Latest Update: April 2020
สำหรับท่านที่สนใจเพิ่มเติม
ตอนที่ 2
https://ppantip.com/topic/33153280
ตอนที่ 3
https://ppantip.com/topic/33204572
ตอนที่ 4
https://ppantip.com/topic/36156125
ใครมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับทุนอาเซียนนี้
สอบถามเพิ่มเติมติดต่อเพจนี้ได้นะครับ: https://www.facebook.com/TSnxtgen/
สวัสดีครับพี่ป้าน้าอาและ ชาวPantip วันนี้ผม (กฤต) จะมาขอเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับทุนการศึกษาที่บางท่านอาจจะเคยได้ยินจากลูกๆหลานๆ หรือพ่อแม่ที่มีลูกได้ทุนไปเรียนต่อ ณ ประเทศสิงคโปร์
ก่อนอื่นก็ต้องขอแนะนำตัวเองเล็กๆน้อยๆ ผมชื่อว่า กรกฤต จงเจียมดี ชื่อเล่นชื่อ กฤต
ผมเป็นคนอยู่ไม่เป็นหลักเป็นแหล่งจึงเรียนแต่ละที่ไม่เคยเกินสามปี (ตั้งแต่เล็กจนโต 555) ก็ไม่ได้ไปมีเรื่องอะไรกับใครที่ไหนหรอกฮะ แค่โชคชะตามันพาไปสัมผัสชีวิตหลายรูปแบบและรสชาติ ซึ่งเมื่อตอนอยู่ม.3 ก็ได้มีโอกาสไปสอบชิงทุนนี้ และก็ไม่ทราบแน่ชัดว่ามีคุณสมบัติด้านใดที่ไปกระดอนเข้าตากรรมการ (หวังว่าตาท่านคงยังไม่บอด) เลยได้ไปศึกษาต่อที่สิงคโปร์สี่ปีจนจบม.ปลายที่นู่น ซึ่งระหว่างนี้ (เนื่องจากมีเวลาระหว่างที่พึ่งจบม.ปลายกับก่อนที่จะเข้ามหาลัย) จึงคิดอยากจะมาเล่ากล่าวให้ผู้ที่สนใจได้รู้จักกับทุนนี้มากขึ้น เพราะฉะนั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าฮะ
ทุน ASEAN Secondary School Scholarship นี้เป็นทุนที่ทางกระทรวงการศึกษาของรัฐบาลสิงคโปร์ได้จัดขึ้นเพื่อมอบให้แก่นักเรียนชาติ ASEAN เพื่อจะได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่ประเทศสิงคโปร์ (ซึ่งมีระบบการศึกษาที่หลายประเทศยอมรับว่าดีติดอันดับโลก) ถ้าจะพูดแบบไม่อ้อมค้อมก็ประมาณว่าอยากให้เด็กเก่งต่างชาติไปกระจุกอยู่ที่ประเทศของเขา ส่วนน้อยๆก็หวังว่าเด็กเก่งๆเหล่านี้จะชอบและตัดสินใจเปลี่ยนสัญชาติ (ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ก็จะอยากกลับบ้านมากกว่า 555 จึงเป็นที่มาว่านี่คือส่วนน้อย) แต่ที่สำคัญกว่านั้นและเป็นผลตอบแทนที่มีความเป็นไปได้สูงนั่นก็คือเพื่อที่ว่าในอนาคตถ้าเด็กทุนเหล่านี้เติบโตเป็นนักธุรกิจหรือเป็นใหญ่ในประเทศของตน สิงคโปร์ก็จะได้มี connection (เส้นสาย) มาช่วยในการติดต่อประสานงานและธุรกิจระหว่างประเทศ
