงค่ะเป็นคืนละ1ครั้ง ความหนักเวลาปวดยังคงเดิมค่ะ ฝังเข็มแก้ปวดหัวและครอบแก้วปกติค่ะ ส่วนค่ารักษาครั้งนี้จ่ายเป็นรายครั้งค่ะ
ฝังเข็มครั้งที่5 (ผ่านไปอีก2วัน)
ความถี่ในการเริ่มปวดลดลงอีกค่ะ ตกคืนละครั้ง บางคืนก็ไม่ปวด (จำได้ว่าฝังเข็มครั้งที่5ตื่นเต้นมาก เพราะเริ่มเห็นผลชัดเจน พอไม่ปวดหัวกลางคืนก็นอนหลับสนิทมากขึ้นค่ะ ซึ่งดีต่อการรักษา) ความหนักเวลาปวดก็ลดลงค่ะ คราวนี้การฝังเข็มมีฝังเข็มแก้ปวดหัวปกติ ไม่ครอบแก้วค่ะ
แต่ที่เพิ่มขึ้นมาคือ ฝังเข็มกระตุ้นไฟฟ้า บริเวณคอบ่าไหล่ค่ะ โดยความรู้สึกตอนเปิดเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าก็ตื้ดๆ เป็นพักๆ (คือ?) เพราะเราบอกว่าปวดตึงคอบ่าไหล่มาก ค่ารักษาครั้งนี้จ่ายเป็นรายครั้งค่ะ
(มีต่อด้านล่างค่ะ)
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น