อ่านกระทู้การก่อการร้ายในปารีสหลายๆกระทู้ แล้วฟังคอมเม้นหลายๆความเห็น รู้สึกว่ายังมีหลายๆท่านยังมึนงงไม่เข้าใจว่าทำไมชาลี เอบโด จึงมีการวิจารณ์พาดพิงศาสนา ทำไมต้องทำเช่นนั้น ทำไมสังคมตะวันตกจึงเปิดกว้างให้มีเสรีภาพในการวิพากษณ์วิจารณ์ศาสนา ซึ่งการวิจารณ์ศาสนามันเป็นไปไม่ได้เลยในประเทศที่ศรัทธาสุดโต่งจนให้ศาสนาอยู่เหนือปัญญา ไม่เพียงแค่อิสลามนะครับ คริสต์เองก็โดน โดนหนักกว่าอิลามด้วย พุทธก็โดน ซึ่งการวิจารณ์บางครั้งอาจมีล้ำเส้นไปบ้าง แต่สังคมตะวันตกก็จะมีกฏหมายให้สิทธิ คุ้มครองทุกฝ่ายในเรื่องนี้
เรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปครับ ในยุคแรกๆที่ศาสนาคริสต์เข้าครอบงำยุโรป โดยเข้าแทนที่ศาสนากรีก-โรมัน ในช่วงยุคปลายของอาณาจักรโรมัน คริสต์ก็ได้กวาดล้างความเชื่อเดิม โดยการทำลายสัญลักษณ์ เช่นรูปปั้นพระเจ้าของศาสนากรีก-โรมัน เทวสถานต่างๆ รวมทั้งเปลี่ยนความหมายใหม่ เช่นเทศกาลฉลองเทพีแห่งความรักของเทพีชื่อไรจำไม่ได้ มาเป็นเทศกาลแห่งความรักตามความหมายคริสต์โดยอปโลกป์นักบุญวาเลนไทน์ขึ้นมา ปัจจุบันนักประวัติศาสตร์โบราณคดีตรวจสอบแล้วครับว่า นักบุญวาเลนไทน์ไม่มีตัวตนจริง จากนั้นสังคมยุโรปก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของศาสนาคริสต์เบ็ดเสร็จทุกอย่าง อำนาจปกครองยุโรปตกอยู่ในกำมือโป๊บ ณ วาติกัน ที่เป็นตัวแทนชาวโลกคอยสื่อสารรับบัญชาจากพระเจ้า กษัตริย์ทุกแคว้นจะถูกสวมมงกุฏโดยโป๊บ ถ้าโป๊บไม่สนับสนุนใครอย่าหวังที่จะได้ครองบัลลังก์ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะทุกคนต้องเชื่อศาสนา ต้องเคารพโป๊บ
ผลก็คือ ประชาชน กษัตริย์ พ่อค้า ถูกกดขี่โดยถ้วนหน้าจากวาติกัน มีการเก็บภาษีศาสนามหาโหด มีการลงโทษคนที่คิดต่าง ไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างเหี้ยมโหดทารุณ บางทีก็โดนยัดข้อหาพ่อมดแม่มดถูกจับเผาทั้งเป็น เมื่อมีการกดขี่ก็เริ่มมีการต่อต้าน การต่อต้านเริ่มแรกก็จากมาติน ลูเธอ ให้กำเนิดนิกายโปรแตสแตนท์ เป็นคริสต์อีกสายหนึ่งที่เป็นอิสระในการนับถือพระเจ้าโดยไม่ต้องผ่านโป๊บ ณ วาติกัน กษัตริย์แคว้นอื่นๆ ที่ไม่อยากอยู่ใต้อาณัติวาติกันก็เอาบ้าง ประกาศคริสต์โปรแตสแตนท์ในสายของตนเองไม่ขึ้นกับวาติกัน เช่น อังกฤษประกาศตั้งนิกาย เชิสออฟอิงแลนด์เป็นศาสนาประจำชาติ เป็นการเริ่มลดอิทธิพลของวาติกันของหลายๆอาณาจักรในยุโรป ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ มีสงครามระหว่างวาติกันซึ่งก็คือคาทอลิกรวมพลังกับอาณาจักรในสังกัด ทำสงครามกับอาณาจักรโปรแตสแตนท์ เป็นสงครามที่ยาวนานทำลายชีวิตชาวยุโรปเป็นร้อยๆล้านคน (ก่อนนหน้านั้นก็มีสงครามครูเสดกับเปอร์เซีย อาหรับ)