ซึ่งตามสถิติของผู้ที่ได้รับทุน เด็กไทยก็จะได้ปีละประมาณ 5-8 คนต่อปี (แล้วแต่สภาพสถานการณ์การเมืองและงบประมาณของรัฐบาลสิงคโปร์ด้วย 5555) แต่อย่าพึ่งตกใจนะฮะว่าทำไมน้อยจัง และก็อย่าพึ่งไปกังวลว่าจะได้ทุนนี้หรือไม่ เพราะผมเชื่อว่าทุนนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ประเสริฐเลิศเลอที่สุดในชีวิตของเด็กทุกๆคน รวมทั้งการได้รับทุนการศึกษาก็มีทั้งข้อดี และข้อเสียอยู่เหมือนกัน นอกจากนี่ การได้รับทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก็อาจจะไม่ได้เหมาะไปกับเด็กทุกคนด้วยครับ
โดยปกติแล้วๆ แต่ละปีก็จะมีผู้สมัครประมาณ 400-600 คน (ค่อนข้างน้อย อาจเป็นเพราะทุนนี้ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว่าง) ซึ่งเมื่อเขาเหล่านี้ได้กรอกและส่งเอกสารสำคัญเพื่อใช้ในการสมัครสอบไป ทางนู้นเขาก็จะคัดเด็กจาก Profile เหล่านี้เพื่อที่จะเรียกให้ไปสอบในรอบต่อๆไป (ซึ่งบางปีก็คัดจากเอกสารใบสมัครรอบหนึ่งให้ไปสอบข้อเขียนแล้วถึงคัดอีกรอบหนึ่งเพื่อให้ไปสอบรอบสัมภาษณ์ หรือไม่ก็คัดจากใบสมัครรอบเดียวแล้วให้ไปสอบทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์) (รายระเอียดของทุนและการสมัครสามารถเข้าไปดูได้ที่
http://www.moe.gov.sg/education/scholarships/asean/thailand/secondarythree/ )
จากประสบการณ์ส่วนตัวผมรู้สึกว่าตัวผมเองได้เรียนรู้อะไรเยอะมากแค่จากการสมัครทุนนี้อย่างเดียว เพราะผมต้องฝึกอ่านข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ ถามคุณพ่อคุณแม่คุณครูเพื่อนๆบ้างว่าไอคำนี้แปลว่าอะไร มันถามอะไร จะเอาอะไรจากเรา ต้องฝึกเขียนประวัติส่วนตัวด้วยตนเองเป็นภาษาอังกฤษ รวบรวมผลงานทั้งด้านการเรียนและกิจกรรมที่เป็นกระดาษกระจัดกระจายอยู่ทั่วมุมบ้าน และให้คนนู้นคนนี้มาช่วยเราแปลเป็นภาษาอังกฤษ แค่นี้ยังไม่พอเพราะต้องเอาเอกสารไปรับรองกับทางกระทรวงการต่างประเทศของไทย ฯลฯ เหนื่อยมวากๆ T-T แทบจะร้องไห้ บางครั้งเอกสารก็แปลพลาดหรือมีส่วนผิดก็ต้องมานั่งแก้ไม่ก็ต้องเขียนใหม่ โอยยยยยยปวดหัวบรมช่วงนั้น แต่ก็ยังดีที่ได้พ่อแม่มาเตือนสติว่านี่แหละชีวิตอนาคตของลูก (ตอนนั้นรู้สึกเรือหายส์เลยครับท่าน 5555) แต่ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก (แหงล่ะ เด็กม.2ที่ไหนมันจะต้องมาวิ่งเต้นทำเอกสารแบบเราล่ะ) (นี่ขนาดยังไม่ได้ทุนนะเนี่ย ก็ได้เรียนรู้อะไรไปเยอะละ)
หลายเดือนผ่านไป (จนคิดว่าเขาคงไม่ได้เลือกเราแล้วล่ะ -_-'' ) ทางสิงคโปร์ก็ได้แจ้งกลับมาให้เราไปสอบข้อเขียน เย้ๆๆๆ ดีใจมากที่อย่างน้อยก็จะได้ไปลอง แต่พอลองอ่านรายละเอียดดูดีๆ ปรากฏว่าเขาไม่ได้บอกว่า อังกฤษ เลข กับความถนัด ที่จะสอบนี่มีหัวข้ออะไรบ้าง เอาล่ะสิครับ เกาหัวกันทั้งบ้านเลย ตรูจะสอบเรื่องอะไร ยังไงไม่รู้เลย พ่อแม่เลยต้องวิ่งเต้น (อีกแล้ว) ไปถามคนอื่นๆว่ารู้อะไรเกี่ยวกับทุนนี้มั้ย กว่าจะพอมีไอเดียบ้างว่าจะสอบแนวไหนก็เหลือเวลาไม่ถึงเดือนก่อนจะสอบ เราก็มานั่งติวกันแทบสลบคาโต๊ะไปเกือบเดือน
พอถึงวันสอบปุ๊บ รู้สึกใจแทบหายเพราะเด็กที่มานี่มีแต่พวกมหาเก่ง (เด็กโอลิมปิกบ้าง อินเตอร์อังกฤษเทพๆบ้าง เด็กเตรียมบ้าง เอาเป็นว่าเห็นแล้วเกือบนั่งรถกลับบ้านไปเลย T-T ) ตอนแรกก็เข้าไปสอบวิชาความถนัด (ทายรูปภาพสุดท้ายจาก pattern ของรูปก่อนๆ) ก็ยังโอเค ทำได้เกือบหมด แต่พอเข้าห้องสอบวิชาเลขซึ่งมีโจทก์เป็นอังกฤษ เราก็เอาความรู้ความสามารถเท่าที่เตรียมมาใส่ไปเต็มดอก พอจบข้อสอบนั้นออกมาแทบเป็นลมเพราะทำไม่ได้ ทำไม่ทันไปหลายข้ออยู่เหมือนกัน ยังไม่พอ (เหมือนฟ้าอยากตอกผมให้จมดิน) ไอเด็กเก่งๆทั้งหลายก็เดินออกมาแบบว่า "เออๆ พอทำได้ ไม่ยากมาก" พ่อผมก็ตรงไปตรงมาเหลื๊อเกิ๊น "หึๆๆ ไม่น่ารอดแล้วลูก" (ขอบคุณมากครับป๊า T-T)
อะไหนๆก็มาละ ลุยอังกฤษต่อ................................................................ ...................................................
(สำหรับท่านที่พอจะทราบถึงความหรรโหดของภาษาอังกฤษของทางสิงคโปร์ ท่านจะพอเดาได้ว่าทำไมผมถึงได้จุดๆๆๆ ยากมวาก)
เรือหายส์รอบสอง!!!!!!!!!!!
ข้อสอบก็มีให้อ่านบทความแล้วเขียนตอบคำถาม เติมคำในช่องว่าง แล้วก็เขียนเรียงความภาษาอังกฤษ ซึ่งไออังกงอังกฤษที่เรียนมาจากโรงเรียนไทยโดนความยากของข้อสอบนี้กลบทับจมจนจะไปถึงแก่นโลกเลยฮะ เขาใช้คำศัพท์ขนาดที่บางคำเด็กอินเตอร์ยังเกาหัว (เนื่องจากเป็นคำที่ใช้ในหนังสือพิมพ์บ้าง ในหนังสือเรียนระดับสูงๆบ้าง แบบที่ไม่ค่อยเจอในชีวิตประจำวันธรรมดาๆของเด็กฝรั่งเดินดินซักเท่าไหร่) เอาเป็นว่าพอผมเดินออกมานี่รู้เลยว่าคะแนนถ้าออกมาคงจะตกเละเทะแน่นอน OMG
ผ่านไปอีกหลายเดือน...... (แทบจะไม่หวังไรละตรู) ผมก็ได้รับจดหมายให้ไปสอบสัมภาษณ์!!!!!!!!! เยสสสสสส ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ (พ่อนี่งงเลย แบบว่าได้ได้ไงวะ?) ผมก็ลองถามไปถามมาก็พอรู้มาว่า จากที่ไปนั่งสอบกัน 200 คน เลือกมารอบนี้ 20 คน (ดวงแข็งมวกกกกกๆๆๆๆๆ) รอบนี้ก็เลยเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์ไว้เต็มที่ ไปติวกับเพื่อนที่เป็นแขกที่มันเก่งอังกฤษ นั่งเตรียมคำถามที่คิดว่าน่าจะออกมา เตรียม portfolio สวยๆใส่แฟ้มที่พร้อมไปด้วยเกียรติบัตรตั้งแต่ปีมะโว้ เมื่อพร้อม (ที่สุดแล้ว) ก็ถึงวันสัมภาษณ์ ซึ่งผิดคาดมากๆ เพราะบรรยากาศไม่เครียดเลย ฟิ้ววววว เหมือนเข้าไปนั่งคุยกันธรรมดา ก็มีกรรมการประมาณสามคนซึ่งก็ผลัดกันถามคำถาม เขาก็ถามเหมือนคนธรรมดาๆล่ะฮะว่า ทำไมถึงอยากไดทุนนี้ คิดว่าไปแล้วจะได้อะไร คุณมีความสารถยังไงถึงควรที่จะได้รับทุนนี้ (อันนี้เด็กไทยจะค่อนข้างอึดอัดเพราะปกติไม่ค่อยได้พูดว่าตัวเองเก่งด้านไหนอยู่บ่อยๆ) ก็มีหัวเราะบ้าง มีซีเรียสบ้าง และเวลาสิบห้านาทีในห้องนั้นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประมาณว่า อ้าว...เสร็จแล้วหรอ