นั้นคือความขัดแย้งในระดับสองนิกายหลักๆของคริสต์ ส่วนความขัดแย้งในเรื่องของความเจริญ อารยธรรม ความคิด สติปัญญา ก็เป้นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำลายความเติบโต ความเจริญก้าวหน้าของยุโรป นักคิด นักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์ ที่ค้นพบความจริงในธรรมชาติ ทั้งหลายที่ขัดกับความเชื่อในไบเบิ้ล จะถูกกำจัด เข่นฆ่า บางคนก็ไม่กล้าพูดความจริง เช่น เตปเลอร์ , กาลิเลโอ ที่ค้นพบว่าโลกกลมไม่ได้แบนแบบที่ไบเบิ้ลเขียนก็ถูกลงโทษรุนแรง บรูโนก็ถูกจับเผาทั้งเป็น ชาร์ล ดาวินที่ค้นพบทฤษฏีวิวัฒนาการก็ถูกต่อต้านอย่างหนักจากคริสจักร(ทั้งคาทอลิกและโปรแตสแตนท์ ทั้งสองนิกายมีการลงโทษทารุณทั้งนั้น แต่โปรแตสแตนท์มีหลายสายไม่ขึ้นกัน) บุคนั้นเป็นยุคตกต่ำทางความคิด สคิปัญญา ของยุโรป นักประวัติศาสตร์ขนานนามว่าเป็นยุคมืดของยุโรป หรือ DARK Age (คริสต์มักจะเถียงว่าไม่ใช่ยุคมืด มีแสงสว่างทางปัญญาจากศาสนาคริสต์ด้วยจ้ะ)
เมื่อมีการเข่นฆ่ากันมากๆ ถูกกดขี่กันมากๆ ชาวยุโรปส่วนใหญ่จึง รวมใจกันปลดแอกตัวเองจากความเชื่อทางศาสนาคริสต์ มีการวิจารณ์ศาสนามากขึ้น มีการตั้งคำถามมากขึ้น ไม่ยอมให้ศาสนาความเชื่อ มีอิทธิพลครอบงำความคิดคน จนบ้าคลั้ง ไร้สติ เข่นฆ่ากันเองได้ เพราะถูกปลูกฝังจากศาสนาว่าคนคิดต่างคือซาตาน นี่คือยุคที่ยุโรปสามารถพัฒนา ความคิด ความเจิญได้ หลังจากฆ่ากันเองเพราะศาสนามาเป็นร้อยๆปี ซึ่งเรียกว่ายุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือยุคเรเนอสซอง มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม รวมถึงการปฏิวัติฝรั่งเศส ความเจริญก้าวหน้าทางความคิด ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ถูกจำกัด กดขี่ จากศาสนาอีกต่อไป และเป็นที่มาของกฏหมายใหม่ๆ ที่ให้อิสระในการวิพากษ์วิจารณ์ศาสนา ความเชื่อ โดยมีหลักกว้างๆคือ ถ้าคุณจะไปเผยแพร่ความเชื่อ ความเชื่อคุณก็ต้องถูกตรวจสอบ วิจารณ์ได้ จะให้เชื่อพระเจ้าแต่ห้ามสงสัยในพระเจ้ามันขัดกับกฏหมายของประเทศทางยุโรป อเมริกาครับ
ศาสนาคริสต์เอง โดนฝรั่งตรวจสอบ วิจารณ์หนักกว่าอิสลามหลายเท่า เพราะเป็นศาสนาดั้งเดิมที่สร้างความเจ็บปวดให้พวกเค้ามานานแล้ว ถ้ามองผ่านวรรณกรรม นิยาย อย่างเรื่องดาวินซี โค้ด มีการตั้งข้อสงสัยว่าพระเยซูมีเมียเป็นต้น เรื่องอื่นๆก็เช่น ใครเป็นพ่อพระเยซูกันแน่ ไอ้การตั้งครรภ์โดยบริสุทธิอัสจรรย์นั่นมันความเชื่อทางศาสนา คนที่มีปัญญาเค้าไม่เชื่อกันครับ มีอีกเยอะ หาอ่านได้ตามเวปของพวกไม่เชื่อพระเจ้า Athiest พวกนี้ก็เป็นกลุ่มที่กฏหมายรองรับ ประชาชนมีสิทธิที่จะไม่เชื่อพระเจ้า