จากการสอบรอบนี้ทำให้ผมรู้สึกมีความกล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น และก็ได้เรียนรู้ว่าการสัมภาษณ์ที่จริงนั้นไม่ใช่แค่ว่าเราไปนั่งตอบคำถามอยู่ฝ่ายเดียว แต่เป็นการไปนั่งสนทนา แสดงความสามารถในการสื่อสาร ความมั่นใจของเรา และก็ยังเป็นโอกาสที่เราจะได้ถามและเรียนรู้เกี่ยวกับทุนที่เราไม่สามารถหาอ่านบนเน็ทได้
และในที่สุด ตั้งแต่ผมเริ่มสมัครทุนนี้ในเดือนกุมภาพันธ์และผ่านการคัดเลือกสุดหินถึงสามรอบ ในเดือนตุลาคมทางรัฐบาลสิงคโปร์ก็ได้ส่งจดหมายแสดงความยินดีที่จะมอบทุนให้ผม พอครอบครัวผมเห็นจดหมายนั้นนี่ก็นั่งนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนที่จะพากันไปกินเลี้ยงกันอย่างหรูหรา... พอผมรู้ตัวอีกที สองอาทิตย์สุดท้ายที่จะได้อยู่ในเมืองไทยก็หายวับไปซะแล้ว และผมกำลังนั่งสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ไปยังดินแดนที่พร้อมจะให้โอกาสทางการศึกษาแก่ผมและเพื่อนๆชาวไทยที่ได้ทุนนี้อีกหกคนอย่างเต็มที่
WELCOME TO SINGAPORE
ออๆๆ เดี๋ยวมีตอนสองต่อ ;D
วันนี้อยากเล่า : ทุนการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ASEAN Secondary School Scholarship จาก Ministry of Education Sin
สำหรับท่านที่สนใจเพิ่มเติม
ตอนที่ 2 https://ppantip.com/topic/33153280
ตอนที่ 3 https://ppantip.com/topic/33204572
ตอนที่ 4 https://ppantip.com/topic/36156125
ใครมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับทุนอาเซียนนี้
สอบถามเพิ่มเติมติดต่อเพจนี้ได้นะครับ: https://www.facebook.com/TSnxtgen/
สวัสดีครับพี่ป้าน้าอาและ ชาวPantip วันนี้ผม (กฤต) จะมาขอเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับทุนการศึกษาที่บางท่านอาจจะเคยได้ยินจากลูกๆหลานๆ หรือพ่อแม่ที่มีลูกได้ทุนไปเรียนต่อ ณ ประเทศสิงคโปร์
ก่อนอื่นก็ต้องขอแนะนำตัวเองเล็กๆน้อยๆ ผมชื่อว่า กรกฤต จงเจียมดี ชื่อเล่นชื่อ กฤต
ผมเป็นคนอยู่ไม่เป็นหลักเป็นแหล่งจึงเรียนแต่ละที่ไม่เคยเกินสามปี (ตั้งแต่เล็กจนโต 555) ก็ไม่ได้ไปมีเรื่องอะไรกับใครที่ไหนหรอกฮะ แค่โชคชะตามันพาไปสัมผัสชีวิตหลายรูปแบบและรสชาติ ซึ่งเมื่อตอนอยู่ม.3 ก็ได้มีโอกาสไปสอบชิงทุนนี้ และก็ไม่ทราบแน่ชัดว่ามีคุณสมบัติด้านใดที่ไปกระดอนเข้าตากรรมการ (หวังว่าตาท่านคงยังไม่บอด) เลยได้ไปศึกษาต่อที่สิงคโปร์สี่ปีจนจบม.ปลายที่นู่น ซึ่งระหว่างนี้ (เนื่องจากมีเวลาระหว่างที่พึ่งจบม.ปลายกับก่อนที่จะเข้ามหาลัย) จึงคิดอยากจะมาเล่ากล่าวให้ผู้ที่สนใจได้รู้จักกับทุนนี้มากขึ้น เพราะฉะนั้นเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าฮะ
ทุน ASEAN Secondary School Scholarship นี้เป็นทุนที่ทางกระทรวงการศึกษาของรัฐบาลสิงคโปร์ได้จัดขึ้นเพื่อมอบให้แก่นักเรียนชาติ ASEAN เพื่อจะได้มีโอกาสไปศึกษาต่อที่ประเทศสิงคโปร์ (ซึ่งมีระบบการศึกษาที่หลายประเทศยอมรับว่าดีติดอันดับโลก) ถ้าจะพูดแบบไม่อ้อมค้อมก็ประมาณว่าอยากให้เด็กเก่งต่างชาติไปกระจุกอยู่ที่ประเทศของเขา ส่วนน้อยๆก็หวังว่าเด็กเก่งๆเหล่านี้จะชอบและตัดสินใจเปลี่ยนสัญชาติ (ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ก็จะอยากกลับบ้านมากกว่า 555 จึงเป็นที่มาว่านี่คือส่วนน้อย) แต่ที่สำคัญกว่านั้นและเป็นผลตอบแทนที่มีความเป็นไปได้สูงนั่นก็คือเพื่อที่ว่าในอนาคตถ้าเด็กทุนเหล่านี้เติบโตเป็นนักธุรกิจหรือเป็นใหญ่ในประเทศของตน สิงคโปร์ก็จะได้มี connection (เส้นสาย) มาช่วยในการติดต่อประสานงานและธุรกิจระหว่างประเทศ
ซึ่งตามสถิติของผู้ที่ได้รับทุน เด็กไทยก็จะได้ปีละประมาณ 5-8 คนต่อปี (แล้วแต่สภาพสถานการณ์การเมืองและงบประมาณของรัฐบาลสิงคโปร์ด้วย 5555) แต่อย่าพึ่งตกใจนะฮะว่าทำไมน้อยจัง และก็อย่าพึ่งไปกังวลว่าจะได้ทุนนี้หรือไม่ เพราะผมเชื่อว่าทุนนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ประเสริฐเลิศเลอที่สุดในชีวิตของเด็กทุกๆคน รวมทั้งการได้รับทุนการศึกษาก็มีทั้งข้อดี และข้อเสียอยู่เหมือนกัน นอกจากนี่ การได้รับทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่ต่างประเทศก็อาจจะไม่ได้เหมาะไปกับเด็กทุกคนด้วยครับ
โดยปกติแล้วๆ แต่ละปีก็จะมีผู้สมัครประมาณ 400-600 คน (ค่อนข้างน้อย อาจเป็นเพราะทุนนี้ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว่าง) ซึ่งเมื่อเขาเหล่านี้ได้กรอกและส่งเอกสารสำคัญเพื่อใช้ในการสมัครสอบไป ทางนู้นเขาก็จะคัดเด็กจาก Profile เหล่านี้เพื่อที่จะเรียกให้ไปสอบในรอบต่อๆไป (ซึ่งบางปีก็คัดจากเอกสารใบสมัครรอบหนึ่งให้ไปสอบข้อเขียนแล้วถึงคัดอีกรอบหนึ่งเพื่อให้ไปสอบรอบสัมภาษณ์ หรือไม่ก็คัดจากใบสมัครรอบเดียวแล้วให้ไปสอบทั้งข้อเขียนและสัมภาษณ์) (รายระเอียดของทุนและการสมัครสามารถเข้าไปดูได้ที่ http://www.moe.gov.sg/education/scholarships/asean/thailand/secondarythree/ )