ปูพื้นมาตั้งนาน เพื่อให้เห็นภาพ เข้าใจว่า ทำไมยุโรปถึงให้ความสำคัญสำหรับเสรีภาพ การวิจารณ์ศาสนา นี่ข่าวก็ออกแล้วว่า หลายๆชาติรวมตัวกัน ทั้ง ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ฮอลแลนด์ อังกฤษ สวีเดน ฯลฯ อียู อเมริกา จะมาเดินขบวนแสดงพลัง สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออก ไม่ยอมให้สังคมตกอยู่ใต้ความกลัว ในอำนาจของพระเจ้า อย่างขาดสคิ ไร้เหตุผล
ผลเสียของการศรัทธาโดยขาด สติ ปัญญา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งอดีตและในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่เราเห็นๆกันอยู่เสมอ จะเกิดอะไรขึ้นกับยุโรปถ้าศรัทธาถูกปลูกฝังจนอยู่เหนือปัญญา โดยมีความรุนแรงคอยข่มขู่ให้ห้ามคิดต่าง ยุโรปจะกลายเป็นตะวันออกกลางไม๊หรือจะถอยกลับไปยุคมืด ทำไมต้องมีการโฆษณาชวนเชื่อ ทำไมต้องห้ามวิจารณ์ ฯลฯ ชาลี เอบโดคือหน่วยเล็กๆของเสรีภาพทางการวิจารณ์เท่านั้นครับ ผู้นำยุโรปประกาสจุดยืนและแสดงพลังร่วมกันแล้วว่า จะไม่ยอมแพ้ต่อการก่อการร้าย ยุโรปต้องมีเสรีภาพทางการแสดงความคิด ทำไมโจรใต้ต้องเผาโรงเรียน ก็เพราะโรงเรียนคือแหล่งสร้างปัญญาที่จะทำให้ความเชื่อสั่นคลอนนั่นเอง
สุดท้ายขอแนะนำหนังสือน่าอ่าน แนวคิดที่ผมนำเสนอ ก็ได้มาจากหนังสือเล่มนี้เป็นหลัก อ่านแล้วมองเหตุกาณ์หลายๆอย่างในโลก สังคม ได้เข้าใจ กระจ่างมากขึ้นเลยครับ สามารถดาวโหลดมาอ่านได้
http://www.watnyanaves.net/th/book_detail/341
มองสันติภาพโลก ผ่านภูมิหลังอารยธรรมโลกาภิวัตน์
ศาสนา ความเชื่อ เป็นเครื่องมือหรืออาวุธชนิดหนึ่งที่จำเป็นสำหรับสงคราม
เรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปครับ ในยุคแรกๆที่ศาสนาคริสต์เข้าครอบงำยุโรป โดยเข้าแทนที่ศาสนากรีก-โรมัน ในช่วงยุคปลายของอาณาจักรโรมัน คริสต์ก็ได้กวาดล้างความเชื่อเดิม โดยการทำลายสัญลักษณ์ เช่นรูปปั้นพระเจ้าของศาสนากรีก-โรมัน เทวสถานต่างๆ รวมทั้งเปลี่ยนความหมายใหม่ เช่นเทศกาลฉลองเทพีแห่งความรักของเทพีชื่อไรจำไม่ได้ มาเป็นเทศกาลแห่งความรักตามความหมายคริสต์โดยอปโลกป์นักบุญวาเลนไทน์ขึ้นมา ปัจจุบันนักประวัติศาสตร์โบราณคดีตรวจสอบแล้วครับว่า นักบุญวาเลนไทน์ไม่มีตัวตนจริง จากนั้นสังคมยุโรปก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของศาสนาคริสต์เบ็ดเสร็จทุกอย่าง อำนาจปกครองยุโรปตกอยู่ในกำมือโป๊บ ณ วาติกัน ที่เป็นตัวแทนชาวโลกคอยสื่อสารรับบัญชาจากพระเจ้า กษัตริย์ทุกแคว้นจะถูกสวมมงกุฏโดยโป๊บ ถ้าโป๊บไม่สนับสนุนใครอย่าหวังที่จะได้ครองบัลลังก์ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะทุกคนต้องเชื่อศาสนา ต้องเคารพโป๊บ