จากประสบการณ์ส่วนตัวผมรู้สึกว่าตัวผมเองได้เรียนรู้อะไรเยอะมากแค่จากการสมัครทุนนี้อย่างเดียว เพราะผมต้องฝึกอ่านข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ ถามคุณพ่อคุณแม่คุณครูเพื่อนๆบ้างว่าไอคำนี้แปลว่าอะไร มันถามอะไร จะเอาอะไรจากเรา ต้องฝึกเขียนประวัติส่วนตัวด้วยตนเองเป็นภาษาอังกฤษ รวบรวมผลงานทั้งด้านการเรียนและกิจกรรมที่เป็นกระดาษกระจัดกระจายอยู่ทั่วมุมบ้าน และให้คนนู้นคนนี้มาช่วยเราแปลเป็นภาษาอังกฤษ แค่นี้ยังไม่พอเพราะต้องเอาเอกสารไปรับรองกับทางกระทรวงการต่างประเทศของไทย ฯลฯ เหนื่อยมวากๆ T-T แทบจะร้องไห้ บางครั้งเอกสารก็แปลพลาดหรือมีส่วนผิดก็ต้องมานั่งแก้ไม่ก็ต้องเขียนใหม่ โอยยยยยยปวดหัวบรมช่วงนั้น แต่ก็ยังดีที่ได้พ่อแม่มาเตือนสติว่านี่แหละชีวิตอนาคตของลูก (ตอนนั้นรู้สึกเรือหายส์เลยครับท่าน 5555) แต่ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก (แหงล่ะ เด็กม.2ที่ไหนมันจะต้องมาวิ่งเต้นทำเอกสารแบบเราล่ะ) (นี่ขนาดยังไม่ได้ทุนนะเนี่ย ก็ได้เรียนรู้อะไรไปเยอะละ)
หลายเดือนผ่านไป (จนคิดว่าเขาคงไม่ได้เลือกเราแล้วล่ะ -_-'' ) ทางสิงคโปร์ก็ได้แจ้งกลับมาให้เราไปสอบข้อเขียน เย้ๆๆๆ ดีใจมากที่อย่างน้อยก็จะได้ไปลอง แต่พอลองอ่านรายละเอียดดูดีๆ ปรากฏว่าเขาไม่ได้บอกว่า อังกฤษ เลข กับความถนัด ที่จะสอบนี่มีหัวข้ออะไรบ้าง เอาล่ะสิครับ เกาหัวกันทั้งบ้านเลย ตรูจะสอบเรื่องอะไร ยังไงไม่รู้เลย พ่อแม่เลยต้องวิ่งเต้น (อีกแล้ว) ไปถามคนอื่นๆว่ารู้อะไรเกี่ยวกับทุนนี้มั้ย กว่าจะพอมีไอเดียบ้างว่าจะสอบแนวไหนก็เหลือเวลาไม่ถึงเดือนก่อนจะสอบ เราก็มานั่งติวกันแทบสลบคาโต๊ะไปเกือบเดือน
พอถึงวันสอบปุ๊บ รู้สึกใจแทบหายเพราะเด็กที่มานี่มีแต่พวกมหาเก่ง (เด็กโอลิมปิกบ้าง อินเตอร์อังกฤษเทพๆบ้าง เด็กเตรียมบ้าง เอาเป็นว่าเห็นแล้วเกือบนั่งรถกลับบ้านไปเลย T-T ) ตอนแรกก็เข้าไปสอบวิชาความถนัด (ทายรูปภาพสุดท้ายจาก pattern ของรูปก่อนๆ) ก็ยังโอเค ทำได้เกือบหมด แต่พอเข้าห้องสอบวิชาเลขซึ่งมีโจทก์เป็นอังกฤษ เราก็เอาความรู้ความสามารถเท่าที่เตรียมมาใส่ไปเต็มดอก พอจบข้อสอบนั้นออกมาแทบเป็นลมเพราะทำไม่ได้ ทำไม่ทันไปหลายข้ออยู่เหมือนกัน ยังไม่พอ (เหมือนฟ้าอยากตอกผมให้จมดิน) ไอเด็กเก่งๆทั้งหลายก็เดินออกมาแบบว่า "เออๆ พอทำได้ ไม่ยากมาก" พ่อผมก็ตรงไปตรงมาเหลื๊อเกิ๊น "หึๆๆ ไม่น่ารอดแล้วลูก" (ขอบคุณมากครับป๊า T-T)
อะไหนๆก็มาละ ลุยอังกฤษต่อ................................................................ ...................................................
(สำหรับท่านที่พอจะทราบถึงความหรรโหดของภาษาอังกฤษของทางสิงคโปร์ ท่านจะพอเดาได้ว่าทำไมผมถึงได้จุดๆๆๆ ยากมวาก)
เรือหายส์รอบสอง!!!!!!!!!!!
ข้อสอบก็มีให้อ่านบทความแล้วเขียนตอบคำถาม เติมคำในช่องว่าง แล้วก็เขียนเรียงความภาษาอังกฤษ ซึ่งไออังกงอังกฤษที่เรียนมาจากโรงเรียนไทยโดนความยากของข้อสอบนี้กลบทับจมจนจะไปถึงแก่นโลกเลยฮะ เขาใช้คำศัพท์ขนาดที่บางคำเด็กอินเตอร์ยังเกาหัว (เนื่องจากเป็นคำที่ใช้ในหนังสือพิมพ์บ้าง ในหนังสือเรียนระดับสูงๆบ้าง แบบที่ไม่ค่อยเจอในชีวิตประจำวันธรรมดาๆของเด็กฝรั่งเดินดินซักเท่าไหร่) เอาเป็นว่าพอผมเดินออกมานี่รู้เลยว่าคะแนนถ้าออกมาคงจะตกเละเทะแน่นอน OMG
ผ่านไปอีกหลายเดือน...... (แทบจะไม่หวังไรละตรู) ผมก็ได้รับจดหมายให้ไปสอบสัมภาษณ์!!!!!!!!! เยสสสสสส ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ (พ่อนี่งงเลย แบบว่าได้ได้ไงวะ?) ผมก็ลองถามไปถามมาก็พอรู้มาว่า จากที่ไปนั่งสอบกัน 200 คน เลือกมารอบนี้ 20 คน (ดวงแข็งมวกกกกกๆๆๆๆๆ) รอบนี้ก็เลยเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์ไว้เต็มที่ ไปติวกับเพื่อนที่เป็นแขกที่มันเก่งอังกฤษ นั่งเตรียมคำถามที่คิดว่าน่าจะออกมา เตรียม portfolio สวยๆใส่แฟ้มที่พร้อมไปด้วยเกียรติบัตรตั้งแต่ปีมะโว้ เมื่อพร้อม (ที่สุดแล้ว) ก็ถึงวันสัมภาษณ์ ซึ่งผิดคาดมากๆ เพราะบรรยากาศไม่เครียดเลย ฟิ้ววววว เหมือนเข้าไปนั่งคุยกันธรรมดา ก็มีกรรมการประมาณสามคนซึ่งก็ผลัดกันถามคำถาม เขาก็ถามเหมือนคนธรรมดาๆล่ะฮะว่า ทำไมถึงอยากไดทุนนี้ คิดว่าไปแล้วจะได้อะไร คุณมีความสารถยังไงถึงควรที่จะได้รับทุนนี้ (อันนี้เด็กไทยจะค่อนข้างอึดอัดเพราะปกติไม่ค่อยได้พูดว่าตัวเองเก่งด้านไหนอยู่บ่อยๆ) ก็มีหัวเราะบ้าง มีซีเรียสบ้าง และเวลาสิบห้านาทีในห้องนั้นก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ประมาณว่า อ้าว...เสร็จแล้วหรอ
จากการสอบรอบนี้ทำให้ผมรู้สึกมีความกล้าที่จะแสดงออกมากขึ้น และก็ได้เรียนรู้ว่าการสัมภาษณ์ที่จริงนั้นไม่ใช่แค่ว่าเราไปนั่งตอบคำถามอยู่ฝ่ายเดียว แต่เป็นการไปนั่งสนทนา แสดงความสามารถในการสื่อสาร ความมั่นใจของเรา และก็ยังเป็นโอกาสที่เราจะได้ถามและเรียนรู้เกี่ยวกับทุนที่เราไม่สามารถหาอ่านบนเน็ทได้
และในที่สุด ตั้งแต่ผมเริ่มสมัครทุนนี้ในเดือนกุมภาพันธ์และผ่านการคัดเลือกสุดหินถึงสามรอบ ในเดือนตุลาคมทางรัฐบาลสิงคโปร์ก็ได้ส่งจดหมายแสดงความยินดีที่จะมอบทุนให้ผม พอครอบครัวผมเห็นจดหมายนั้นนี่ก็นั่งนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนที่จะพากันไปกินเลี้ยงกันอย่างหรูหรา... พอผมรู้ตัวอีกที สองอาทิตย์สุดท้ายที่จะได้อยู่ในเมืองไทยก็หายวับไปซะแล้ว และผมกำลังนั่งสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ไปยังดินแดนที่พร้อมจะให้โอกาสทางการศึกษาแก่ผมและเพื่อนๆชาวไทยที่ได้ทุนนี้อีกหกคนอย่างเต็มที่
WELCOME TO SINGAPORE
ออๆๆ เดี๋ยวมีตอนสองต่อ ;D