ผลก็คือ ประชาชน กษัตริย์ พ่อค้า ถูกกดขี่โดยถ้วนหน้าจากวาติกัน มีการเก็บภาษีศาสนามหาโหด มีการลงโทษคนที่คิดต่าง ไม่เชื่อในพระเจ้าอย่างเหี้ยมโหดทารุณ บางทีก็โดนยัดข้อหาพ่อมดแม่มดถูกจับเผาทั้งเป็น เมื่อมีการกดขี่ก็เริ่มมีการต่อต้าน การต่อต้านเริ่มแรกก็จากมาติน ลูเธอ ให้กำเนิดนิกายโปรแตสแตนท์ เป็นคริสต์อีกสายหนึ่งที่เป็นอิสระในการนับถือพระเจ้าโดยไม่ต้องผ่านโป๊บ ณ วาติกัน กษัตริย์แคว้นอื่นๆ ที่ไม่อยากอยู่ใต้อาณัติวาติกันก็เอาบ้าง ประกาศคริสต์โปรแตสแตนท์ในสายของตนเองไม่ขึ้นกับวาติกัน เช่น อังกฤษประกาศตั้งนิกาย เชิสออฟอิงแลนด์เป็นศาสนาประจำชาติ เป็นการเริ่มลดอิทธิพลของวาติกันของหลายๆอาณาจักรในยุโรป ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ มีสงครามระหว่างวาติกันซึ่งก็คือคาทอลิกรวมพลังกับอาณาจักรในสังกัด ทำสงครามกับอาณาจักรโปรแตสแตนท์ เป็นสงครามที่ยาวนานทำลายชีวิตชาวยุโรปเป็นร้อยๆล้านคน (ก่อนนหน้านั้นก็มีสงครามครูเสดกับเปอร์เซีย อาหรับ)
นั้นคือความขัดแย้งในระดับสองนิกายหลักๆของคริสต์ ส่วนความขัดแย้งในเรื่องของความเจริญ อารยธรรม ความคิด สติปัญญา ก็เป้นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำลายความเติบโต ความเจริญก้าวหน้าของยุโรป นักคิด นักปรัชญา นักวิทยาศาสตร์ ที่ค้นพบความจริงในธรรมชาติ ทั้งหลายที่ขัดกับความเชื่อในไบเบิ้ล จะถูกกำจัด เข่นฆ่า บางคนก็ไม่กล้าพูดความจริง เช่น เตปเลอร์ , กาลิเลโอ ที่ค้นพบว่าโลกกลมไม่ได้แบนแบบที่ไบเบิ้ลเขียนก็ถูกลงโทษรุนแรง บรูโนก็ถูกจับเผาทั้งเป็น ชาร์ล ดาวินที่ค้นพบทฤษฏีวิวัฒนาการก็ถูกต่อต้านอย่างหนักจากคริสจักร(ทั้งคาทอลิกและโปรแตสแตนท์ ทั้งสองนิกายมีการลงโทษทารุณทั้งนั้น แต่โปรแตสแตนท์มีหลายสายไม่ขึ้นกัน) บุคนั้นเป็นยุคตกต่ำทางความคิด สคิปัญญา ของยุโรป นักประวัติศาสตร์ขนานนามว่าเป็นยุคมืดของยุโรป หรือ DARK Age (คริสต์มักจะเถียงว่าไม่ใช่ยุคมืด มีแสงสว่างทางปัญญาจากศาสนาคริสต์ด้วยจ้ะ)
เมื่อมีการเข่นฆ่ากันมากๆ ถูกกดขี่กันมากๆ ชาวยุโรปส่วนใหญ่จึง รวมใจกันปลดแอกตัวเองจากความเชื่อทางศาสนาคริสต์ มีการวิจารณ์ศาสนามากขึ้น มีการตั้งคำถามมากขึ้น ไม่ยอมให้ศาสนาความเชื่อ มีอิทธิพลครอบงำความคิดคน จนบ้าคลั้ง ไร้สติ เข่นฆ่ากันเองได้ เพราะถูกปลูกฝังจากศาสนาว่าคนคิดต่างคือซาตาน นี่คือยุคที่ยุโรปสามารถพัฒนา ความคิด ความเจิญได้ หลังจากฆ่ากันเองเพราะศาสนามาเป็นร้อยๆปี ซึ่งเรียกว่ายุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือยุคเรเนอสซอง มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม รวมถึงการปฏิวัติฝรั่งเศส ความเจริญก้าวหน้าทางความคิด ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ถูกจำกัด กดขี่ จากศาสนาอีกต่อไป และเป็นที่มาของกฏหมายใหม่ๆ ที่ให้อิสระในการวิพากษ์วิจารณ์ศาสนา ความเชื่อ โดยมีหลักกว้างๆคือ ถ้าคุณจะไปเผยแพร่ความเชื่อ ความเชื่อคุณก็ต้องถูกตรวจสอบ วิจารณ์ได้ จะให้เชื่อพระเจ้าแต่ห้ามสงสัยในพระเจ้ามันขัดกับกฏหมายของประเทศทางยุโรป อเมริกาครับ
ศาสนาคริสต์เอง โดนฝรั่งตรวจสอบ วิจารณ์หนักกว่าอิสลามหลายเท่า เพราะเป็นศาสนาดั้งเดิมที่สร้างความเจ็บปวดให้พวกเค้ามานานแล้ว ถ้ามองผ่านวรรณกรรม นิยาย อย่างเรื่องดาวินซี โค้ด มีการตั้งข้อสงสัยว่าพระเยซูมีเมียเป็นต้น เรื่องอื่นๆก็เช่น ใครเป็นพ่อพระเยซูกันแน่ ไอ้การตั้งครรภ์โดยบริสุทธิอัสจรรย์นั่นมันความเชื่อทางศาสนา คนที่มีปัญญาเค้าไม่เชื่อกันครับ มีอีกเยอะ หาอ่านได้ตามเวปของพวกไม่เชื่อพระเจ้า Athiest พวกนี้ก็เป็นกลุ่มที่กฏหมายรองรับ ประชาชนมีสิทธิที่จะไม่เชื่อพระเจ้า
ปูพื้นมาตั้งนาน เพื่อให้เห็นภาพ เข้าใจว่า ทำไมยุโรปถึงให้ความสำคัญสำหรับเสรีภาพ การวิจารณ์ศาสนา นี่ข่าวก็ออกแล้วว่า หลายๆชาติรวมตัวกัน ทั้ง ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ฮอลแลนด์ อังกฤษ สวีเดน ฯลฯ อียู อเมริกา จะมาเดินขบวนแสดงพลัง สนับสนุนเสรีภาพในการแสดงออก ไม่ยอมให้สังคมตกอยู่ใต้ความกลัว ในอำนาจของพระเจ้า อย่างขาดสคิ ไร้เหตุผล
ผลเสียของการศรัทธาโดยขาด สติ ปัญญา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งอดีตและในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่เราเห็นๆกันอยู่เสมอ จะเกิดอะไรขึ้นกับยุโรปถ้าศรัทธาถูกปลูกฝังจนอยู่เหนือปัญญา โดยมีความรุนแรงคอยข่มขู่ให้ห้ามคิดต่าง ยุโรปจะกลายเป็นตะวันออกกลางไม๊หรือจะถอยกลับไปยุคมืด ทำไมต้องมีการโฆษณาชวนเชื่อ ทำไมต้องห้ามวิจารณ์ ฯลฯ ชาลี เอบโดคือหน่วยเล็กๆของเสรีภาพทางการวิจารณ์เท่านั้นครับ ผู้นำยุโรปประกาสจุดยืนและแสดงพลังร่วมกันแล้วว่า จะไม่ยอมแพ้ต่อการก่อการร้าย ยุโรปต้องมีเสรีภาพทางการแสดงความคิด ทำไมโจรใต้ต้องเผาโรงเรียน ก็เพราะโรงเรียนคือแหล่งสร้างปัญญาที่จะทำให้ความเชื่อสั่นคลอนนั่นเอง
สุดท้ายขอแนะนำหนังสือน่าอ่าน แนวคิดที่ผมนำเสนอ ก็ได้มาจากหนังสือเล่มนี้เป็นหลัก อ่านแล้วมองเหตุกาณ์หลายๆอย่างในโลก สังคม ได้เข้าใจ กระจ่างมากขึ้นเลยครับ สามารถดาวโหลดมาอ่านได้
http://www.watnyanaves.net/th/book_detail/341
มองสันติภาพโลก ผ่านภูมิหลังอารยธรรมโลกาภิวัตน์